วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สัพพทาฐิชาดก

๑. สัพพทาฐิชาดก
ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้
             [๓๓๒] สุนัขจิ้งจอกกระด้างด้วยมานะ มีความต้องการด้วยบริวาร ได้บรรลุถึง                           สมบัติใหญ่ ได้เป็นราชาแห่งสัตว์มีเขี้ยวงาทั้งปวง ฉันใด.              [๓๓๓] ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดมีบริวารมาก ผู้นั้นชื่อว่า เป็นใหญ่ในบริวารเหล่านั้น                           ดุจสุนัขจิ้งจอกได้เป็นใหญ่กว่าสัตว์มีเขี้ยวงา ฉะนั้น.
จบ สัพพทาฐิชาดกที่ ๑.
๒. สุนขชาดก
ผู้ฉลาดย่อมช่วยตัวเองได้
             [๓๓๔] สุนัขตัวใด ไม่กัดเชือกหนังให้ขาด สุนัขตัวนั้น โง่เขลามาก สุนัขควร                           จะเปลื้องตนเสียจากเครื่องผูก กินเชือกหนังเสียให้อิ่ม แล้วจึงค่อย                           กลับไปยังที่อยู่ของตน.              [๓๓๕] คำที่ท่านกล่าวนี้ฝังอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า อนึ่ง ข้าพเจ้ายังได้จำไว้ใน                           ใจแล้ว ข้าพเจ้าจะรอเวลาจนกว่าคนจะหลับ.
จบ สุนขชาดกที่ ๒.
๓. คุตติลชาดก
ลูกศิษย์คิดล้างครู
             [๓๓๖] ข้าพระองค์ได้สอนให้ศิษย์ชื่อมุสิละเรียนวิชาดีดพิณ ๗ สาย มีเสียง                           ไพเราะจับใจคนฟัง เขากลับมาขันดีดพิณสู้ข้าพระองค์ ณ ท่ามกลาง                           สนาม ข้าแต่ท้าวโกสีย์ ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์เถิด.              [๓๓๗] ดูกรสหาย ฉันจะเป็นที่พึ่งของท่าน ฉันเป็นผู้บูชาอาจารย์ ศิษย์จักไม่                           ชนะท่าน ท่านจักชนะศิษย์.
จบ คุตติลชาดกที่ ๓.
๔. วิคติจฉชาดก
ความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด
             [๓๓๘] บุคคลเห็นสิ่งใด ไม่ปรารถนาสิ่งนั้น อนึ่ง บุคคลไม่เห็นสิ่งใด ย่อม                           ปรารถนาสิ่งนั้น เราเข้าใจว่า บุคคลนั้น จักท่องเที่ยวไปอีกนาน อยาก                           ได้สิ่งใด ก็จักไม่ได้สิ่งนั้นเลย.              [๓๓๙] บุคคลได้สิ่งใด ไม่ยินดีด้วยสิ่งนั้น ปรารถนาสมบัติอันใด ก็ติเตียน                           สมบัติที่ได้มานั้น เพราะขึ้นชื่อว่า ความปรารถนามีอารมณ์ไม่สิ้นสุด                           เราขอกระทำความนอบน้อมแด่ท่านผู้ปราศจากความปรารถนา.
จบ วิคติจฉชาดกที่ ๔.
๕. มูลปริยายชาดก
กาลเวลากินสัตว์พร้อมทั้งตัวเอง
             [๓๔๐] กาลย่อมกินสัตว์ทั้งปวงกับทั้งตัวเองด้วย ก็ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นเผา                           ตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว.              [๓๔๑] ศีรษะของนรชนปรากฏว่ามีมาก มีผมดำยาวปกคลุมถึงคอ บรรดาคน                           ทั้งหลายนี้ จะหาคนผู้มีปัญญาสักคนก็ไม่ได้.
จบ มูลปริยายชาดกที่ ๕.
