วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วรรณาโรหชาดก

๑. วรรณาโรหชาดก
ว่าด้วยผู้มีใจคอหนักแน่น
             [๗๕๓] ท่านผู้มีเขี้ยวงามกล่าวว่า เสือโคร่งชื่อสุพาหุนี้ มีลักษณะ วรรณะ                           ชาติ กำลังกาย และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา.              [๗๕๔] เสือโคร่งชื่อสุพาหุกล่าวว่า ราชสีห์ผู้มีเขี้ยวงาม มีลักษณะ วรรณะ                           ชาติ กำลังกาย และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา.              [๗๕๕] แนะเพื่อนสุพาหุ ถ้าท่านจะประทุษร้ายเราผู้อยู่กับท่านอย่างนี้ บัดนี้                           เราก็ไม่พึงยินดีอยู่ร่วมกับท่านต่อไป.              [๗๕๖] ผู้ใดเชื่อฟังคำของคนอื่นตามที่เป็นจริง ผู้นั้นต้องพลันแตกจากมิตร                           และต้องประสบเวรเป็นอันมาก.              [๗๕๗] ผู้ใดไม่ประมาททุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้นั้น                           ไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความรังเกียจ                           มิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอกมารดา ฉะนั้น                           ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้.
จบ วรรณาโรหชาดกที่ ๑.
๒. สีลวีมังสชาดก
ผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นผู้เสมอกัน
             [๗๕๘] ข้าพระองค์มีความสงสัยว่า ศีลประเสริฐ หรือสุตะประเสริฐ ศีลนี่แหละ                           ประเสริฐกว่าสุตะ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยแล้ว.              [๗๕๙] ชาติและวรรณะเป็นของเปล่า ได้สดับมาว่า ศีลเท่านั้นประเสริฐที่สุด                           บุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยศีล ย่อมไม่ได้ประโยชน์เพราะสุตะ.              [๗๖๐] กษัตริย์และแพศย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่อาศัยธรรม ชนทั้งสองนั้นละ                           โลกนี้ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ.              [๗๖๑] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อ                           ประพฤติธรรมในธรรมวินัยนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในไตรทิพย์.              [๗๖๒] เวท ชาติ แม้พวกพ้อง ก็ไม่สามารถจะให้อิสริยยศหรือความสุขใน                           ภพหน้าได้ ส่วนศีลของตนเองที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมนำความสุขใน                           ภพหน้ามาให้ได้.
จบ สีลวีมังสชาดกที่ ๒.
๓. หิริชาดก
การกระทำที่ส่อให้รู้ว่ามิตรหรือมิใช่มิตร
             [๗๖๓] ผู้ใดหมดความอาย เกลียดชังความมีเมตตา กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตร                           สหายของท่าน ไม่ได้เอื้อเฟื้อทำการงานที่ดีกว่า บัณฑิตรู้จักผู้นั้นได้ดี                           ว่า ผู้นี้มิใช่มิตรสหายของเรา.              [๗๖๔] เพราะว่า บุคคลชอบทำอย่างไร ก็พึงกล่าวอย่างนั้น ไม่ชอบทำอย่างไร                           ก็ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายรู้จักบุคคลนั้นว่า ผู้ไม่ทำให้สม                           กับพูด เป็นแต่กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตรสหายของท่าน.              [๗๖๕] ผู้ใดไม่ประมาทอยู่ทุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้                           นั้นไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความ                           รังเกียจในมิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอก                           มารดา ฉะนั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้.              [๗๖๖] กุลบุตรผู้มองเห็นผลอานิสงส์ เมื่อจะนำธุระของบุรุษ ย่อมให้เกิดฐานะ                           คือ การทำความปราโมทย์ และความสุข อันจะนำความสรรเสริญมาให้.              [๗๖๗] บุคคลได้ดื่มรสอันเกิดจากวิเวก รสแห่งความสงบ และรสคือธรรมปีติ                           ย่อมเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย เป็นผู้หมดบาป.
จบ หิริชาดกที่ ๓.
