๑. สังกัปปราคชาดก ว่าด้วยลูกศรคือกิเลส [๓๕๒] อาตมภาพอันลูกศรที่อาบด้วยราคะดำริ อาศัยกามวิตก อันนายช่างศร ไม่ได้ตกแต่งขัดเกลาและเหลาเสี้ยม แทงเข้าแล้ว. [๓๕๓] อาตมภาพมิได้ถูกลูกศรที่เขายกคันขึ้นยิงมา หรือที่ติดพู่หางนกยูงเสียบ แทงเลย แต่อาตมภาพถูกลูกศร คือ กิเลสเครื่องเผาอวัยวะทั้งปวงให้ เร่าร้อน เสียบแทงที่หทัย. [๓๕๔] แต่อาตมภาพไม่เห็นรอยแผล ไม่เห็นโลหิตไหลออกจากรอยแผลนั้น จิตที่ไม่มีอุบายอันแยบคาย ถูกลูกศรตรึงไว้แล้วอย่างมั่นคง อาตมภาพ นำความทุกข์มาให้แก่ตนเอง.จบ สังกัปปราคชาดกที่ ๑. ๒. ติลมุฏฐิชาดก การเฆี่ยนตีเป็นการสั่งสอน [๓๕๕] การที่ท่านให้จับแขนเราไว้แล้วเฆี่ยนตีด้วยซีกไม้ไผ่ เพราะเหตุเมล็ดงา กำมือหนึ่งนั้น ยังฝังอยู่ในใจของเราจนทุกวันนี้. [๓๕๖] ดูกรพราหมณ์ ชะรอยท่านจะไม่ยินดีในชีวิตของตนแล้วสินะ จึงได้มา จับแขนแล้วเฆี่ยนตีเราถึง ๓ ครั้ง วันนี้ ท่านจะได้เสวยผลของกรรมนั้น. [๓๕๗] อารยชนใด ย่อมข่มขี่คนที่ไม่ใช่อารยชน ผู้ทำกรรมชั่ว ด้วยอาชญา กรรม ของอารยชนนั้น เป็นการสั่งสอน หาใช่เป็นเวรไม่ บัณฑิตทั้งหลาย รู้ชัด ข้อนั้นอย่างนี้แล.จบ ติลมุฏฐิชาดกที่ ๒. ๓. มณิกัณฐชาดก ว่าด้วยขอสิ่งที่ไม่ควรขอ [๓๕๘] ข้าวและน้ำอันไพบูลย์ยิ่ง ย่อมเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า เพราะเหตุแก้วมณี ดวงนี้ ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้ ท่านก็ยิ่งขอหนักขึ้น ใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้าจักไม่มาสู่อาศรมของท่านอีกด้วย. [๓๕๙] ท่านขอแก้วมณีอันเกิดจากหินดวงนี้ ย่อมทำให้ข้าพเจ้าหวาดเสียว เหมือนกับชายหนุ่มมีมือถือดาบอันลับแล้วที่แผ่นหิน มาทำให้ข้าพเจ้า หวาดเสียว ฉะนั้น ข้าพเจ้าจักให้แก้วมณีดวงนั้นแก่ท่านไม่ได้ ท่านก็ยิ่ง ขอหนักขึ้น ใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้าจักไม่มาสู่อาศรมของท่านอีกด้วย. [๓๖๐] บุคคลรู้ว่า สิ่งของอันใด เป็นที่รักของเขา ก็ไม่ควรขอสิ่งของอันนั้น บุคคลย่อมเป็นที่เกลียดชังเพราะขอจัด พระยานาคถูกพราหมณ์ขอ แก้วมณี ตั้งแต่นั้นก็มิได้มาให้พราหมณ์นั้นเห็นอีกเลย.จบ มณิกัณฐชาดกที่ ๓. ๔. กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก รู้ว่าเขาดีก็ต้องเลี้ยงให้สมดี [๓๖๑] ท่านเคยบริโภคหญ้าที่เป็นเดน เคยบริโภครำและข้าวตังมาแล้วจนเติบโต นี่เคยเป็นอาหารของท่านมาแล้ว เพราะเหตุไร บัดนี้ ท่านจึงไม่บริโภค เล่า? [๓๖๒] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ในที่ใด ชนทั้งหลายไม่รู้จักสัตว์ โดยชาติ หรือโดย วินัย ในที่นั้น รำ และข้าวตังมีเป็นอันมาก. [๓๖๓] ก็ท่านรู้จักข้าพเจ้าดีแล้วว่า ม้าตัวนี้ เป็นม้าอุดมเช่นไร ข้าพเจ้ารู้สึกตน อยู่ เพราะอาศัยท่านผู้รู้ จึงไม่บริโภครำของท่าน.