๑. สัพพทาฐิชาดก ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้ [๓๓๒] สุนัขจิ้งจอกกระด้างด้วยมานะ มีความต้องการด้วยบริวาร ได้บรรลุถึง สมบัติใหญ่ ได้เป็นราชาแห่งสัตว์มีเขี้ยวงาทั้งปวง ฉันใด. [๓๓๓] ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดมีบริวารมาก ผู้นั้นชื่อว่า เป็นใหญ่ในบริวารเหล่านั้น ดุจสุนัขจิ้งจอกได้เป็นใหญ่กว่าสัตว์มีเขี้ยวงา ฉะนั้น.จบ สัพพทาฐิชาดกที่ ๑. ๒. สุนขชาดก ผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้ [๓๓๔] สุนัขตัวใด ไม่กัดเชือกหนังให้ขาด สุนัขตัวนั้น โง่เขลามาก สุนัขควร จะเปลื้องตนเสียจากเครื่องผูก กินเชือกหนังเสียให้อิ่ม แล้วจึงค่อย กลับไปยังที่อยู่ของตน. [๓๓๕] คำที่ท่านกล่าวนี้ฝังอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า อนึ่ง ข้าพเจ้ายังได้จำไว้ใน ใจแล้ว ข้าพเจ้าจะรอเวลาจนกว่าคนจะหลับ.จบ สุนขชาดกที่ ๒. ๓. คุตติลชาดก ลูกศิษย์คิดล้างครู [๓๓๖] ข้าพระองค์ได้สอนให้ศิษย์ชื่อมุสิละเรียนวิชาดีดพิณ ๗ สาย มีเสียง ไพเราะจับใจคนฟัง เขากลับมาขันดีดพิณสู้ข้าพระองค์ ณ ท่ามกลาง สนาม ข้าแต่ท้าวโกสีย์ ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์เถิด. [๓๓๗] ดูกรสหาย ฉันจะเป็นที่พึ่งของท่าน ฉันเป็นผู้บูชาอาจารย์ ศิษย์จักไม่ ชนะท่าน ท่านจักชนะศิษย์.จบ คุตติลชาดกที่ ๓. ๔. วิคติจฉชาดก ความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด [๓๓๘] บุคคลเห็นสิ่งใด ไม่ปรารถนาสิ่งนั้น อนึ่ง บุคคลไม่เห็นสิ่งใด ย่อม ปรารถนาสิ่งนั้น เราเข้าใจว่า บุคคลนั้น จักท่องเที่ยวไปอีกนาน อยาก ได้สิ่งใด ก็จักไม่ได้สิ่งนั้นเลย. [๓๓๙] บุคคลได้สิ่งใด ไม่ยินดีด้วยสิ่งนั้น ปรารถนาสมบัติอันใด ก็ติเตียน สมบัติที่ได้มานั้น เพราะขึ้นชื่อว่า ความปรารถนามีอารมณ์ไม่สิ้นสุด เราขอกระทำความนอบน้อมแด่ท่านผู้ปราศจากความปรารถนา.จบ วิคติจฉชาดกที่ ๔. ๕. มูลปริยายชาดก กาลเวลากินสัตว์พร้อมทั้งตัวเอง [๓๔๐] กาลย่อมกินสัตว์ทั้งปวงกับทั้งตัวเองด้วย ก็ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นเผา ตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว. [๓๔๑] ศีรษะของนรชนปรากฏว่ามีมาก มีผมดำยาวปกคลุมถึงคอ บรรดาคน ทั้งหลายนี้ จะหาคนผู้มีปัญญาสักคนก็ไม่ได้.จบ มูลปริยายชาดกที่ ๕. ๖. พาโลวาทชาดก ว่าด้วยคนมีปัญญาบริโภค [๓๔๒] บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่ สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย. [๓๔๓] ถ้าสมณะเป็นผู้มีปัญญา แม้จะบริโภคทานที่บุคคลผู้ไม่สำรวม ฆ่าบุตร และภรรยาถวาย ก็ไม่เข้าไปติดบาปเลย.จบ พาโลวาทชาดกที่ ๖. ๗. ปาทัญชลิชาดก ว่าด้วยปาทัญชลีราชกุมาร [๓๔๔] ปาทัญชลีราชกุมาร ย่อมรุ่งเรืองกว่าเราทั้งหมดด้วยพระปรีชาแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงทรงเม้มพระโอฐอยู่เล่า จะทรงเห็นเหตุอย่าง อื่นยิ่งกว่านี้เป็นแน่. [๓๔๕] ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ จะทรงทราบสิ่งที่เป็นธรรมหรือไม่เป็น ธรรม สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ก็หาไม่ ปาทัญชลี- ราชกุมารพระองค์นี้ นอกจากจะเม้มพระโอฐแล้ว ย่อมไม่ทรงทราบ เหตุการณ์สักนิดหนึ่งเลย.จบ ปาทัญชลิชาดกที่ ๗. ๘. กิงสุโกปมชาดก คนไม่รู้ธรรมด้วยญาณย่อมสงสัยในธรรม [๓๔๖] ท่านทุกคนเห็นต้นทองกวาวแล้ว ยังจะสงสัยในต้นทองกวาวนั้น เพราะ เหตุไรหนอ ท่านทั้งหลายหาได้ถามนายสารถีให้ถี่ถ้วนในที่ทั้งปวงไม่. [๓๔๗] บุคคลเหล่าใด ยังไม่รู้ธรรมทั้งหลาย ด้วยญาณทั้งปวง บุคคลเหล่านั้นแล ย่อมสงสัยในธรรมทั้งหลาย เหมือนพระราชาบุตร ๔ พระองค์ ทรง สงสัยในต้นทองกวาวฉะนั้น.จบ กิงสุโกปมชาดกที่ ๘. ๙. สาลกชาดก ว่าด้วยสาลกวานร [๓๔๘] ดูกรพ่อสาลกวานร พ่อเป็นลูกคนเดียวของเรา อนึ่ง พ่อจักได้เป็นใหญ่ แห่งโภคสมบัติในตระกูลของเรา ลงมาจากต้นไม้เถิด มาเถิดพ่อ เรา จะพากันกลับไปบ้านของเรา. [๓๔๙] ท่านสำคัญเราว่า เป็นสัตว์ใจดี จึงได้ตีเราด้วยเรียวไม้ไผ่ เราพอใจอยู่ใน ป่ามะม่วงที่มีผลสุก ท่านจงกลับไปบ้านตามสบายเถิด.จบ สาลกชาดกที่ ๙. ๑๐. กปิชาดก เข้าใจว่าลิงเป็นฤาษี [๓๕๐] ฤาษีผู้ยินดีแล้วในความสงบและความสำรวม ท่านถูกภัย คือ ความ หนาวเบียดเบียน จึงมายืนอยู่ เชิญฤาษีผู้นี้จงเข้ามายังบรรณศาลานี้เถิด จะได้บรรเทาความหนาว และความกระวนกระวายให้หมดสิ้นไป. [๓๕๑] นี้ไม่ใช่ฤาษีผู้ยินดีในความสงบและความสำรวม เป็นลิงเที่ยวโคจรอยู่ ตามกิ่งมะเดื่อ มันเป็นสัตว์ประทุษร้าย ฉุนเฉียว และมีสันดานลามก ถ้าเข้ามาอยู่ยังบรรณศาลาหลังนี้ ก็จะพึงประทุษร้ายบรรณศาลา.จบ กปิชาดกที่ ๑๐.
วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557
สัพพทาฐิชาดก
ป้ายกำกับ:
สัพพทาฐิชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น