๑. วรรณาโรหชาดก ว่าด้วยผู้มีใจคอหนักแน่น [๗๕๓] ท่านผู้มีเขี้ยวงามกล่าวว่า เสือโคร่งชื่อสุพาหุนี้ มีลักษณะ วรรณะ ชาติ กำลังกาย และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา. [๗๕๔] เสือโคร่งชื่อสุพาหุกล่าวว่า ราชสีห์ผู้มีเขี้ยวงาม มีลักษณะ วรรณะ ชาติ กำลังกาย และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา. [๗๕๕] แนะเพื่อนสุพาหุ ถ้าท่านจะประทุษร้ายเราผู้อยู่กับท่านอย่างนี้ บัดนี้ เราก็ไม่พึงยินดีอยู่ร่วมกับท่านต่อไป. [๗๕๖] ผู้ใดเชื่อฟังคำของคนอื่นตามที่เป็นจริง ผู้นั้นต้องพลันแตกจากมิตร และต้องประสบเวรเป็นอันมาก. [๗๕๗] ผู้ใดไม่ประมาททุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้นั้น ไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความรังเกียจ มิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอกมารดา ฉะนั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้.จบ วรรณาโรหชาดกที่ ๑. ๒. สีลวีมังสชาดก ผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นผู้เสมอกัน [๗๕๘] ข้าพระองค์มีความสงสัยว่า ศีลประเสริฐ หรือสุตะประเสริฐ ศีลนี่แหละ ประเสริฐกว่าสุตะ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยแล้ว. [๗๕๙] ชาติและวรรณะเป็นของเปล่า ได้สดับมาว่า ศีลเท่านั้นประเสริฐที่สุด บุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยศีล ย่อมไม่ได้ประโยชน์เพราะสุตะ. [๗๖๐] กษัตริย์และแพศย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่อาศัยธรรม ชนทั้งสองนั้นละ โลกนี้ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ. [๗๖๑] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อ ประพฤติธรรมในธรรมวินัยนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในไตรทิพย์. [๗๖๒] เวท ชาติ แม้พวกพ้อง ก็ไม่สามารถจะให้อิสริยยศหรือความสุขใน ภพหน้าได้ ส่วนศีลของตนเองที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมนำความสุขใน ภพหน้ามาให้ได้.จบ สีลวีมังสชาดกที่ ๒. ๓. หิริชาดก การกระทำที่ส่อให้รู้ว่ามิตรหรือมิใช่มิตร [๗๖๓] ผู้ใดหมดความอาย เกลียดชังความมีเมตตา กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตร สหายของท่าน ไม่ได้เอื้อเฟื้อทำการงานที่ดีกว่า บัณฑิตรู้จักผู้นั้นได้ดี ว่า ผู้นี้มิใช่มิตรสหายของเรา. [๗๖๔] เพราะว่า บุคคลชอบทำอย่างไร ก็พึงกล่าวอย่างนั้น ไม่ชอบทำอย่างไร ก็ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายรู้จักบุคคลนั้นว่า ผู้ไม่ทำให้สม กับพูด เป็นแต่กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตรสหายของท่าน. [๗๖๕] ผู้ใดไม่ประมาทอยู่ทุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้ นั้นไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความ รังเกียจในมิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอก มารดา ฉะนั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้. [๗๖๖] กุลบุตรผู้มองเห็นผลอานิสงส์ เมื่อจะนำธุระของบุรุษ ย่อมให้เกิดฐานะ คือ การทำความปราโมทย์ และความสุข อันจะนำความสรรเสริญมาให้. [๗๖๗] บุคคลได้ดื่มรสอันเกิดจากวิเวก รสแห่งความสงบ และรสคือธรรมปีติ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย เป็นผู้หมดบาป.จบ หิริชาดกที่ ๓. ๔. ขัชโชปนกชาดก ว่าด้วยเห็นหิ่งห้อยว่าเป็นไฟ [๗๖๘] ใครหนอ เมื่อไฟมีอยู่ ยิ่งเที่ยวแสวงหาไฟอีก เห็นหิ่งห้อยในเวลา กลางคืน ก็มาสำคัญว่าเป็นไฟ. [๗๖๙] บุคคลนั้น เอาจุรณโคมัยและหญ้าขยี้ให้ละเอียดโปรยลงบนหิ่งห้อย เพื่อจะให้เกิดไฟ ก็ไม่สามารถจะให้ไฟลุกได้ ด้วยความสำคัญวิปริต ฉันใด. [๗๗๐] คนพาล ย่อมไม่ได้สิ่งที่ต้องประสงค์โดยมิใช่อุบาย นมโคไม่มีที่เขา โค คนรีดนมโคจากเขาโค ย่อมไม่ได้นม ก็ฉันนั้น. [๗๗๑] ชนทั้งหลาย ย่อมบรรลุถึงประโยชน์ด้วยอุบายต่างๆ คือ ด้วยการข่มศัตรู และด้วยการยกย่องมิตร. [๗๗๒] พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย ย่อมครอบครองแผ่นดินอยู่ได้ ก็ด้วยการได้ อำมาตย์ผู้เป็นประมุขของเสนี และด้วยการแนะนำของอำมาตย์ผู้ที่ทรง โปรดปราน.จบ ขัชโชปนกชาดกที่ ๔. ๕. อหิตุณฑิกชาดก ว่าด้วยลิงกับหมองู [๗๗๓] ดูกรสหายผู้มีหน้างาม เราเป็นนักเลงสะกา แพ้เขาเพราะลูกบาด ท่าน จงทิ้งมะม่วงสุกลงมาบ้าง เราจะได้บริโภคเพราะความเพียรของท่าน. [๗๗๔] ดูกรสหาย ท่านมากล่าวสรรเสริญเราผู้ลอกแลก ด้วยคำไม่เป็นจริง ขึ้น ชื่อว่าลิงที่มีหน้างาม ท่านเคยได้ยินหรือเคยได้เห็นที่ไหนมาบ้าง? [๗๗๕] ดูกรหมองู ท่านทำกรรมใดไว้กะเรา กรรมนั้นย่อมปรากฏอยู่ในหัวใจ ของเราจนวันนี้ ท่านเข้าไปยังตลาดขายข้าวเปลือก เมาสุราแล้ว ตีเรา ผู้กำลังหิวโหยถึงสามครั้ง. [๗๗๖] เราระลึกถึงการนอนเป็นทุกข์ อยู่ที่ตลาดนั้นได้ อนึ่ง ถึงท่านจะยก ราชสมบัติให้เราครอบครอง ท่านขอมะม่วงเราแม้ผลเดียว เราก็ไม่ให้ เพราะว่าเราถูกท่านคุกคามให้กลัวเสียแล้ว. [๗๗๗] อนึ่ง บัณฑิตรู้จักผู้ใดที่เกิดในตระกูล เอิบอิ่มอยู่ในห้อง ไม่มีความ ตระหนี่ ก็ควรจะผูกความเป็นสหาย และมิตรภาพกับผู้นั้นไว้ให้สนิท.