วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กาสาวชาดก

๑. กาสาวชาดก
ว่าด้วยผู้ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
             [๒๙๑] ผู้ใด ยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะ จักนุ่งห่มผ้าย้อม                           น้ำฝาด ผู้นั้น ย่อมไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเลย.              [๒๙๒] ส่วนผู้ใด คายกิเลสดุจน้ำฝาดแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลทั้งหลาย ประกอบด้วย                           ทมะและสัจจะ ผู้นั้นแล ย่อมสมควรจะนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดได้.
จบ กาสาวชาดกที่ ๑.
๒. จุลลนันทิยชาดก
ผลของกรรมดีกรรมชั่ว
             [๒๙๓] ปาราสริยพราหมณ์ได้กล่าวคำใดไว้ว่า ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่ว อันจะทำ                           ตัวท่านให้เดือดร้อนในภายหลังนะ คำนี้นั้น เป็นถ้อยคำของท่านอาจารย์.              [๒๙๔] บุรุษทำกรรมเหล่าใดไว้ เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน ผู้ทำกรรมดี                           ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด                           ย่อมได้รับผลเช่นนั้น.
จบ จุลลนันทิยชาดกที่ ๒.
๓. ปุฏภัตตชาดก
ว่าด้วยการคบ
             [๒๙๕] บุคคลควรนอบน้อมต่อผู้ที่นอบน้อมตน ควรคบกับผู้ที่คบตน ควรทำกิจ                           ตอบแทนแก่ผู้ที่ช่วยทำกิจของตน ไม่ควรทำประโยชน์แก่ผู้ปรารถนาความ                           ฉิบหายให้ และไม่ควรคบกับผู้ที่ไม่คบตน.              [๒๙๖] บุคคลควรละทิ้งผู้ที่ละทิ้งตน ไม่ควรทำความอาลัยรักใคร่ในบุคคลเช่นนั้น                           ไม่ควรสมาคมกับผู้ที่เขาไม่ใฝ่ใจกับตน นกรู้ว่า ต้นไม้หมดผลแล้วก็ละทิ้ง                           ไปหาต้นไม้อื่น เพราะโลกเป็นของกว้างใหญ่.
จบ ปุฏภัตตชาดกที่ ๓.
๔. กุมภีลชาดก
คุณธรรมเครื่องให้เจริญ
             [๒๙๗] ผู้ใด มีคุณธรรม อันเป็นเครื่องให้เจริญอย่างยิ่ง ๔ ประการนี้ คือ สัจจะ ๑                           ธรรม ๑ ธิติ ๑ จาคะ ๑ ผู้นั้น ย่อมล่วงพ้นศัตรูได้.              [๒๙๘] ส่วนผู้ใด ไม่มีคุณธรรม อันเป็นเครื่องให้เจริญอย่างยิ่ง ๔ ประการนี้                           คือ สัจจะ ๑ ธรรม ๑ ธิติ ๑ จาคะ ๑ ผู้นั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูไม่ได้.
จบ กุมภีลชาดกที่ ๔.
๕. ขันติวรรณนชาดก
ต้องอดใจในคนที่หาคุณธรรมยาก
             [๒๙๙] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระบาทมีบุรุษผู้ขวนขวายในกิจทุกอย่าง                           อยู่คนหนึ่ง แต่เขามีความผิดอยู่ข้อหนึ่ง พระองค์จะทรงโปรดดำริในความ                           ผิดของเขานั้นเป็นประการใด พระเจ้าข้า.              [๓๐๐] บุรุษเช่นนี้ของเราก็มีอยู่ในที่นี้ แต่บุรุษผู้ประกอบด้วยองค์คุณหาได้ยาก                           เราจึงสู้อดใจเสีย.
จบ ขันติวรรณนชาดกที่ ๕.
๖. โกสิยชาดก
ว่าด้วยผู้รู้กาลควรไม่ควร
             [๓๐๑] การออกไปในเวลาอันสมควร เป็นความดี การออกไปในเวลาอันไม่                           สมควร ไม่ดี เพราะว่า คนผู้ออกไปโดยเวลาไม่สมควร ย่อมไม่ยัง                           ประโยชน์อะไรให้เกิดได้ คนที่เป็นศัตรูเป็นอันมาก ย่อมทำอันตรายคน                           ผู้ออกไปแต่ผู้เดียวในเวลาอันไม่สมควรได้ เหมือนฝูงการุมจิกนกเค้า                           ฉะนั้น.              [๓๐๒] นักปราชญ์รู้จักวิธีการต่างๆ เข้าใจช่องทางของคนเหล่าอื่น ทำพวกศัตรู                           ทั้งมวลให้อยู่ในอำนาจได้แล้ว พึงอยู่เป็นสุขเหมือนนกเค้าผู้ฉลาด ฉะนั้น.
