๑. กุกกุชาดก ว่าด้วยปฏิปทาของพระราชาผู้เป็นบัณฑิต [๙๖๙] ช่อฟ้าโดยส่วนสูงประมาณสองศอกคืบ โดยรอบกว้างประมาณแปดคืบ เป็นไม้สีเสียดมีแต่แก่น ไม่มีกระพี้ ตั้งอยู่ได้อย่างไร จึงไม่ตกลงจาก ข้างบน? [๙๗๐] กลอนสามสิบอันสำเร็จด้วยไม้แก่น ไม่มีกระพี้ เรียงรายตั้งอยู่ได้ส่วน กัน ช่อฟ้าอันกลอนเหล่านั้น และกำลังยึดเหนี่ยวรั้งไว้แน่นหนา ตั้ง อยู่ได้ส่วนกัน จึงไม่ตกลงจากข้างบน ฉันใด. [๙๗๑] พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ก็ฉันนั้น อันกัลยาณมิตรทั้งหลายผู้มีจิตมั่นคง มิ ได้แตกร้าว เป็นคนสะอาด มีปัญญา สงเคราะห์เป็นอย่างดีแล้ว ย่อมไม่ เสื่อมจากศิริ เหมือนช่อฟ้าที่กลอนเหนี่ยวรั้งไว้ ฉะนั้น. [๙๗๒] บุคคลถือมีดไม่ปอกผลมะนาวที่มีเปลือกอันแข็งออกเสียก่อน ก็จะทำ รสมะนาวให้ขมได้ เมื่อปอกเปลือกออกดีแล้วจะทำให้มะนาวมีรสอร่อย ดีขึ้น แต่เมื่อปอกเปลือกออกไม่หมดดี ก็จะทำให้มีรสไม่อร่อยได้ ฉันใด. [๙๗๓] แม้พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ก็ฉันนั้น พระทัยไม่เหี้ยมโหดแก่ชาวบ้านและ ชาวนิคม รวบรวมทรัพย์ไว้ ทรงประพฤติตามธรรมปฏิบัติอยู่ ไม่ทรง เบียดเบียนประชาชน ทรงทำแต่ความเจริญรุ่งเรืองให้. [๙๗๔] ดอกบัวเกิดในน้ำอันใสสะอาด มีรากอันขาวเกิดขึ้นในสระโบกขรณี พอต้องแสงอาทิตย์ก็บาน เปือกตม ธุลีและน้ำก็มิได้แปดเปื้อน ฉันใด. [๙๗๕] พระมหากษัตริย์ก็ฉันนั้น ทรงทำการวินิจฉัยโดยชอบธรรม เว้นอคติ ไม่ตัดสินโดยผลุนผลัน มีการงานบริสุทธิ์ปราศจากกรรมอันชั่วช้า ย่อม ไม่แปดเปื้อนกรรมกิเลส เหมือนดอกบัวที่เกิดในสระโบกขรณี ฉะนั้น.จบ กุกกุชาดกที่ ๑. ๒. มโนชชาดก คบคนชั่วไม่ได้ความสุขยั่งยืน [๙๗๖] เหตุใดลูกศรจึงไม่หลุดไปจากแหล่ง และสายจึงหดหู่เข้ามา พระยาเนื้อ ชื่อมโนชะสหายของเรา คงถูกเขาฆ่าตายเป็นแน่. [๙๗๗] ผิฉะนั้น บัดนี้ เราจะหลีกไปชายป่าตามความสบาย ธรรมดาสหายผู้ ตายแล้วเช่นนี้ไม่มี เราผู้มีชีวิตอยู่พึงได้สหาย. [๙๗๘] บุคคลผู้คบหากับปาปชน ย่อมไม่ได้ความสุขยืนนาน จงดูพระยาเนื้อ ชื่อมโนชะ มาคบกับสุนัขจิ้งจอก ทำตามคำสอนของสุนัขจิ้งจอก [๙๗๙] มารดาย่อมไม่ยินดีกับบุตรผู้คบหาปาปชน จงดูแต่พระยาเนื้อชื่อมโนชะ คบกับสุนัขจิ้งจอก นอนจมเลือดอยู่. [๙๘๐] บุรุษมาถึงความเป็นอย่างนั้นบ้าง จะต้องถึงความเลวทรามต่ำช้า ผู้ใดไม่ ทำตามคำของบุคคลผู้หวังความเกื้อกูล ช่วยชี้ประโยชน์ให้ ผู้นั้นเป็น