จบ อหิตุณฑิกชาดกที่ ๕. ๖. คุมพิยชาดก เปรียบวัตถุกามเหมือนยาพิษ [๗๗๘] ยักษ์ชื่อคุมพิยะเที่ยวหาเหยื่อของตนอยู่ ได้วางยาพิษอันมีสี กลิ่นและ รสเหมือนน้ำผึ้งไว้ในป่า. [๗๗๙] สัตว์เหล่าใด มาสำคัญว่าน้ำผึ้ง กินยาพิษนั้นเข้าไป ยาพิษนั้นเป็นของ ร้ายแรงกว่าสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้น ต้องพากันเข้าถึงความตาย เพราะ ยาพิษนั้น. [๗๘๐] ส่วนสัตว์เหล่าใดพิจารณารู้ว่า เป็นยาพิษแล้ว ละเว้นเสีย สัตว์เหล่า นั้น เมื่อสัตว์ที่บริโภคยาพิษเข้าไป กระสับกระส่ายอยู่ ถูกฤทธิ์ยาพิษ แผดเผาอยู่ ก็เป็นผู้มีความสุข ดับความทุกข์เสียได้. [๗๘๑] วัตถุกามทั้งหลายฝังอยู่ในมนุษย์ บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นยาพิษ เหมือน กับยาพิษ อันยักษ์วางไว้ที่หนทางฉะนั้น กามคุณนี้ชื่อว่าเป็นเหยื่อ ของสัตวโลก และชื่อว่าเป็นเครื่องผูกมัดสัตวโลกไว้ มฤตยูมีถ้ำคือ ร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย. [๗๘๒] บัณฑิตเหล่าใด ผู้มีความเร่าร้อน ย่อมละเว้นกามคุณเหล่านี้ อันเป็น เครื่องบำรุง ปรุงกิเลส เสียได้ในกาลทุกเมื่อ บัณฑิตเหล่านั้นนับว่า ได้ก้าวล่วงกิเลสเครื่องข้องในโลกแล้ว เหมือนกับผู้ละเว้นยาพิษที่ยักษ์ วางไว้ในหนทางใหญ่ ฉะนั้น.จบ คุมพิยชาดกที่ ๖. ๗. สาลิยชาดก ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว [๗๘๓] ผู้ใดลวงให้เราจับงูเห่าว่า นี่ลูกนกสาลิกา ผู้นั้นตามพร่ำสอนสิ่งที่ลามก ถูกงูนั้นกัดตายแล้ว. [๗๘๔] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่ฆ่าเอง และผู้ไม่ใช้คนอื่นให้ฆ่าตน คน นั้นถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษผู้ถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น. [๗๘๕] คนใดปรารถนาจะฆ่าบุคคลผู้ไม่เบียดเบียนตน และไม่ฆ่าตน คนนั้น ถูกฆ่าแล้วนอนตายอยู่ เหมือนกับบุรุษถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น. [๗๘๖] บุรุษผู้กำฝุ่นไว้ในมือ พึงซัดฝุ่นไปในที่ทวนลม ละอองฝุ่นนั้น ย่อม หวนกลับมากระทบบุรุษนั้นเอง เหมือนบุรุษถูกงูกัดตายแล้ว ฉะนั้น. [๗๘๗] ผู้ใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้ายตน เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด เลย บาปย่อมกลับมาถึงคนพาลผู้นั้นเอง เหมือนกับละอองละเอียด ที่บุคคลซัดไปทวนลม ฉะนั้น.จบ สาลิยชาดกที่ ๗. ๘. ตจสารชาดก คนฉลาดย่อมไม่แสดงอาการให้ศัตรูเห็น [๗๘๘] พวกเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู ถูกเขาจองจำด้วยท่อนไม้ไผ่แล้ว ยังเป็นผู้มีสีหน้าผ่องใส เพราะเหตุไรพวกเจ้าจึงไม่เศร้าโศกเล่า? [๗๘๙] บุคคลไม่พึงได้ความเจริญแม้แต่เล็กน้อย ด้วยความเศร้าโศก และ ความร่ำรำพัน พวกศัตรูรู้ว่า บุคคลนั้นเศร้าโศก ได้รับความทุกข์ ย่อม ดีใจ. [๗๙๐] ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดในการวินิจฉัยความ ย่อมไม่สะทกสะท้านเพราะอัน- ตรายที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าเมื่อไร พวกศัตรูได้เห็นหน้าของบัณฑิตนั้น อัน ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนแต่ก่อน