จบ โกสิยชาดกที่ ๖.
๗. คูถปาณกชาดก
หนอนท้าช้างสู้
             [๓๐๓] ท่านก็เป็นผู้กล้าหาญ มาพบกับเราผู้กล้าหาญ อาจประหารได้ไม่ย่นย่อ                           มาซิช้าง ท่านจงกลับมาก่อน ท่านกลัวหรือจึงได้หนีไป ขอให้พวกคน                           ชาวอังคะและมคธะได้เห็นความกล้าหาญของเรา และของท่านเถิด.              [๓๐๔] เราจักไม่ต้องฆ่าเจ้าด้วยเท้า งา หรือด้วยงวงเลย เราจักฆ่าเจ้าด้วยคูถ                           หนอนตัวเน่า ควรฆ่าด้วยของเน่าเช่นกัน.
จบ คูถปาณกชาดกที่ ๗.
๘. กามนีตชาดก
ผู้ถูกโรครักครอบงำรักษายาก
             [๓๐๕] เราปรารถนาระหว่างเมืองทั้ง ๓ คือ เมืองปัญจาละ ๑ เมืองกุรุยะ ๑ เมือง                           เกกกะ ๑ ดูกรท่านพราหมณ์ เราปรารถนาราชสมบัติทั้ง ๓ เมืองนั้นมาก                           กว่าสมบัติที่เราได้แล้วนี้ ดูกรพราหมณ์ ขอให้ท่านช่วยรักษาเราผู้ถูก                           ความใคร่ครอบงำด้วยเถิด.              [๓๐๖] อันที่จริง เมื่อบุคคลถูกงูเห่ากัด หมอบางคนก็รักษาได้ อนึ่ง บุคคลถูกผี                           เข้าสิง หมอผู้ฉลาดก็ไล่ออกได้ แต่บุคคลถูกความใคร่ครอบงำแล้ว                           ใครๆ ก็รักษาไม่หาย เพราะว่า เมื่อบุคคลล่วงเลยธรรมขาวเสียแล้ว                           จะรักษาได้อย่างไร?
จบ กามนีตชาดกที่ ๘.
๙. ปลายิชาดก
ว่าด้วยขับไล่ศัตรูแบบสายฟ้าแลบ
             [๓๐๗] เมืองตักกสิลาถูกเขาล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ด้วยกองพลช้างตัวประเสริฐ                           ซึ่งร้องคำรนอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลม้าตัวประเสริฐ ซึ่งคลุมมาลาเครื่อง                           ครบอยู่ด้านหนึ่ง ด้วยกองพลรถ ดุจคลื่นในมหาสมุทรอันยังฝนคือ                           ลูกศรให้ตกลงด้านหนึ่ง ด้วยกองพลเดินเท้า ถือธนูมั่นมีฝีมือยิงแม่นอยู่                           ด้านหนึ่ง.              [๓๐๘] ท่านทั้งหลายจงรีบรุกเข้าไป และจงรีบบุกเข้าไป จงไสช้างให้หนุนเนื่อง                           กันเข้าไปเลย จงโห่ร้องให้สนั่นหวั่นไหวในวันนี้ ดุจสายฟ้าอันซ่าน                           ออกจากกลีบเมฆคำรนอยู่ ฉะนั้น.
จบ ปลายิชาดกที่ ๙.
๑๐. ทุติยปลายิชาดก
คนถูกความเร่าร้อนเผาจนไม่อาจสู้ข้าศึกได้
             [๓๐๙] ธงสำหรับรถของเรามีมากมาย พลพาหนะของเราก็นับไม่ถ้วนแสนยาก                           ที่ศัตรูจะหาญหักเข้าสู้รบได้ ดุจสาครยากที่ฝูงกาจะบินข้ามให้ถึงฝั่งได้                           ฉะนั้น อนึ่ง กองพลของเรานี้ยากที่กองพลอื่นจะหาญเข้าตีหักได้ดุจภูเขา                           อันลมไม่อาจให้ไหวได้ ฉะนั้น วันนี้ เราประกอบด้วยกองพลเท่านี้ อันกอง                           พลเช่นนั้นยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้ารุกรานได้.              [๓๑๐] ท่านอย่าพูดเพ้อถึงความที่ตนเป็นคนโง่เขลาไปเลย คนเช่นท่านจะเรียกว่า                           ผู้สามารถไม่ได้ ท่านถูกความเร่าร้อน คือ ราคะ โทสะ โมหะ และมานะ                           เผารนอยู่เสมอ ไม่อาจจะกำจัดเราได้เลย จะต้องหนีเราไป กองพล                           ของเราจักย่ำยีท่านหมดทั้งกองพล ดุจช้างเมามันขยี้ไม้อ้อด้วยเท้า ฉะนั้น.
จบ ทุติยปลายิชาดกที่ ๑๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น