๑. คันธารชาดก [๑๐๔๓] ท่านสละหมู่บ้านอันบริบูรณ์ถึงหมื่นหกพันตำบล และคลังที่เต็มไปด้วย ทรัพย์มาแล้ว บัดนี้ ทำไมยังมาทำการสะสมเพียงก้อนเกลืออีกเล่า? [๑๐๔๔] ท่านสู้สละคันธารวิสัย อันบริบูรณ์ด้วยทรัพย์มากมาย เลิกการสั่งสม มาแล้ว บัดนี้ ทำไมยังมาสอนข้าพเจ้าให้สั่งสมในที่นี้อีกเล่า? [๑๐๔๕] ดูกรท่านวิเทหดาบส ข้าพเจ้าย่อมกล่าวแต่คำที่เป็นธรรม ข้าพเจ้าไม่พอ ใจกล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม เมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำที่เป็นธรรมอยู่ บาปย่อม ไม่เข้ามาติดอยู่เลย. [๑๐๔๖] บุคคลอื่นได้รับความโกรธเคือง เพราะถ้อยคำอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงหาก ถ้อยคำนั้นจะมีประโยชน์มาก บัณฑิตก็ไม่ควรกล่าว. [๑๐๔๗] บุคคลทำกรรมที่ไม่สมควร เมื่อถูกตักเตือนอยู่ จะโกรธเคืองก็ตาม ไม่ โกรธเคืองก็ตาม หรือจะทิ้งเสียเหมือนโปรยข้าวลีบก็ตาม เมื่อข้าพเจ้า กล่าวคำที่เป็นธรรมอยู่ บาปย่อมไม่เข้าติดอยู่เลย. [๑๐๔๘] ถ้าสัตว์เหล่านี้ไม่พึงมีปัญญาของตนเอง หรือไม่พึงได้ศึกษาวินัยดีแล้ว ชนเป็นอันมากก็จะเที่ยวไป เหมือนกระบือตาบอดเที่ยวไปในป่า ฉะนั้น. [๑๐๔๙] ก็แลบุคคลบางพวกในโลกนี้ ได้ศึกษาวินัยมาเป็นอย่างดีในสำนักอาจารย์ เพราะฉะนั้น เขาทั้งหลาย จึงมีวินัยอันอาจารย์แนะนำแล้ว เป็น นักปราชญ์ มีจิตตั้งมั่นดี เที่ยวไป. จบ คันธารชาดกที่ ๑. ๒. มหากปิชาดก ว่าด้วยคุณธรรมของหัวหน้า [๑๐๕๐] ดูกรพระยาลิง ท่านได้ทอดตัวเป็นสะพาน ให้ลิงเหล่านี้ข้ามไปได้ จนมี ความสวัสดี ท่านเป็นอะไรกับลิงเหล่านั้น หรือว่าลิงเหล่านั้นเป็นอะไร กับท่าน? [๑๐๕๑] ข้าแต่พระองค์ผู้ปราบศัตรู ข้าพระองค์เป็นใหญ่ เป็นนายฝูง ปกครองหมู่ ลิงเหล่านั้น เมื่อเขาเหล่านั้นถูกความโศกครอบงำ เกรงกลัวพระองค์. [๑๐๕๒] ข้าพระองค์ได้กระโจนไปชั่วระยะร้อยลูกธนู เอาเถาวัลย์ผูกกับตอไม้ไผ่ ข้างหนึ่ง ผูกที่สะเอวข้างหนึ่ง. [๑๐๕๓] กระโจนกลับมายังต้นมะม่วง เหมือนลมตัดอากาศ แต่ไม่ถึงต้นมะม่วง นั้น ข้าพระองค์เอามือมาทั้งสองเหนี่ยวกิ่งมะม่วงไว้. [๑๐๕๔] ร่างกายของข้าพระองค์ถูกกิ่งไม้ และเถาวัลย์คร่าไปมา ดุจสายพิณที่เขา ขึงตึงเครียด ฉะนั้น พวกบริวารพากันไต่ข้าพระองค์ไปได้รับความสวัสดี. [๑๐๕๕] ข้าพระองค์จะถูกจองจำ หรือถูกฆ่า ก็ไม่ครั่นคร้ามเดือดร้อนอย่างไร เพราะข้าพระองค์ได้นำความสุขมาให้แก่หมู่ลิงที่ยกย่องให้ข้าพระองค์เป็น ใหญ่. [๑๐๕๖] ข้าแต่พระราชาผู้ปราบปรามศัตรู ข้าพระองค์จะแสดงข้ออุปมาถวายพระ- องค์ ขอพระองค์จงสดับ ธรรมดาพระราชามหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา สามารถ พึงแสวงหาความสุขให้แก่รัฐ สัตว์พาหนะ ทหาร และ พลเมืองถ้วนหน้ากัน.