จบ กุณฑกกุจฉิสินธวชาดกที่ ๔. ๕. สุกชาดก โทษของการไม่รู้ประมาณ [๓๖๔] ลูกนกแขกเต้าตัวนั้น รู้ประมาณในการบริโภคอยู่เพียงใด ก็ได้สืบอายุ และได้เลี้ยงมารดาบิดาอยู่เพียงนั้น. [๓๖๕] อนึ่ง ในกาลใด ลูกนกแขกเต้านั้น กลืนกินโภชนะมากเกินไป ในกาล นั้น ก็ได้ชื่อว่า ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค จึงได้จมลงในมหาสมุทร นั้นเทียว. [๓๖๖] เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้รู้จักประมาณ คือ ความไม่หลงติดอยู่ใน โภชนะ เป็นความดี ด้วยว่า บุคคลใด ไม่รู้จักประมาณ ย่อมจมลงใน อบายทั้ง ๔ บุคคลผู้รู้จักประมาณแล ย่อมไม่จมลงในอบาย ๔.จบ สุกชาดกที่ ๕. ๖. ชรูทปานชาดก ขุดบ่อได้ทรัพย์กลับพินาศเพราะขุดเกิน [๓๖๗] พ่อค้าทั้งหลาย มีความต้องการด้วยน้ำ พากันขุดบ่อน้ำเก่า ได้แร่เหล็ก แร่ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว แก้วมณี เงิน ทอง แก้วมุกดา และแก้ว- ไพฑูรย์ เป็นอันมาก. [๓๖๘] แต่พวกพ่อค้าเหล่านั้น ก็ไม่ได้ยินดีด้วยทรัพย์นั้น ได้พากันขุดให้ลึก ยิ่งขึ้นๆ ในบ่อน้ำนั้น มีพระยานาคมีพิษร้ายแรง มีเดช ได้ฆ่าพวกพ่อค้า เหล่านั้นเสียด้วยเดชแห่งพิษ. [๓๖๙] เพราะฉะนั้น บุคคลพึงขุดบ่อน้ำเถิด แต่ไม่ควรขุดให้ลึกเกินไป เพราะ ว่า บ่อที่ขุดลึกเกินไปเป็นของลามก ทรัพย์ที่พวกพ่อค้าได้แล้วด้วยการ ขุด และชีวิตก็พินาศไป เพราะการที่ขุดลึกเกินไป.จบ ชรูทปานชาดกที่ ๖. ๗. คามณิจันทชาดก ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ [๓๗๐] สัตว์ตัวนี้ ไม่ฉลาดที่จะทำเรือน มีปกติหลุกหลิก หนังที่หน้าย่น พึง ประทุษร้ายของที่เขาทำไว้แล้ว ตระกูลสัตว์นี้ มีอย่างนั้นเป็นธรรมดา. [๓๗๑] ขนอย่างนี้ ไม่ใช่ขนของสัตว์ที่มีความคิดฉลาด ลิงตัวนี้จะทำให้ผู้อื่น ยินดีไม่ได้ พระราชบิดาของเราทรงพระนามว่า ชนสันธนะ ได้ตรัส สอนไว้ว่า ธรรมดาลิงย่อมไม่รู้จักเหตุอันใดอันหนึ่ง. [๓๗๒] สัตว์เช่นนั้น จะพึงเลี้ยงดูมารดาบิดา หรือพี่ชายพี่สาวของตนไม่ได้เลย คำสอนนี้ พระราชบิดาของเราได้ทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้.