ผู้เลวทรามต่ำช้า. [๙๘๑] อนึ่ง ผู้ใดเป็นคนชั้นสูงแต่มาคบหากับคนชั้นต่ำ ผู้นั้นเป็นคนเลวทราม ต่ำช้ากว่าเขาเสียอีก อย่างนี้ จงดูแต่ราชสีห์เป็นสัตว์ชั้นสูงเป็นใหญ่กว่า มฤคชาติ แต่มาคบหากับสุนัขจิ้งจอกผู้ชั่วช้า ต้องตายด้วยกำลังลูกศร ของนายพราน. [๙๘๒] บุรุษผู้คบหากับคนเลวทราม ย่อมเลวทราม ผู้คบหากับคนที่เสมอกับตน ย่อมไม่เสื่อมในกาลไหนๆ เมื่อจะเข้าไปคบหากับคนที่ดีกว่าตน ควรรีบ เข้าไปคบหา เพราะฉะนั้น จงคบแต่ผู้ที่ดีกว่าตน.จบ มโนชชาดกที่ ๒. ๓. สุตนชาดก ว่าด้วยเสียเพื่อได้ [๙๘๓] ดูกรมฆเทพผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรนี้ พระราชารับสั่งให้ส่งอาหารเจือ ด้วยเนื้ออันสะอาดมาให้ท่าน เชิญท่านออกมาบริโภคเสียเถิด. [๙๘๔] ดูกรมาณพ เชิญท่านนำอาหารพร้อมด้วยกับมาให้เรา ดูกรมาณพ ท่าน ก็มีอาหาร เรามาบริโภคกันเถิด. [๙๘๕] ดูกรยักษ์ ท่านจะละประโยชน์อันใหญ่เสีย เพราะประโยชน์เล็กน้อย ชนทั้งหลายผู้หวาดเกรงความตาย เขาจักไม่นำอาหารมาให้. [๙๘๖] ดูกรยักษ์ เมื่อท่านไม่กินเรา คนจะนำอาหารที่สะอาดประณีต ประกอบ ด้วยรสดีมาให้ท่านบริโภคเป็นนิตย์ แต่เมื่อท่านกินเราเสียแล้ว คนที่จะ นำอาหารมาให้ท่านก็จะหาได้ยาก. [๙๘๗] ดูกรสุตนมาณพ ประโยชน์ที่ท่านกล่าวถึง ย่อมเจริญแก่เราทุกประการ เราอนุญาตให้ท่านกลับไปหามารดาโดยสวัสดี. [๙๘๘] ดูกรมาณพ ท่านจงถือพระขรรค์ ฉัตรและถาดกลับไปเถิด มารดาของ ท่านจะได้เห็น และท่านก็จะได้เห็นมารดาโดยสวัสดี. [๙๘๙] ดูกรยักษ์ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจงมีความสุขพร้อมด้วยญาติทั้งปวงเถิด ทรัพย์เราก็ได้แล้ว และพระดำรัสสั่งของพระราชาเราก็ได้สนองแล้ว.จบ สุตนชาดกที่ ๓. ๔. มาตุโปสกคิชฌชาดก เมื่อถึงคราวพินาศความคิดย่อมวิบัติ [๙๙๐] มารดาและบิดาของเราแก่เฒ่าชราแล้ว นอนอยู่ในถ้ำจักทำอย่างไรหนอ เราก็ติดบ่วงตกอยู่ในอำนาจของนายพราน? [๙๙๑] ดูกรแร้ง เหตุไรท่านจึงคร่ำครวญอยู่เล่า การคร่ำครวญของท่านเป็นอย่าง ไรหนอ แร้งพูดภาษามนุษย์ เราไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาเลย. [๙๙๒] ข้าพเจ้าเลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชรานอนอยู่ในถ้ำ มารดาบิดาท่านจักทำ อย่างไร เพราะข้าพเจ้าตกอยู่ในอำนาจของท่านเสียแล้ว. [๙๙๓] เขาพูดกันว่า แร้งมองเห็นซากศพได้ไกลถึงร้อยโยชน์ เหตุไฉนท่าน แม้จะมาถึงข่าย และบ่วงก็ไม่รู้สึก. [๙๙๔] เมื่อใด