จบ มหากปิชาดกที่ ๒. ๓. กุมภการชาดก เหตุให้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร [๑๐๕๗] อาตมภาพได้เห็นมะม่วงอันงอกงามออกช่อและผลเขียวไปทั้งต้น ใน ระหว่างป่ามะม่วง เวลากลับ อาตมภาพได้เห็นมะม่วงต้นนั้นหักย่อยยับ เพราะผลเป็นเหตุ จึงได้เที่ยวประพฤติภิกขาจาริยวัตร. [๑๐๕๘] นางนารีคนหนึ่งสวมกำไรมือหินคู่หนึ่ง เกลี้ยงกลม อันนายช่างผู้ ชำนาญทำแล้วไม่มีเสียงดัง เพราะอาศัยข้างที่สอง จึงเกิดมีเสียงดังขึ้น ได้ อาตมภาพได้เห็นอย่างนี้ จึงได้เที่ยวประพฤติภิกขาจาริยวัตร. [๑๐๕๙] นกจำนวนมากพากันล้อมลุมตามจิก ตีนกตัวหนึ่งซึ่งกำลังคาบก้อนเนื้ออยู่ ได้ก้อนเนื้อแล้วบินไป เพราะอาหารเป็นเหตุ อาตมภาพได้เห็นอย่างนี้ จึงได้เที่ยวประพฤติภิกขาจาริยวัตร. [๑๐๖๐] อาตมภาพได้เห็นวัวหนึ่งตัวอยู่ในท่ามกลางฝูง มีวลัยเป็นเครื่องประดับ ประกอบด้วยสีสรรและกำลังมาก ได้ขวิดเอาวัวตัวหนึ่งตาย เพราะกาม เป็นเหตุ อาตมภาพได้เห็นอย่างนี้ จึงได้เที่ยวประพฤติภิกขาจาริยวัตร. [๑๐๖๑] พระเจ้ากรันฑกะของชาวกลิงครัฐ พระเจ้านัคคชิของชาวคันธารรัฐ พระเจ้าเนมิราชของชาววิเทหรัฐ และพระเจ้าทุมมุขะของชาวปัญจาลรัฐ ทั้งสี่พระองค์นี้ต่างพากันทรงละรัฐออกผนวช หาความห่วงใยมิได้. [๑๐๖๒] แม้พระราชาเหล่านั้นทุกๆ พระองค์ เปรียบด้วยเทพเจ้า มาพร้อมหน้ากัน ย่อมสง่างามไปด้วยคุณ เหมือนไฟอันงามสว่างไสวฉะนั้น ดูกรนางภัควิ แม้เราเองจะสละกามทั้งหลายตามส่วนของตนๆ แล้วจะออกบวชเที่ยว ไปแต่ผู้เดียว. [๑๐๖๓] เวลานี้เท่านั้น เวลาอื่นจากนี้เป็นไม่มี ภายหลังบุคคลผู้สอนดิฉันจะไม่มี ข้าแต่ท่านผู้มีส่วนความดี แม้ดิฉันก็จะขอพ้นจากมือของบุรุษเที่ยวไป ผู้เดียว ดังนางนกที่พ้นจากมือของบุรุษ ฉะนั้น. [๑๐๖๔] เด็กสองคนนั้นย่อมรู้จักว่านี่ข้าวดิบ นี่ข้าวสุก และรู้จักว่านี่เค็ม นี่ไม่ เค็ม ฉันเห็นอย่างนี้แล้วจึงออกบวช ท่านจงประพฤติภิกขาจาริยวัตร เถิด ถึงฉันก็จะประพฤติภิกขาจาริยวัตรเช่นเดียวกัน.จบ กุมภการชาดกที่ ๓. ๔. ทัฬหธรรมชาดก ว่าด้วยความกตัญญู [๑๐๖๕] เมื่อข้าพเจ้าเป็นสาว ได้ทำลายช้างศัตรูนำกิจนั้นไป ได้ช่วยถอนลูกศรที่ เสียบอยู่ที่พระอุระ วิ่งตะลุยไล่เหยียบย่ำข้าศึกไปในเวลารบ ยังทำให้ พระเจ้าทัฬหธรรมราชาพอพระทัยไม่ได้. [๑๐๖๖] พระราชาคงไม่ทราบความเพียรพยายามของข้าพเจ้า ความดีความชอบใน สงคราม และการเป็นทูตเดินส่งข่าวสาส์นเป็นแน่. [๑๐๖๗] ข้าพเจ้าไม่มีพวกพ้อง