๔. ขัชโชปนกชาดก
ว่าด้วยเห็นหิ่งห้อยว่าเป็นไฟ
             [๗๖๘] ใครหนอ เมื่อไฟมีอยู่ ยิ่งเที่ยวแสวงหาไฟอีก เห็นหิ่งห้อยในเวลา                           กลางคืน ก็มาสำคัญว่าเป็นไฟ.              [๗๖๙] บุคคลนั้น เอาจุรณโคมัยและหญ้าขยี้ให้ละเอียดโปรยลงบนหิ่งห้อย                           เพื่อจะให้เกิดไฟ ก็ไม่สามารถจะให้ไฟลุกได้ ด้วยความสำคัญวิปริต                           ฉันใด.              [๗๗๐] คนพาล ย่อมไม่ได้สิ่งที่ต้องประสงค์โดยมิใช่อุบาย นมโคไม่มีที่เขา                           โค คนรีดนมโคจากเขาโค ย่อมไม่ได้นม ก็ฉันนั้น.              [๗๗๑] ชนทั้งหลาย ย่อมบรรลุถึงประโยชน์ด้วยอุบายต่างๆ คือ ด้วยการข่มศัตรู                           และด้วยการยกย่องมิตร.              [๗๗๒] พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย ย่อมครอบครองแผ่นดินอยู่ได้ ก็ด้วยการได้                           อำมาตย์ผู้เป็นประมุขของเสนี และด้วยการแนะนำของอำมาตย์ผู้ที่ทรง                           โปรดปราน.
จบ ขัชโชปนกชาดกที่ ๔.
๕. อหิตุณฑิกชาดก
ว่าด้วยลิงกับหมองู
             [๗๗๓] ดูกรสหายผู้มีหน้างาม เราเป็นนักเลงสะกา แพ้เขาเพราะลูกบาด ท่าน                           จงทิ้งมะม่วงสุกลงมาบ้าง เราจะได้บริโภคเพราะความเพียรของท่าน.              [๗๗๔] ดูกรสหาย ท่านมากล่าวสรรเสริญเราผู้ลอกแลก ด้วยคำไม่เป็นจริง ขึ้น                           ชื่อว่าลิงที่มีหน้างาม ท่านเคยได้ยินหรือเคยได้เห็นที่ไหนมาบ้าง?              [๗๗๕] ดูกรหมองู ท่านทำกรรมใดไว้กะเรา กรรมนั้นย่อมปรากฏอยู่ในหัวใจ                           ของเราจนวันนี้ ท่านเข้าไปยังตลาดขายข้าวเปลือก เมาสุราแล้ว ตีเรา                           ผู้กำลังหิวโหยถึงสามครั้ง.              [๗๗๖] เราระลึกถึงการนอนเป็นทุกข์ อยู่ที่ตลาดนั้นได้ อนึ่ง ถึงท่านจะยก                           ราชสมบัติให้เราครอบครอง ท่านขอมะม่วงเราแม้ผลเดียว เราก็ไม่ให้                           เพราะว่าเราถูกท่านคุกคามให้กลัวเสียแล้ว.              [๗๗๗] อนึ่ง บัณฑิตรู้จักผู้ใดที่เกิดในตระกูล เอิบอิ่มอยู่ในห้อง ไม่มีความ                           ตระหนี่ ก็ควรจะผูกความเป็นสหาย และมิตรภาพกับผู้นั้นไว้ให้สนิท.
จบ อหิตุณฑิกชาดกที่ ๕.