จะมีความพินาศ สัตว์จะถึงความสิ้นชีวิต เมื่อนั้นถึงแม้จะมา ถึงข่าย และบ่วงก็ไม่รู้สึกเลย. [๙๙๕] ท่านจงไปเลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชรา นอนอยู่ในถ้ำ เราอนุญาตให้ ท่านกลับไปหาพวกญาติโดยสวัสดี. [๙๙๖] ดูกรนายพราน เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจงเพลิดเพลินพร้อมด้วยญาติทั้ง ปวงเถิด ข้าพเจ้าจะไปเลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าชรานอนอยู่ในถ้ำ.จบ มาตุโปสกคิชฌชาดกที่ ๔. ๕. ทัพพปุปผกชาดก โทษของการโต้เถียงกัน [๙๙๗] ดูกรสหาย นากผู้เที่ยวไปตามฝั่ง ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ท่านจงตาม ฉันมา จับปลาใหญ่ได้ตัวหนึ่ง มันพาฉันไปด้วยกำลังแรง. [๙๙๘] ดูกรนากผู้เที่ยวไปในน้ำลึก ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ท่านจงจับปลาให้ มั่นด้วยกำลัง ฉันจักยกปลานั้นขึ้น เหมือนครุฑคาบพระยานาค ฉะนั้น. [๙๙๙] เราทั้งสองมัวโต้เถียงกันอยู่ ดูกรสหายทัพพปุปผกะ ขอท่านจงฟัง ข้าพเจ้า จงระงับความโต้เถียงกัน ขอการโต้เถียงกันจงระงับเสีย. [๑๐๐๐] เราเคยเป็นผู้พิพากษาในกาลก่อน พิจารณาอรรถคดีมามากนักแล้ว แน่ะ สหาย เราจะช่วยระงับความโต้เถียง ความโต้เถียงของท่านทั้งสองจะ ระงับ. [๑๐๐๑] ดูกรนากผู้เที่ยวไปตามฝั่ง ท่านจงคาบเอาท่อนหางไป ท่อนหัวเป็นของ นากผู้เที่ยวไปในน้ำลึก ส่วนท่อนกลางนี้จักเป็นของเราผู้ตัดสิน. [๑๐๐๒] ท่อนกลางที่สุนัขจิ้งจอกนำเอาไปนั้น จักเป็นอาหารได้หลายวัน ถ้าเรา ไม่โต้แย้งกัน สุนัขจิ้งจอกก็จะนำเอาปลาตะเพียนท่อนกลางไปไม่ได้. [๑๐๐๓] พระมหากษัตริย์ได้ครอบครองราชสมบัติแล้ว จะพึงทรงยินดีแม้ฉันใด ดิฉันได้เห็นสามี มีหน้าอันเบิกบานในวันนี้ก็ย่อมยินดี ฉันนั้น. [๑๐๐๔] ท่านเป็นสัตว์เกิดบนบก ไฉนจึงจับเอาปลาในน้ำมาได้ ดูกรท่านผู้ร่วม ใจ ดิฉันถามท่าน จงบอกดิฉันว่า ท่านจับปลานั้นมาได้อย่างไร? [๑๐๐๕] สัตว์ทั้งหลายย่อมซูบผอมเพราะวิวาทกัน เป็นผู้หมดทรัพย์ก็เพราะวิวาท กัน นากสองตัว เสื่อมจากปลานี้เพราะวิวาทกัน ดูกรนางมายาวี จงกินปลาตะเพียนแดงนี้เสียเถิด. [๑๐๐๖] ในหมู่มนุษย์มีการวิวาทกันขึ้น ณ ที่ใด หมู่มนุษย์ก็พากันไปหาผู้พิพากษา ณ ที่นั้น เพราะว่าผู้พิพากษาเป็นผู้แนะนำพวกเขา ใช่แต่เท่านั้น เขา ยังจะเสื่อมจากทรัพย์อีก เหมือนนากทั้งสองเสื่อมจากปลาตะเพียน ฉะนั้น พระคลังหลวงย่อมเจริญขึ้น.