ไร้ที่พึ่งอาศัย จักต้องตายแน่ๆ ยังมิหนำซ้ำพระ ราชทานข้าพเจ้าให้แก่ช่างหม้อ ไว้สำหรับขนโคมัย. [๑๐๖๘] คนบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังอยู่เพียงใด ก็ยังคบหากันอยู่เพียง นั้น เมื่อประโยชน์ที่หวังสิ้นไป คนพาลทั้งหลายย่อมละทิ้งเขา เหมือน พระมหากษัตริย์ทอดทิ้งช้างพังโอฏฐิพยาธิ ฉะนั้น. [๑๐๖๙] ผู้ใดอันคนอื่นทำความยินดีให้แก่ตนก่อน ช่วยเหลือกิจให้สำเร็จทุกอย่าง แล้ว ไม่รู้สึก ประโยชน์ทั้งหลายของบุคคลผู้ช่วยเหลือนั้น ย่อมพินาศ ไปหมด. [๑๐๗๐] ผู้ใดอันคนอื่นทำความดีให้แก่ตนก่อน ช่วยเหลือกิจให้สำเร็จทุกอย่าง แล้ว ย่อมรู้สึก ประโยชน์ทั้งหลายของบุคคลผู้ช่วยเหลือนั้น ย่อมเจริญ ทวีขึ้น. [๑๐๗๑] เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงขอพูดกะท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย มาประ ชุมกันอยู่ ณ ที่นี้มีประมาณเท่าใด ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ประมาณเท่านั้น ขอท่านทุกคนจงเป็นผู้มีกตัญญู ท่านทั้งหลายจักประ ดิษฐานอยู่ในสวรรค์ตลอดกาลนาน.จบ ทัฬหธรรมชาดกที่ ๔. ๕. โสมทัตตชาดก ว่าด้วยความเศร้าโศกถึงผู้เป็นที่รัก [๑๐๗๒] พ่อโสมทัตช้างมาตังคะ แต่ก่อนเคยออกมาต้อนรับเราผู้กลับจากป่าแต่ที่ ไกล บัดนี้ ไปไหนเสียเล่า เราจึงไม่เห็น? [๑๐๗๓] โธ่เอ๋ย นี่พ่อโสมทัตนั้นแน่แล้ว มานอนตายอยู่ที่พื้นแผ่นดิน ดัง หน่อเถาย่างทรายที่บุคคลเด็ดทิ้งฉะนั้น พ่อโสมทัตกุญชรชาติตายเสีย แล้วหนอ. [๑๐๗๔] การที่ท่านมาเศร้าโศกถึงผู้ที่ตายไปแล้วนั้น เป็นการไม่ดีงามแก่ท่านผู้ ออกบวช เป็นสมณะพ้นวิเศษแล้ว. [๑๐๗๕] ดูกรท้าวสักกะ มนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉานก็ตาม ย่อมเกิดความรักใคร่ กันฝังอยู่ในใจ เพราะการอยู่ร่วมกันโดยแท้ อาตมภาพจึงไม่อาจอด กลั้น ความเศร้าโศกถึงผู้ที่เป็นที่รักใคร่นั้นได้. [๑๐๗๖] สัตว์เหล่าใดร้องไห้รำพันเพ้อถึงผู้ที่ตาย สัตว์เหล่านั้นก็ต้องตายเหมือน กัน ดูกรฤาษี เพราะเหตุนั้น ท่านอย่าร้องไห้เลย สัตบุรุษกล่าวการ ร้องไห้ ของบุคคลผู้ร้องไห้ถึงผู้ที่ตายไปแล้วว่าไร้ผล. [๑๐๗๗] ดูกรท่านผู้ประเสริฐ บุคคลผู้ตายไปแล้ว จะพึงกลับเป็นขึ้นอีกเพราะการ ร้องไห้แน่แล้ว เราทั้งหมดก็มาประชุมร้องไห้ถึงญาติของกันและกันเถิด. [๑๐๗๘] อาตมภาพถูกไฟคือความโศกแผดเผา มหาบพิตรมาช่วยดับความกระวน กระวายทั้งหมดให้หายได้ เหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟไหม้เปรียงฉะนั้น. มหาบพิตร ได้ถอนลูกศรอันปักแน่น อยู่ในหัวใจของอาตมภาพออกแล้ว เมื่ออาตมภาพถูกความโศกครอบงำ มหาบพิตรก็ได้บรรเทาความโศกถึง บุตรนั้นเสียได้. ดูกรท้าวสักกะ อาตมภาพนั้นเป็นผู้มีลูกศรคือความโศก เศร้าอันมหาบพิตรถอนออกแล้ว หายโศก ใจไม่ขุ่นมัว จะไม่เศร้า โศก จะไม่ร้องไห้ต่อไป เพราะได้ฟังคำของมหาบพิตร.