๖. พาโลวาทชาดก
ว่าด้วยคนมีปัญญาบริโภค
             [๓๔๒] บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่                           สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.              [๓๔๓] ถ้าสมณะเป็นผู้มีปัญญา แม้จะบริโภคทานที่บุคคลผู้ไม่สำรวม ฆ่าบุตร                           และภรรยาถวาย ก็ไม่เข้าไปติดบาปเลย.
จบ พาโลวาทชาดกที่ ๖.
๗. ปาทัญชลิชาดก
ว่าด้วยปาทัญชลีราชกุมาร
             [๓๔๔] ปาทัญชลีราชกุมาร ย่อมรุ่งเรืองกว่าเราทั้งหมดด้วยพระปรีชาแน่นอน                           เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงทรงเม้มพระโอฐอยู่เล่า จะทรงเห็นเหตุอย่าง                           อื่นยิ่งกว่านี้เป็นแน่.              [๓๔๕] ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ จะทรงทราบสิ่งที่เป็นธรรมหรือไม่เป็น                           ธรรม สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ก็หาไม่ ปาทัญชลี-                           ราชกุมารพระองค์นี้ นอกจากจะเม้มพระโอฐแล้ว ย่อมไม่ทรงทราบ                           เหตุการณ์สักนิดหนึ่งเลย.
จบ ปาทัญชลิชาดกที่ ๗.
๘. กิงสุโกปมชาดก
คนไม่รู้ธรรมด้วยญาณย่อมสงสัยในธรรม
             [๓๔๖] ท่านทุกคนเห็นต้นทองกวาวแล้ว ยังจะสงสัยในต้นทองกวาวนั้น เพราะ                           เหตุไรหนอ ท่านทั้งหลายหาได้ถามนายสารถีให้ถี่ถ้วนในที่ทั้งปวงไม่.              [๓๔๗] บุคคลเหล่าใด ยังไม่รู้ธรรมทั้งหลาย ด้วยญาณทั้งปวง บุคคลเหล่านั้นแล                           ย่อมสงสัยในธรรมทั้งหลาย เหมือนพระราชาบุตร ๔ พระองค์ ทรง                           สงสัยในต้นทองกวาวฉะนั้น.
จบ กิงสุโกปมชาดกที่ ๘.
๙. สาลกชาดก
ว่าด้วยสาลกวานร
             [๓๔๘] ดูกรพ่อสาลกวานร พ่อเป็นลูกคนเดียวของเรา อนึ่ง พ่อจักได้เป็นใหญ่                           แห่งโภคสมบัติในตระกูลของเรา ลงมาจากต้นไม้เถิด มาเถิดพ่อ เรา                           จะพากันกลับไปบ้านของเรา.              [๓๔๙] ท่านสำคัญเราว่า เป็นสัตว์ใจดี จึงได้ตีเราด้วยเรียวไม้ไผ่ เราพอใจอยู่ใน                           ป่ามะม่วงที่มีผลสุก ท่านจงกลับไปบ้านตามสบายเถิด.
จบ สาลกชาดกที่ ๙.
๑๐. กปิชาดก
เข้าใจว่าลิงเป็นฤาษี
             [๓๕๐] ฤาษีผู้ยินดีแล้วในความสงบและความสำรวม ท่านถูกภัย คือ ความ                           หนาวเบียดเบียน จึงมายืนอยู่ เชิญฤาษีผู้นี้จงเข้ามายังบรรณศาลานี้เถิด                           จะได้บรรเทาความหนาว และความกระวนกระวายให้หมดสิ้นไป.              [๓๕๑] นี้ไม่ใช่ฤาษีผู้ยินดีในความสงบและความสำรวม เป็นลิงเที่ยวโคจรอยู่                           ตามกิ่งมะเดื่อ มันเป็นสัตว์ประทุษร้าย ฉุนเฉียว และมีสันดานลามก                           ถ้าเข้ามาอยู่ยังบรรณศาลาหลังนี้ ก็จะพึงประทุษร้ายบรรณศาลา.
จบ กปิชาดกที่ ๑๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น