จบ ทัพพปุปผกชาดกที่ ๕. ๖. ทสรรณกชาดก ให้แล้วไม่เดือดร้อนภายหลังทำได้ยาก [๑๐๐๗] บุรุษคนนี้กลืนดาบมีคมกล้า อันเป็นดาบในทสรรณกรัฐ ดื่มกินเลือดผู้ อื่นที่ถูกต้องแล้ว ในท่ามกลางบริษัท เหตุอย่างอื่นที่ทำยากกว่าการกลืน ดาบนี้ ยังมีอีกไหม ฉันถามท่านถึงเหตุที่ทำได้ยากอย่างอื่น ขอท่านจง บอกแก่ฉัน? [๑๐๐๘] บุรุษกลืนดาบอันดื่มกินเลือดของผู้อื่นที่ถูกต้องได้ เพราะความโลภ ก็ผู้ ใดพูดว่าจะให้สิ่งนั้น สิ่งนี้ คำพูดของผู้นั้นทำได้ยากกว่าการกลืนดาบ นั้น เหตุอย่างอื่นทั้งหมดทำได้ง่ายนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชาว มคธ ขอพระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้เถิด. [๑๐๐๙] อายุรบัณฑิตเป็นผู้ฉลาดในอรรถธรรม ได้แก้ปัญหาแล้ว บัดนี้ ฉันจะ ถามปุกกุสบัณฑิตบ้าง เหตุอย่างอื่นที่ทำยากกว่าคำพูดนั้น ยังมีอยู่หรือ ฉันถามท่านถึงเหตุที่ทำได้ยากอย่างอื่น ขอท่านจงบอกแก่ฉัน? [๑๐๑๐] ชนทั้งหลายย่อมไม่รักษาคำพูดไว้ คำที่พูดนั้นก็ไม่มีผล ผู้ใดให้ปฏิญญาไว้ ว่า จะให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่อยากได้สิ่งนั้นคืน คำพูดของผู้นั้นทำได้ยากกว่า การกลืนดาบ และกว่าคำพูดว่าจะให้สิ่งนั้น สิ่งนี้นั้นเสียอีก เหตุอย่าง อื่นทั้งหมดทำได้ง่าย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชาวมคธ ขอพระองค์ โปรดทรงทราบอย่างนี้เถิด. [๑๐๑๑] ปุกกุสบัณฑิตเป็นผู้ฉลาดในอรรถธรรม ได้แก้ปัญหาแล้ว บัดนี้ ฉันจะ ถามเสนกบัณฑิตบ้าง เหตุอย่างอื่นที่ทำยากกว่านั้นยังมีอีกหรือ ฉันถาม ท่านถึงเหตุที่ทำได้ยากอย่างอื่น ขอท่านจงบอกแก่ฉัน? [๑๐๑๒] บุรุษควรจะให้ทาน จะน้อย หรือมากก็ตาม ก็ผู้ใดให้ของรักของตน แล้ว ย่อมไม่เดือดร้อนภายหลัง ข้อนั้นทำได้ยากกว่าการกลืนดาบ กว่าคำว่าจะให้สิ่งนั้น สิ่งนี้ และกว่าการให้ของรักนั้นเสียอีก เหตุ อย่างอื่นทั้งหมดทำได้ง่าย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชาวมคธ ขอพระ องค์โปรดทรงทราบอย่างนี้เถิด. [๑๐๑๓] อายุรบัณฑิตได้แก้ปัญหาแก่ฉันแล้ว อนึ่ง ปุกกุสบัณฑิตก็ได้แก้ปัญหา แก่ฉันแล้ว เสนกบัณฑิตแก้ปัญหาครอบงำปัญหาเสียทั้งหมด ฉันใด ฉันก็ให้ทานนั้นแล้ว หาควรจะเดือดร้อนภายหลังไม่ ฉันนั้น.