จบ โสมทัตตชาดกที่ ๕. ๖. สุสีมชาดก ว่าด้วยพระเจ้าสุสีมะออกผนวช [๑๐๗๙] เมื่อก่อนผมดำเกิดบนศีรษะอันเป็นประเทศที่สมควร ดูกรสุสิมะ วันนี้ ท่านเห็นผมเหล่านั้นกลายเป็นสีขาวแล้ว จงประพฤติธรรมเถิด เวลานี้ เป็นการสมควรจะประพฤติพรหมจรรย์แล้ว. [๑๐๘๐] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผมหงอกของหม่อมฉันเอง ไม่ใช่ของพระองค์ หม่อมฉันถอนออกจากศีรษะของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันได้ทูลคำเท็จ ด้วยคิดจะทำประโยชน์แก่ตน ขอพระองค์จงทรงพระราชทานอภัยโทษให้ สักครั้งหนึ่งเถิด เพคะ. [๑๐๘๑] ข้าแต่พระราชาผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์ยังหนุ่ม มีพระโฉมชวนพิศ ยังทรงตั้งอยู่ในปฐมวัย มีพระฉวีวรรณงาม ดังใบกล้วยมีนวลอ่อนๆ เมื่อแรกขึ้นฉะนั้น ขอเชิญพระองค์ดำรงราชสมบัติอยู่ก่อนเถิด เชิญ ทอดพระเนตรหม่อมฉันก่อน อย่าทรงทำให้หม่อมฉันเป็นหม้ายไร้ที่พึ่ง เสียเลย เพคะ. [๑๐๘๒] เราได้เห็นนางกุมารีรุ่นสาวมีฉวีวรรณอันเกลี้ยงเกลา ร่างกายงาม ทรวด ทรงเฉิดฉายอ่อนละมุนละไม เหมือนเถากาลวัลลี เมื่อต้องลมอ่อนรำเพย พัด ก็โอนเอนไปมา เข้าไปใกล้ชายดั่งยั่วยวนใจชายอยู่. [๑๐๘๓] สมัยต่อมา เราได้เห็นนารีคนนั้นถึงความชรามีอายุล่วงไป ๘๐-๙๐ ปี ถือไม้เท้าสั่นงันงก มีกายคดน้อมลงดุจกลอนเรือน เดินก้มหน้าอยู่. [๑๐๘๔] เรากำลังตริตรองถึงความพอใจและโทษของรูปทั้งหลายนั้นแลอยู่ จึงหลีก ออกไปนอนอยู่ท่ามกลางที่นอนแต่ผู้เดียว เราพิจารณาเห็นว่า แม้เราเอง ก็จักต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง จึงมิได้ยินดีในการอยู่ในเรือนเลย ถึงเวลาที่ เราจะประพฤติพรหมจรรย์แล้ว. [๑๐๘๕] ความยินดีของบุคคลผู้อยู่ครอบครองเรือนนี้แหละ เป็นเชือกเครื่องเหนี่ยว รั้งไว้ ธีรชนตัดเชือกนี้แล้ว หาความอาลัยใยดีมิได้ ละทิ้งกามสุขแล้ว ออกบวช.จบ สุสีมชาดกที่ ๖. ๗. โกฏสิมพลิชาดก ว่าด้วยการระวังภัยที่ยังไม่มาถึง [๑๐๘๖] เราได้จับนาคราชยาวถึงพันวามาแล้ว ท่านยังทรงนาคราชนั้นและเราซึ่งมี กายใหญ่ไว้ได้ ไม่หวั่นไหว. [๑๐๘๗] ดูกรโกฏสิมพลีเทพบุตร ก็ท่านทรงนางนกตัวเล็กนี้ ซึ่งมีเนื้อน้อยกว่า เรา กลัวหวั่นไหวอยู่ เพราะเหตุอะไร? [๑๐๘๘] ดูกรพระยาครุฑ ท่านมีเนื้อเป็นภักษาหาร นกนี้มีผลไม้เป็นภักษาหาร