จบ คามณิจันทชาดกที่ ๗. ๘. มันธาตุราชชาดก กามมีความสุขน้อยมีทุกข์มาก [๓๗๓] พระจันทร์ พระอาทิตย์ (ย่อมเวียนรอบเขาสิเนรุราช) ส่องรัศมีสว่างไสว ไปทั่วทิศโดยกำหนดที่เท่าใด สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยแผ่นดินอยู่ในที่มี กำหนดเท่านั้น ล้วนเป็นทาสของพระเจ้ามันธาตุราชทั้งสิ้น. [๓๗๔] ความอิ่มในกามทั้งหลาย ย่อมไม่มีด้วยฝนคือกหาปณะ กามทั้งหลายมี ความยินดีน้อย มีทุกข์มาก บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้. [๓๗๕] พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่ปรารถนาความยินดีในกาม ทั้งหลายที่เป็นทิพย์ เป็นผู้ยินดีแต่ความสิ้นไปแห่งตัณหาโดยแท้.จบ มันธาตุราชชาดกที่ ๘. ๙. ติรีติวัจฉชาดก ควรบูชาผู้มีพระคุณ [๓๗๖] กรรมอะไรๆ ที่สำเร็จด้วยวิชาของดาบสนี้มิได้มีเลย อนึ่ง ดาบสนั้น ไม่ใช่พระญาติพระวงศ์ ไม่ใช่พระสหายของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ติรีติวัจฉดาบสผู้มีมือถือไม้เท้า จึงบริโภคก้อนข้าวอันเลิศ? [๓๗๗] เมื่อเรารบพ่ายแพ้โจร ตกอยู่ในฐานะอันตราย ติรีติวัจฉดาบสผู้นี้ ได้กระทำความอนุเคราะห์แก่เราผู้เดียว ในป่าที่ไม่มีน้ำ น่าหวาดเสียว เมื่อเราได้รับความลำบากก็ได้พาดพะองให้ เพราะเหตุนั้น เราแม้ถูก ความทุกข์เบียดเบียนแล้วก็ขึ้นจากบ่อได้. [๓๗๘] เรามาถึงเมืองนี้ได้โดยความยาก เพราะอานุภาพของติรีติวัจฉดาบสผู้นี้ เราถึงจะเป็นอยู่ในมนุษยโลก ก็เหมือนกับไปปรโลกอันเป็นวิสัยของ มัจจุราช ลูกรัก ติรีติวัจฉดาบส เป็นผู้ควรแก่ปัจจัยลาภ ท่านทั้งหลาย จงพากันถวายของควรบริโภค และของควรบูชาแก่ท่านติรีติวัจฉดาบส เถิด.จบ ติรีติวัจฉชาดกที่ ๙. ๑๐. ทูตชาดก ทุกชีวิตเป็นทูตของท้อง [๓๗๙] สัตว์เหล่านี้ เป็นไปในอำนาจของตัณหา ย่อมไปสู่ประเทศอันไกล หวัง จะขอสิ่งของตามแต่จะได้ เพื่อประโยชน์แก่ท้องใด ข้าพระองค์เป็น ทูตของท้องนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ขอพระองค์อย่าได้ทรง พิโรธแก่ข้าพระองค์เลย. [๓๘๐] อนึ่ง มาณพทั้งหลาย ย่อมตกอยู่ในอำนาจของท้องใด ทั้งกลางวัน และกลางคืน ข้าพระองค์ก็เป็นทูตของท้องนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็น จอมทัพ ขอพระองค์อย่าได้ทรงพิโรธแก่ข้าพระองค์เลย. [๓๘๑] ดูกรพราหมณ์ เราจะให้โคสีแดงแก่ท่านสักพันตัวพร้อมทั้งโคจ่าฝูงแก่ท่าน แม้เราและสัตว์ทั้งมวลก็ชื่อว่า เป็นทูตของท้องทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เราก็เป็นทูต ไฉนจะไม่ให้สิ่งของแก่ท่านผู้เป็นทูตเล่า.จบ ทูตชาดกที่ ๑๐.
วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557
สังกัปปราคชาดก
ป้ายกำกับ:
สังกัปปราคชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น