จบ ทสรรณกชาดกที่ ๖. ๗. เสนกชาดก ผู้มีปัญญาช่วยคนอื่นได้ [๑๐๑๔] ท่านเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน มีอินทรีย์กำเริบ หยาดน้ำตาไหลออกจากนัยน์ตา ทั้งสองของท่าน อะไรของท่านหายหรือ หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้ มาในที่นี้ ดูกรพราหมณ์ เชิญท่านพูดไปเถิด? [๑๐๑๕] (รุกขเทวดาตนหนึ่งกล่าวว่า) เมื่อข้าพเจ้าไปสู่เรือนวันนี้ ภรรยาของ ข้าพเจ้าจะตาย เมื่อข้าพเจ้าไม่ไป ความตายจะมีแก่ข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้า เป็นผู้หวาดเกรงด้วยทุกข์นี้ ข้าแต่เสนกบัณฑิต ขอท่านจงบอกเหตุนี้ แก่ข้าพเจ้าเถิด. [๑๐๑๖] เราคิดเห็นเหตุเป็นอันมากได้ตลอดแล้ว บรรดาเหตุเหล่านั้น เหตุที่เราจะ บอกเป็นความจริง ดูกรพราหมณ์ เราเข้าใจว่าเมื่อท่านมิได้รู้สึก งูเห่า ตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปในไถ้ข้าวสัตตูของท่าน. [๑๐๑๗] ท่านจงเอาท่อนไม้เคาะไถ้ดูเถิด จะเห็นงูแลบลิ้นมีน้ำลายไหลเลื้อยออก จากไถ้ ท่านจะสิ้นความสงสัยเคลือบแคลงวันนี้แหละ ท่านจะได้เห็นงู เดี๋ยวนี้แหละ จงแก้ไถ้เถิด. [๑๐๑๘] พราหมณ์นั้นสลดใจ ได้แก้ไถ้ข้าวสัตตู ณ ท่ามกลางบริษัท ลำดับนั้น งูพิษมากได้แผ่แม่เบี้ยเลื้อยออกมา. [๑๐๑๙] การที่พระเจ้าชนกได้ทรงเห็นเสนกบัณฑิต ผู้มีปัญญา ให้สำเร็จประ- โยชน์กิจทั้งปวง เป็นลาภ อันพระองค์ได้ดีแล้ว ท่านเป็นผู้เปิดหลังคา คือ กิเลสได้แล้วหนอ เป็นผู้เห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวง ข้าแต่พราหมณ์ ความรู้ของท่านน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้ามีทรัพย์อยู่ ๗๐๐ ขอท่านจงรับ ไว้เถิด ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ชีวิตในวันนี้ ก็เพราะท่าน อนึ่ง ท่านยังได้ทำความสวัสดีให้แก่ภรรยาของข้าพเจ้าอีกด้วย. [๑๐๒๐] บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่รับรางวัล เพราะคาถา อันวิจิตรที่ตนกล่าวดีแล้ว ดูกรพราหมณ์ ท่านจงให้ทรัพย์ของท่านที่ใกล้เท้าของเรานี้เสียก่อน แล้ว จงถือเอาไปยังเรือนของตนเถิด.จบ เสนกชาดกที่ ๗. ๘. อัฏฐิเสนชาดก ว่าด้วยการขอ [๑๐๒๑] ข้าแต่ท่านอัฏฐิเสนะ วณิพกเหล่าใดที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก วณิพกเหล่านั้นมา หาข้าพเจ้าแล้วเป็นต้องขอ เหตุไรพระผู้เป็นเจ้า จึงไม่ขออะไรๆ ข้าพเจ้า? [๑๐๒๒] ผู้ขอย่อมไม่เป็นที่รักของผู้ถูกขอ ผู้ถูกขอเมื่อไม่ให้ก็ไม่เป็นที่รักของผู้ขอ เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงไม่ทูลขออะไรพระองค์ โดยคิดเห็นว่า อาตมภาพอย่าหมางใจกับพระองค์เสียเลย. [๑๐๒๓] ผู้ใดเป็นอยู่ด้วยการขอ ย่อมไม่ขอสิ่งที่ควรขอ ในเวลาที่ควรขอ ผู้นั้น ย่อมทำให้ผู้อื่นเสื่อมจากบุญ แม้ตัวเองก็หาเลี้ยงชีพไม่สะดวก. [๑๐๒๔] ส่วนผู้ใดเป็นอยู่ด้วยการขอ ย่อมขอสิ่งที่ควรขอในเวลาที่ควรขอ ผู้นั้น ย่อมทำให้ผู้อื่นได้บุญ แม้ตัวเองก็หาเลี้ยงชีพสะดวกด้วย. [๑๐๒๕] ผู้มีปัญญาเห็นยาจกมาแล้ว ย่อมไม่โกรธเลย ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นที่พอใจของข้าพเจ้า ท่านต้องการอะไร เชิญบอกมาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ ทุกอย่าง. [๑๐๒๖] ผู้มีปัญญาย่อมไม่ออกปากขอเลย ส่วนผู้ที่ฉลาดควรจะรู้ความต้องการได้ เอง พระอริยะทั้งหลาย ย่อมไม่ออกปากขอ มีแต่ยืนนิ่งอยู่ ด้วย ภิกขาจารวัตรเท่านั้น นี่เป็นอาการขอของพระอริยะทั้งหลาย. [๑๐๒๗] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าขอถวายโคนมสีแดงพันตัว พร้อมทั้งโคผู้พัน ตัวแก่ท่าน เพราะว่า ผู้ที่มีมารยาทดังพระอริยะ ได้ฟังคาถาอันประกอบ ไปด้วยธรรมของท่านแล้ว จะไม่ถวายแก่ท่านผู้มีมารยาทดังพระอริยะ อย่างไรได้.จบ อัฏฐิเสนชาดกที่ ๘. ๙. กปิชาดก คุณธรรมของผู้บริหารคณะ [๑๐๒๘] ผู้คอยจองเวรอยู่ในที่ใด บัณฑิตไม่ควรอยู่ในที่นั้น บุคคลอยู่ในที่มีคน จองเวรเพียงคืนเดียว หรือสองคืน ก็อยู่เป็นทุกข์. [๑๐๒๙] บุคคลมีจิตเบา คล้อยไปตามเขาง่ายๆ ย่อมกระทำกิจของคนจองเวร เพราะเหตุลิงตัวเดียว ถูกเขาทำความฉิบหายให้ทั้งฝูง. [๑๐๓๐] คนพาลผู้สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ปกครองหมู่คณะ ตกอยู่ในอำนาจจิต ของตนแล้ว พึงนอนตาย เหมือนลิงจ่าฝูง นอนตายอยู่ ฉะนั้น. [๑๐๓๑] อันคนพาลถึงจะมีกำลังปกครองหมู่คณะ ไม่ดีเลย เพราะไม่เป็นประ- โยชน์แก่ญาติทั้งหลาย เหมือนนกต่อ ไม่เป็นประโยชน์แก่นกทั้งหลาย ฉะนั้น. [๑๐๓๒] ส่วนนักปราชญ์มีกำลังปกครองหมู่คณะ ดีมาก เพราะว่าเป็นประโยชน์ แก่ญาติทั้งหลาย เหมือนท้าววาสวะผู้เป็นประโยชน์แก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ทั้งหลาย ฉะนั้น. [๑๐๓๓] ผู้ใดพิจารณาเห็นศีล ปัญญา และสุตะในตน ผู้นั้นย่อมประพฤติประ- โยชน์ได้ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งตน และผู้อื่น. [๑๐๓๔] เพราะฉะนั้น นักปราชญ์พึงพิจารณาดูตน ดุจดูศีล ปัญญาและสุตะ ฉะนั้น พึงบริหารหมู่คณะเถิด หรือจะเป็นผู้อยู่แต่ผู้เดียว ก็พึงเว้นรอบ.