นางนกนี้จักไปจิกกินพืชเมล็ดต้นไทร เมล็ดต้นกร่าง เมล็ดต้นมะเดื่อ และเมล็ดต้นโพธิ แล้วมาถ่ายวัจจะลงบนค่าคบไม้ของเรา. [๑๐๘๙] ต้นไม้เหล่านั้นจักเจริญงอกงามขึ้น ไม่มีลมมากระทบข้างของเราได้ ต้น ไม้เหล่านั้นจักปกคลุมเรา ทำเราไม่ให้เป็นต้นไม้ไปเสีย. [๑๐๙๐] ต้นไม้ทั้งหลายแม้ชนิดอื่น เป็นหมู่ไม้มีรากประกอบด้วยลำต้นมีอยู่ นก ตัวนี้นำเอาพืชมาถ่ายไว้ ทำให้พินาศ. [๑๐๙๑] เพราะว่าต้นไม้ทั้งหลายมีต้นไทรเป็นต้น งอกงามขึ้นปกคลุมไม้ซึ่งเป็นเจ้า ป่า แม้ที่มีลำต้นใหญ่ได้ ดูกรพระยาครุฑ เหตุนี้แหละ เราได้มองเห็น ภัยในอนาคต จึงได้หวั่นไหว. [๑๐๙๒] นักปราชญ์พึงรังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ พึงระวังภัยที่ยังไม่มาถึง นักปราชญ์ ย่อมพิจารณาดูโลกทั้งสอง เพราะภัยในอนาคต.จบ โกฏสิมพลิชาดกที่ ๗. ๘. ธูมการีชาดก เศร้าโศกเพราะได้ใหม่ลืมเก่า [๑๐๙๓] พระเจ้ายุธิฏฐิละผู้ทรงพอพระทัยในธรรม ได้ตรัสถามวิธูรบัณฑิตว่า ดูกร พราหมณ์ ท่านรู้บ้างไหมว่า ใครผู้เดียวเศร้าโศกเป็นอันมาก? [๑๐๙๔] พราหมณ์วาเสฏฐโคตรผู้เป็นใหญ่ในฝูงแพะมากด้วยกัน ไม่เกียจคร้านทั้ง กลางคืนกลางวัน เมื่ออยู่ในป่า ได้ก่อไฟให้เกิดควัน. [๑๐๙๕] ชะมดทั้งหลายถูกเหลือบยุงรบกวน ก็พากันเข้าไปอาศัยอยู่ในสำนักของ พราหมณ์ธูมการีตลอดฤดูฝน เพราะกลิ่นควันของพราหมณ์นั้น. [๑๐๙๖] พราหมณ์นั้นเอาใจใส่อยู่กับพวกชะมด ไม่เอาใจใส่ถึงพวกแพะ ว่าจะ มาเข้าคอกหรือไม่มา แพะของเขาเหล่านั้นได้หายไป. [๑๐๙๗] พอถึงสารทสมัย และในป่ามียุงซาลงแล้ว พวกชะมดก็พากันเข้าไปสู่ ภูเขาทางที่กันดาร และต้นแม่น้ำทั้งหลาย ฯ [๑๐๙๘] พราหมณ์เห็นพวกชะมดหนีไปหมด และแพะทั้งหลายหายไป ก็ซูบผอม มีผิวพรรณซูบซีด เป็นโรคผอมเหลือง. [๑๐๙๙] เป็นอย่างนี้แหละ ผู้ใดละเลยคนเก่าเสียมากระทำความรักกับคนใหม่ ผู้นั้นเป็นคนเดียว เศร้าโศกอยู่มาก เหมือนพราหมณ์ธูมการี ฉะนั้น.จบ ธูมการีชาดกที่ ๘. ๙. ชาครชาดก ว่าด้วยผู้หลับและตื่น [๑๑๐๐] ในโลกนี้ ใครเป็นผู้หลับในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้ตื่นอยู่ ใครเป็นผู้ตื่น ในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้หลับอยู่ ใครหนอรู้แจ้งปัญหาข้อนี้ ใครหนอจะ แก้ปัญหาข้อนั้นของเราได้? [๑๑๐๑] ข้าพเจ้าเป็นผู้หลับในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้ตื่นอยู่ ข้าพเจ้าเป็นผู้ตื่นใน ระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้หลับอยู่ ข้าพเจ้ารู้แจ้งปัญหาข้อนั้นของท่าน จะ แก้ปัญหาข้อนั้นของท่านได้. [๑๑๐๒] ท่านเป็นผู้หลับในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้ตื่นอยู่อย่างไร