๖. คุมพิยชาดก
เปรียบวัตถุกามเหมือนยาพิษ
             [๗๗๘] ยักษ์ชื่อคุมพิยะเที่ยวหาเหยื่อของตนอยู่ ได้วางยาพิษอันมีสี กลิ่นและ                           รสเหมือนน้ำผึ้งไว้ในป่า.              [๗๗๙] สัตว์เหล่าใด มาสำคัญว่าน้ำผึ้ง กินยาพิษนั้นเข้าไป ยาพิษนั้นเป็นของ                           ร้ายแรงกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้น ต้องพากันเข้าถึงความตาย เพราะ                           ยาพิษนั้น.              [๗๘๐] ส่วนสัตว์เหล่าใดพิจารณารู้ว่า เป็นยาพิษแล้ว ละเว้นเสีย สัตว์เหล่า                           นั้น เมื่อสัตว์ที่บริโภคยาพิษเข้าไป กระสับกระส่ายอยู่ ถูกฤทธิ์ยาพิษ                           แผดเผาอยู่ ก็เป็นผู้มีความสุข ดับความทุกข์เสียได้.              [๗๘๑] วัตถุกามทั้งหลายฝังอยู่ในมนุษย์ บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นยาพิษ เหมือน                           กับยาพิษ อันยักษ์วางไว้ที่หนทางฉะนั้น กามคุณนี้ชื่อว่าเป็นเหยื่อ                           ของสัตวโลก และชื่อว่าเป็นเครื่องผูกมัดสัตวโลกไว้ มฤตยูมีถ้ำคือ                           ร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย.              [๗๘๒] บัณฑิตเหล่าใด ผู้มีความเร่าร้อน ย่อมละเว้นกามคุณเหล่านี้ อันเป็น                           เครื่องบำรุง ปรุงกิเลส เสียได้ในกาลทุกเมื่อ บัณฑิตเหล่านั้นนับว่า                           ได้ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้องในโลกแล้ว เหมือนกับผู้ละเว้นยาพิษที่ยักษ์                           วางไว้ในหนทางใหญ่ ฉะนั้น.
จบ คุมพิยชาดกที่ ๖.
๗. สาลิยชาดก
ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
             [๗๘๓] ผู้ใดลวงให้เราจับงูเห่าว่า นี่ลูกนกสาลิกา ผู้นั้นตามพร่ำสอนสิ่งที่ลามก                           ถูกงูนั้นกัดตายแล้ว.              [๗๘๔] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเอง และผู้ไม่ใช้คนอื่นให้ฆ่าตน คน                           นั้นถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น.              [๗๘๕] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียดเบียนตน และไม่ฆ่าตน คนนั้น                           ถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น.              [๗๘๖] บุรุษผู้กำฝุ่นไว้ในมือ พึงซัดฝุ่นไปในที่ทวนลม ละอองฝุ่นนั้น ย่อม                           หวนกลับมากระทบบุรุษนั้นเอง เหมือนบุรุษถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น.              [๗๘๗] ผู้ใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้ายตน เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด                           เลย บาปย่อมกลับมาถึงคนพาลผู้นั้นเอง เหมือนกับละอองละเอียด                           ที่บุคคลซัดไปทวนลม ฉะนั้น.
จบ สาลิยชาดกที่ ๗.
๘. ตจสารชาดก
คนฉลาดย่อมไม่แสดงอาการให้ศัตรูเห็น
             [๗๘๘] พวกเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู ถูกเขาจองจำด้วยท่อนไม้ไผ่แล้ว                           ยังเป็นผู้มีสีหน้าผ่องใส เพราะเหตุไรพวกเจ้าจึงไม่เศร้าโศกเล่า?              [๗๘๙] บุคคลไม่พึงได้ความเจริญแม้แต่เล็กน้อย ด้วยความเศร้าโศก และ                           ความร่ำรำพัน พวกศัตรูรู้ว่า บุคคลนั้นเศร้าโศก ได้รับความทุกข์ ย่อม                           ดีใจ.              [๗๙๐] ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดในการวินิจฉัยความ ย่อมไม่สะทกสะท้านเพราะอัน-                           ตรายที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าเมื่อไร พวกศัตรูได้เห็นหน้าของบัณฑิตนั้น อัน                           ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนแต่ก่อน ย่อมเกิดความทุกข์.              [๗๙๑] บุคคลจะพึงได้ประโยชน์ในที่ใด ด้วยประการใดๆ เช่น การร่ายมนต์                           การปรึกษาท่านผู้รู้ การกล่าววาจาอ่อนหวาน การให้สินบน หรือการสืบ                           วงศ์ตระกูล พึงหาเพียรในที่นั้น ด้วยประการนั้นๆ เถิด.              [๗๙๒] ก็ในการใด บัณฑิตพึงรู้ว่า ประโยชน์นี้เราหรือคนอื่นไม่พึงได้รับ ใน                           กาลนั้น ก็ไม่ควรเศร้าโศก ควรอดกลั้นไว้ด้วยคิดเสียว่า กรรมเป็น                           ของมั่นคง บัดนี้ เราจะกระทำอย่างไรดี.