จบ กปิชาดกที่ ๙. ๑๐. พกพรหมชาดก ว่าด้วยศีลและพรตของพกพรหม [๑๐๓๕] ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์มีอยู่ ๗๒ คน ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว มี อำนาจแผ่ทั่วไป ล่วงชาติและชราได้แล้ว การเกิดเป็นพรหมนี้ เป็นที่ สุด สำเร็จได้ด้วยพระเวท ชนเป็นอันมากมุ่งหวังอยากให้เป็นอย่าง พวกข้าพระองค์. [๑๐๓๖] ดูกรพกพรหม อายุของท่านนี้น้อย ไม่มากเลย ท่านมาสำคัญว่าอายุ ของท่านมากตั้งแสนนิรัพพุทะ (ร้อยคูณแสน ๑๐ ล้านปี) ดูกร พกพรหม เรารู้อายุของท่าน. [๑๐๓๗] ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ตรัสว่า พระองค์รู้กำหนดอายุของข้า- พระองค์ และตรัสว่ารู้เห็นไม่มีที่สิ้นสุด เป็นผู้ล่วงชาติชราและความโศก ได้แล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกการสมาทานพรต และศีลวัตร ของข้า- พระองค์ ครั้งก่อนว่าเป็นอย่างไร ข้าพระองค์ขอทราบตามความเป็นจริง ที่พระองค์ตรัสบอก? [๑๐๓๘] ท่านได้ช่วยมนุษย์เป็นอันมากผู้ถูกแดดแผดเผา กระหายน้ำจัดให้ได้ดื่ม น้ำ เราระลึกถึงการสมาทานพรต และศีลวัตรครั้งก่อนของท่านนั้นได้ ดุจนอนหลับฝันตื่นขึ้นจำได้ ฉะนั้น. [๑๐๓๙] ท่านได้ช่วยมหาชน ผู้ถูกหมู่โจรจับไปจะให้เป็นเชลยให้พ้นมาได้ ที่ริม ฝั่งแม่น้ำเอณิ เรายังระลึกถึงการสมาทานพรต และศีลวัตรครั้งก่อน ของท่านนั้นได้ ดุจนอนหลับฝันตื่นขึ้นจำได้ ฉะนั้น. [๑๐๔๐] ท่านได้ทุ่มเทกำลังเข้าช่วยพวกมนุษย์ ผู้ไปเรือในกระแสแม่น้ำคงคา ให้ พ้นจากนาคราชผู้ตัวดุร้าย มักทำมนุษย์ให้พินาศ เรายังระลึกถึงการ สมาทานพรตและศีลวัตรครั้งก่อน ของท่านนั้นได้ ดุจนอนหลับฝันตื่น ขึ้นจำได้ ฉะนั้น. [๑๐๔๑] อนึ่ง เราเองมีชื่อว่ากัปปะ ได้เคยเป็นอันเตวาสิกของท่าน ได้รู้แล้วว่า ท่านเป็นดาบสที่มีปัญญาและวัตรดีผู้หนึ่ง เรายังระลึกถึงการสมาทานพรต และศีลวัตรครั้งก่อนของท่านนั้นได้ ดุจนอนหลับฝันตื่นขึ้นจำได้ ฉะนั้น. [๑๐๔๒] พระองค์ทรงทราบชัดอายุของข้าพระองค์ ได้แน่นอน แม้สิ่งอื่นพระองค์ ก็ทรงทราบ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพราะเหตุนั้นแล พระรัศมีอันรุ่งเรืองของพระองค์นี้ จึงได้ส่องพรหมโลกให้สว่างไสวอยู่.จบ พกพรหมชาดกที่ ๑๐.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
กุกกุชาดก
ป้ายกำกับ:
กุกกุชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น