ท่านเป็นผู้ตื่นใน ระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้หลับอยู่อย่างไร ท่านรู้แจ้งปัญหาข้อนี้อย่างไร ท่านจะแก้ปัญหาข้อนี้ของข้าพเจ้าอย่างไร? [๑๑๐๓] ดูกรเทวดา ข้าพเจ้าตื่นอยู่ในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้หลับอยู่ด้วยความ ประมาท ไม่รู้ทั่วถึงธรรม ๒ ประการ คือ สัญญมะ ๑ ทมะ ๑. [๑๑๐๔] ดูกรเทวดา ข้าพเจ้าหลับอยู่ในระหว่างพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้สละราคะ โทสะ และอวิชชา ตื่นอยู่. [๑๑๐๕] ข้าพเจ้าเป็นผู้หลับในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้ตื่นอยู่อย่างนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้ ตื่นในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้หลับอยู่อย่างนี้ ข้าพเจ้ารู้แจ้งปัญหาข้อนี้ อย่างนี้ ข้าพเจ้าแก้ปัญหาของท่านอย่างนี้. [๑๑๐๖] ถูกแล้ว ท่านเป็นผู้หลับในระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้ตื่นอยู่ เป็นผู้ตื่นอยู่ใน ระหว่างสัตว์ทั้งหลายผู้หลับอยู่ ท่านรู้แจ้งปัญหาข้อนั้นของข้าพเจ้าถูก แล้ว ท่านแก้ปัญหาข้อนั้นของข้าพเจ้าดีแล้ว.จบ ชาครชาดกที่ ๙. ๑๐. กุมมาสปิณฑชาดก ว่าด้วยอานิสงส์ถวายขนมกุมมาส [๑๑๐๗] ได้ยินว่า การทำสามีจิกรรมในพระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าอโนมทัสสี มี คุณไม่น้อยเลย เชิญดูผลแห่งก้อนขนมกุมมาสแห้ง ไม่มีรสเค็ม. ส่งผล ให้เราได้ช้าง ม้า วัว ทรัพย์ ข้าวเปลือกเป็นอันมากนี้ ตลอดทั้งแผ่น ดินทั้งสิ้น และนางนารีเหล่านี้เปรียบด้วยนางอัปสร เชิญดูผลแห่งก้อน ขนมกุมมาส. [๑๑๐๘] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผู้มีอัธยาศัยเป็นกุศล ผู้บำรุงรัฐให้เจริญ พระองค์ตรัสคาถาเพลงขับเสมอๆ ขอพระองค์ผู้มีพระทัยเปี่ยมด้วยปีติ อันแรงกล้า ได้โปรดตรัสบอกใจความแห่งคาถาเพลงขับที่หม่อมฉันทูล ถามนั้นเถิด. [๑๑๐๙] เราเกิดในตระกูลหนึ่งในนครนี้แหละ เป็นลูกจ้างทำงานให้คนอื่น ถึง จะเป็นลูกจ้างทำการงานเลี้ยงชีวิต แต่เราก็มีศีลสังวร. วันนั้นเราออก ไปทำงาน ได้เห็นสมณะ ๔ รูป ผู้ประกอบไปด้วยอาจาระและศีล เป็นผู้ เยือกเย็น ไม่มีอาสวะ. เรามีจิตเลื่อมใสในสมณะเหล่านั้น จึงนิมนต์ให้ท่านนั่งบนอาสนะที่ลาด ด้วยใบไม้แล้ว ได้ถวายขนมกุมมาสแก่ท่านด้วยมือของตน. ผลแห่งกุศล กรรมนั้นของเราเป็นเช่นนี้ เราจึงได้เสวยราชสมบัตินี้ อันมีแผ่นดินแผ่ ไพศาลไปด้วยสมบัติทุกชนิด. [๑๑๑๐] ข้าแต่พระองค์ผู้มีอัธยาศัยเป็นกุศล