จบ ตจสารชาดกที่ ๘.
๙. มิตตวินทุกชาดก
ว่าด้วยจักรกรดพัดบนหัว
             [๗๙๓] ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรไว้ให้แก่เทวดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กระทำบาป                           กรรมอะไรไว้ จักรกรดจึงได้มากระทบศีรษะของข้าพเจ้าพัดอยู่บนกระ                           หม่อม?              [๗๙๔] ท่านล่วงเลยปราสาทแก้วผลึก ปราสาทแก้วมณี ปราสาทเงิน และ                           ปราสาททอง แล้วมาในที่นี้เพราะเหตุอะไร?              [๗๙๕] เชิญท่านดูข้าพเจ้าผู้ถึงความฉิบหาย เพราะความสำคัญเช่นนี้ว่า โภค                           สมบัติในที่นี้ เห็นจะมีมากกว่าโภคสมบัติในปราสาททั้งสี่นั้น.              [๗๙๖] ท่านละทิ้งนางเวมานิกเปรต ๔ มาได้นางเวมานิกเปรต ๘ ละทิ้งนางเวมา-                           นิกเปรต ๘ มาได้นางเวมานิกเปรต ๑๖ ละทิ้งนางเวมานิกเปรต ๑๖ มา                           ได้นางเวมานิกเปรต ๓๒ ปรารถนาไม่รู้จักพอ จึงมายินดีจักรกรด                           จักรกรดจึงพัดอยู่บนกระหม่อมของท่าน ผู้ถูกความปรารถนาครอบงำไว้.              [๗๙๗] อันธรรมดา ตัณหาเป็นสิ่งที่กว้างขวางอยู่ ณ เบื้องบน ให้เต็มได้ยาก                           มักเป็นไปตามอำนาจของความปรารถนา เพราะฉะนั้น ชนเหล่าใดมา                           กำหนัดยินดีตัณหานั้น ชนเหล่านั้นจึงต้องเป็นผู้ทูนจักรกรดไว้.
จบ มิตตวินทุกชาดกที่ ๙.
๑๐. ปลาสชาดก
ว่าด้วยเหตุที่จะต้องหนีจากไป
             [๗๙๘] พระยาหงส์ได้กล่าวกะปลาสเทวดาว่า ดูกรสหาย ต้นไทรเกิดติดอยู่ที่                           ค่าคบของท่านแล้ว มันเจริญขึ้นแล้ว จะตัดชีวิตของท่านเสีย.              [๗๙๙] ข้าพเจ้าจะเป็นที่พึ่งทำต้นไทรให้เจริญขึ้น ต้นไทรนี้จักเป็นที่พึ่งของ                           ข้าพเจ้า เหมือนมารดาบิดา เป็นที่พึ่งของบุตรแล้ว บุตรกลับเป็นที่พึ่ง                           ของมารดาบิดา ฉะนั้น.              [๘๐๐] เหตุใดท่านจึงให้ต้นไม้ที่น่าหวาดเสียวดุจข้าศึก เจริญขึ้นอยู่ที่ค่าคบ เหตุ                           นั้นข้าพเจ้าบอกท่านแล้วจะไป ความเจริญแห่งต้นไทรนั้น ข้าพเจ้าไม่                           ชอบใจเลย.              [๘๐๑] บัดนี้ ต้นไทรนี้ทำให้เราน่าหวาดเสียวภัยอันใหญ่หลวง ได้มาถึงเรา                           เพราะไม่รู้สึกถึงคำ อันใหญ่หลวงของพระยาหงส์ ซึ่งควรเปรียบ                           ด้วยขุนเขาสิเนรราช.              [๘๐๒] ผู้ใด เมื่อกำลังเจริญอยู่ กระทำที่พึ่งอาศัยให้พินาศไปเสีย ความเจริญ                           ของผู้นั้น ท่านผู้ฉลาดไม่สรรเสริญ นักปราชญ์รังเกียจความพินาศของผู้                           นั้น จึงเพียรพยายามที่จะตัดรากเหง้าเสีย.
จบ ปลาสชาดกที่ ๑๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น