ย่อมเกิดความทุกข์. [๗๙๑] บุคคลจะพึงได้ประโยชน์ในที่ใด ด้วยประการใดๆ เช่น การร่ายมนต์ การปรึกษาท่านผู้รู้ การกล่าววาจาอ่อนหวาน การให้สินบน หรือการสืบ วงศ์ตระกูล พึงหาเพียรในที่นั้น ด้วยประการนั้นๆ เถิด. [๗๙๒] ก็ในการใด บัณฑิตพึงรู้ว่า ประโยชน์นี้เราหรือคนอื่นไม่พึงได้รับ ใน กาลนั้น ก็ไม่ควรเศร้าโศก ควรอดกลั้นไว้ด้วยคิดเสียว่า กรรมเป็น ของมั่นคง บัดนี้ เราจะกระทำอย่างไรดี.จบ ตจสารชาดกที่ ๘. ๙. มิตตวินทุกชาดก ว่าด้วยจักรกรดพัดบนหัว [๗๙๓] ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรไว้ให้แก่เทวดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้กระทำบาป กรรมอะไรไว้ จักรกรดจึงได้มากระทบศีรษะของข้าพเจ้าพัดอยู่บนกระ หม่อม? [๗๙๔] ท่านล่วงเลยปราสาทแก้วผลึก ปราสาทแก้วมณี ปราสาทเงิน และ ปราสาททอง แล้วมาในที่นี้เพราะเหตุอะไร? [๗๙๕] เชิญท่านดูข้าพเจ้าผู้ถึงความฉิบหาย เพราะความสำคัญเช่นนี้ว่า โภค สมบัติในที่นี้ เห็นจะมีมากกว่าโภคสมบัติในปราสาททั้งสี่นั้น. [๗๙๖] ท่านละทิ้งนางเวมานิกเปรต ๔ มาได้นางเวมานิกเปรต ๘ ละทิ้งนางเวมา- นิกเปรต ๘ มาได้นางเวมานิกเปรต ๑๖ ละทิ้งนางเวมานิกเปรต ๑๖ มา ได้นางเวมานิกเปรต ๓๒ ปรารถนาไม่รู้จักพอ จึงมายินดีจักรกรด จักรกรดจึงพัดอยู่บนกระหม่อมของท่าน ผู้ถูกความปรารถนาครอบงำไว้. [๗๙๗] อันธรรมดา ตัณหาเป็นสิ่งที่กว้างขวางอยู่ ณ เบื้องบน ให้เต็มได้ยาก มักเป็นไปตามอำนาจของความปรารถนา เพราะฉะนั้น ชนเหล่าใดมา กำหนัดยินดีตัณหานั้น ชนเหล่านั้นจึงต้องเป็นผู้ทูนจักรกรดไว้.จบ มิตตวินทุกชาดกที่ ๙. ๑๐. ปลาสชาดก ว่าด้วยเหตุที่จะต้องหนีจากไป [๗๙๘] พระยาหงส์ได้กล่าวกะปลาสเทวดาว่า ดูกรสหาย ต้นไทรเกิดติดอยู่ที่ ค่าคบของท่านแล้ว มันเจริญขึ้นแล้ว จะตัดชีวิตของท่านเสีย. [๗๙๙] ข้าพเจ้าจะเป็นที่พึ่งทำต้นไทรให้เจริญขึ้น ต้นไทรนี้จักเป็นที่พึ่งของ ข้าพเจ้า เหมือนมารดาบิดา เป็นที่พึ่งของบุตรแล้ว บุตรกลับเป็นที่พึ่ง ของมารดาบิดา ฉะนั้น. [๘๐๐] เหตุใดท่านจึงให้ต้นไม้ที่น่าหวาดเสียวดุจข้าศึก เจริญขึ้นอยู่ที่ค่าคบ เหตุ นั้นข้าพเจ้าบอกท่านแล้วจะไป ความเจริญแห่งต้นไทรนั้น ข้าพเจ้าไม่ ชอบใจเลย. [๘๐๑] บัดนี้ ต้นไทรนี้ทำให้เราน่าหวาดเสียวภัยอันใหญ่หลวง ได้มาถึงเรา เพราะไม่รู้สึกถึงคำ อันใหญ่หลวงของพระยาหงส์ ซึ่งควรเปรียบ ด้วยขุนเขาสิเนรราช. [๘๐๒] ผู้ใด เมื่อกำลังเจริญอยู่ กระทำที่พึ่งอาศัยให้พินาศไปเสีย ความเจริญ ของผู้นั้น ท่านผู้ฉลาดไม่สรรเสริญ นักปราชญ์รังเกียจความพินาศของผู้ นั้น จึงเพียรพยายามที่จะตัดรากเหง้าเสีย.จบ ปลาสชาดกที่ ๑๐.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วรรณาโรหชาดก
ป้ายกำกับ:
วรรณาโรหชาดก.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น