พระองค์ทรงประทานเสียก่อน จึงค่อย เสวยเอง พระองค์อย่าทรงประมาทในบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น พระองค์ จงทรงยังจักร ๔ มีการอยู่ในประเทศอันสมควรเป็นต้นให้เป็นไป อย่าได้ ทรงตั้งอยู่ในอธรรมเลย จงทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรมเถิด. [๑๑๑๑] ดูกรพระราชธิดาของพระเจ้าโกศลผู้เลอโฉม เรานั้นจักประพฤติตามทางที่ พระอริยเจ้าประพฤติมาแล้วนั้นแลเสมอๆ พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่ พอใจของเราแท้ เราปรารถนาจะได้เห็นท่าน. [๑๑๑๒] ดูกรนางเทวีผู้เป็นพระราชธิดาที่รักของพระเจ้าโกศล เจ้างดงามอยู่ใน ท่ามกลางหมู่นารี เปรียบเหมือนนางเทพอัปสรฉะนั้น เจ้าได้ทำกรรมดี งามอะไรไว้ เจ้าเป็นผู้มีผิวพรรณผุดผ่องอย่างนี้ เพราะกรรมอะไร? [๑๑๑๓] ข้าแต่พระมหากษัตริย์ หม่อมฉันเป็นทาสีทำการรับใช้ของตระกูลกฏุมพี เป็นผู้สำรวมระวัง เป็นอยู่โดยธรรม มีศีล มีความเห็นชอบธรรม. คราวนั้น หม่อมฉันมีจิตโสมนัส ได้ถวายอาหารที่เป็นส่วนของหม่อม ฉัน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ ด้วยมือตนเอง ผลแห่งกรรมนั้นของหม่อมฉัน เป็นเช่นนี้.จบ กุมมาสปิณฑชาดกที่ ๑๐. ๑๑. ปรันตปชาดก ลางบอกความชั่วและภัยที่จะมาถึง [๑๑๑๔] ความชั่วและภัยจักมาถึงเรา เพราะกิ่งไม้ไหวคราวนั้น จะเป็นด้วยมนุษย์ หรือเนื้อทำให้ไหว ก็ไม่ปรากฏ. [๑๑๑๕] ความกระสันถึงนางพราหมณีผู้หวาดกลัวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จักทำให้เรา ผอมเหลือง เหมือนกิ่งไม้ทำนายปรันตปะให้ผอมเหลือง ฉะนั้น. [๑๑๑๖] ภรรยาที่รักของเราอยู่ในบ้านเมืองพาราณสี มีรูปงาม จักเศร้าโศกถึงเรา ความเศร้าโศกจักทำให้นางผอมเหลือง เหมือนกิ่งไม้ทำนายปรันตปะให้ ผอมเหลือง ฉะนั้น. [๑๑๑๗] หางตาที่เจ้าชำเลืองมาก็ดี การที่เจ้ายิ้มแย้มก็ดี เสียงที่เจ้าพูดก็ดี จักทำ เราให้ผอมเหลือง เหมือนกิ่งไม้ทำนายปรันตปะให้ผอมเหลือง ฉะนั้น. [๑๑๑๘] เสียงกิ่งไม้นั้นได้มาปรากฏแก่ท่านแล้ว เสียงนั้นชะรอยจะมาบอกท่านได้ แน่แล้ว ผู้ใดสั่นกิ่งไม้นั้น ผู้นั้นได้มาบอกเหตุนั้นแน่แล้ว. [๑๑๑๙] การที่เราผู้โง่เขลาคิดไว้ว่า กิ่งไม้ที่มนุษย์ หรือเนื้อทำให้ไหวในคราวนั้น ได้มาถึงเราเข้าแล้ว ฯ [๑๑๒๐] ท่านได้รู้ด้วยประการนั้นแล้ว ยังลวงฆ่าพระชนกของเราแล้ว เอากิ่งไม้ ปกปิดไว้ บัดนี้ ภัยจักตกมาถึงท่านบ้างละ.จบ ปรันตปชาดกที่ ๑๑.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
คันธารชาดก
ป้ายกำกับ:
คันธารชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น