วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มาตังคชาดก

๑. มาตังคชาดก
อานุภาพของมาตังคฤาษี
             [๒๐๓๓] ท่านมีปกตินุ่งห่มไม่สมควร ดุจปีศาจเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นละออง สวม                           ใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองขยะไว้ที่คอ มาจากไหน ท่านเป็นใคร เป็นผู้ไม่                           ควรแก่ทักขิณาทานเลย?              [๒๐๓๔] ข้าวน้ำนี้ท่านจัดไว้เพื่อท่านผู้เรืองยศ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมขบเคี้ยว                           บริโภคและดื่มข้าวน้ำของท่านนั้น ท่านรู้จักข้าพเจ้าว่าเป็นผู้อาศัยโภชนะที่                           ผู้อื่นให้เลี้ยงชีวิต ถึงคนจัณฑาลก็ขอจงได้ก้อนข้าวบ้างเถิด.              [๒๐๓๕] ข้าวน้ำของเรานี้ เราจัดไว้เพื่อพราหมณ์ทั้งหลาย ทานวัตถุนี้เราเชื่อว่า                           ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตน ท่านจงหลีกไปเสียจากที่นี้ จะมายืน                           อยู่ ณ ที่นี้เพื่ออะไร เจ้าคนเลว คนเช่นเราย่อมไม่ให้ทานแก่เจ้า.              [๒๐๓๖] ชนทั้งหลายผู้หวังผลข้าวกล้า ย่อมหว่านพืชลงในที่ดอนบ้าง ในที่ลุ่มบ้าง                           ในที่ไม่ลุ่ม ไม่ดอนบ้าง ฉันใด ท่านจงให้ทานแก่ปฏิคาหกทั่วไปด้วย                           ศรัทธา ฉันนั้น เมื่อท่านให้ทานอย่างนี้ ไฉนจะพึงยังทักขิไณยบุคคล                           ให้ยินดีได้เล่า?              [๒๐๓๗] เราย่อมตั้งไว้ ซึ่งพืชทั้งหลายในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นเรารู้แจ้งแล้ว                           ในโลก พราหมณ์เหล่าใดสมบูรณ์ด้วยชาติและมนต์ พราหมณ์เหล่านั้น                           ชื่อว่าเป็นเขต มีศีลเป็นที่รักในโลกนี้.              [๒๐๓๘] ความเมาเพราะชาติ ความดูหมิ่นท่าน โลภะ โทสะ มทะ และโมหะ                           กิเลสทั้งหมดนี้เป็นโทษ ไม่ใช่คุณ มีอยู่ในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้น                           เป็นเขตไม่มีศีล ไม่เป็นที่รักในโลกนี้ ความเมาเพราะชาติก็ดี ความดู                           หมิ่นท่าน โลภะ โทสะ มทะ และโมหะ กิเลสทั้งหมดนี้เป็นโทษ                           มิใช่คุณ ไม่มีอยู่ในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นจัดเป็นเขตมีศีล เป็นที่รัก                           ในโลกนี้              [๒๐๓๙] คนเฝ้าประตูทั้งสาม คือ อุปโชติยะ ๑ อุปัชฌายะ ๑ ภัณฑกุจฉิ ๑ พา                           กันไปเสียที่ไหน ท่านทั้งหลายจงลงอาชญาและฆ่าตีคนจัณฑาลผู้ลามกนี้                           แล้วลากคอไปเสียให้พ้น.              [๒๐๔๐] ผู้ใดบริภาษฤาษี ผู้นั้นชื่อว่าแกะภูเขาด้วยเล็บ ชื่อว่าเคี้ยวกินก้อนเหล็ก                           ด้วยฟัน ชื่อว่าพยายามกลืนกินไฟ.              [๒๐๔๑] ฤาษีชื่อว่ามาตังคะผู้มีสัจจะเป็นเครื่องก้าวไปในเบื้องหน้า ครั้นกล่าวคาถา                           นี้แล้ว เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายแลดูอยู่ได้เหาะไปในอากาศ.              [๒๐๔๒] ศีรษะของลูกเราบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขนเหยีดตรงไม่ไหวติง นัยน์ตา                           ขาวเหมือนคนตาย ใครมาทำบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้.              [๒๐๔๓] สมณะรูปหนึ่งมีปกตินุ่งห่มไม่สมควร สกปรกดุจปีศาจ เปรอะเปื้อนด้วย                           ฝุ่นละออง สวมใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองขยะไว้ที่คอ ได้มา ณ ที่นี้                           สมณะรูปนั้นได้ทำบุตรของท่านให้เป็นอย่างนี้.              [๒๐๔๔] ดูกรมาณพทั้งหลาย สมณะผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ท่านไปทางทิศ                           ไหน ท่านทั้งหลายจงบอกเนื้อความนั้นแก่เรา เราจะไปยังสำนักของ                           ท่านกระทำคืนโทษนั้นเสีย ไฉนหนอเราจะพึงได้ชีวิตบุตรคืนมา.              [๒๐๔๕] ฤาษีผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ได้ไปแล้วในอากาศในวันเพ็ญพระจันทร์                           เต็มดวงท่ามกลางอากาศ แล้วฤาษีผู้มีปฏิญาณในสัจจะ มีคุณธรรมอันดี                           งามนั้น ท่านไปทางทิศบูรพา.              [๒๐๔๖] ศีรษะของลูกเราบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขนเหยียดตรงไม่ไหวติง                           นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย ใครมาทำบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้.              [๒๐๔๗] ยักษ์ทั้งสองตนผู้มีอานุภาพมากมีอยู่แล ยักษ์เหล่านั้นพากันติดตามฤาษี                           ผู้มีคุณธรรมมาแล้ว รู้ว่าบุตรของท่านมีจิตคิดประทุษร้ายโกรธเคืองจึงทำ                           บุตรของท่านให้เป็นอย่างนี้แหละ.              [๒๐๔๘] ข้าแต่ภิกษุ ถ้ายักษ์ทั้งหลายได้ทำบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้ ขอแต่ท่าน                           ผู้เป็นพรหมจารีเท่านั้น อย่าโกรธบุตรของดิฉันเลย ดิฉันขอถึงเท้าของ                           ท่านเป็นที่พึ่ง ดิฉันตามมาด้วยความโศกถึงบุตร.              [๒๐๔๙] ในคราวที่บุตรของท่านด่าเราก็ดี และเมื่อท่านมาอ้อนวอนอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี                           จิตคิดประทุษร้ายหน่อยหนึ่งมิได้มีแก่เราเลย แต่บุตรของท่านเป็นคน                           ประมาท เพราะความมัวเมาว่าเรียนจบไตรเพท แม้จะเรียนจบไตรเพท                           แล้ว ก็ยังไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์.              [๒๐๕๐] ข้าแต่ท่านผู้เป็นภิกษุ ความจำของบุรุษ ย่อมหลงลืมได้โดยครู่เดียวเป็น                           แน่แท้ ท่านผู้มีปัญญาเสมอแผ่นดิน ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งเถิด                           บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เป็นผู้มีความโกรธเป็นกำลัง.              [๒๐๕๑] มัณฑัพยกุมารบุตรของท่านผู้มีปัญญาน้อย จงบริโภคก้อนข้าวที่เราฉัน                           เหลือนี้เถิด ยักษ์ทั้งหลายจะไม่พึงเบียดเบียนบุตรของท่านเลย และบุตร                           ของท่านจักหายโรคทันที.              [๒๐๕๒] พ่อมัณฑัพยะ เจ้ายังเป็นคนโง่เขลา มีปัญญาน้อย เจ้าเป็นผู้ไม่ฉลาด                           ในเขตบุญทั้งหลาย ได้ให้ทานในหมู่ชนผู้ประกอบด้วยกิเลสดุจน้ำฝาด                           ใหญ่ มีกรรมอันเศร้าหมอง ไม่สำรวม. บรรดาทักขิไณยบุคคลของ                           เจ้าบางพวกเกล้าผมฟูเป็นเซิง นุ่งห่มหนังเสือ ปากรกรุงรังไปด้วยหนวด                           เครา ดังปากบ่อน้ำอันเก่ารกไปด้วยกอหญ้า เจ้าจงดูหมู่ชนที่มีรูปร่าง                           น่าเกลียดนี้ การเกล้าผมฟูเป็นเซิง หาป้องกันคนผู้มีปัญญาน้อยได้ไม่                           ท่านเหล่าใดสำรอกราคะ โทสะ และอวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์                           ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ทานที่บุคคลถวายในท่านเหล่านั้นย่อมมีผลมาก.              [๒๐๕๓] พระเจ้าเมชฌะ ได้ประทุษร้ายใจในมาตังคบัณฑิตผู้เรืองยศวงศ์กษัตริย์                           เมชฌราชพร้อมทั้งบริษัทได้ขาดสูญตั้งแต่นั้นมา.
จบ มาตังคชาดกที่ ๑.
๒. จิตตสัมภูตชาดก
ว่าด้วยผลของกรรม
             [๒๐๕๔] กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรม                           แม้จนเล็กน้อย ที่จะไม่ให้ผลเป็นอันไม่มี เราได้เห็นตัวของเราผู้ชื่อว่า                           สัมภูตะมีอานุภาพมาก อันบังเกิดขึ้นด้วยผลบุญ เพราะกรรมของตนเอง                           กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรม                           แม้จะเล็กน้อย ที่จะไม่ให้ผลเป็นอันไม่มี มโนรถของเราสำเร็จแล้ว                           แม้ฉันใด มโนรถแม้ของจิตตบัณฑิต พระเชฏฐาของเรา ก็สำเร็จแล้ว                           ฉันนั้น กระมังหนอ.              [๒๐๕๕] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติภพ กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อม                           มีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็กน้อย ที่จะไม่ให้ผลเป็นอันไม่มี                           มโนรถของพระองค์สำเร็จแล้ว แม้ฉันใด ขอพระองค์โปรดทราบแม้                           พระจิตตบัณฑิตฉันนั้นเถิด.              [๒๐๕๖] เจ้าหรือคือจิตตะ เจ้าได้ฟังคำนี้มาจากคนอื่น หรือว่าใครบอกเนื้อความนี้                           แก่เจ้า คาถานี้เจ้าขับดีแล้ว เราไม่มีความสงสัย เราจะให้บ้านส่วยร้อย                           ตำบลแก่เจ้า.              [๒๐๕๗] ข้าพระพุทธเจ้าหาใช่จิตตะไม่ ข้าพระพุทธเจ้าฟังคำนี้มาจากคนอื่น และ                           ฤาษีได้บอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้วสั่งว่า เจ้าจงไปขับคาถานี้                           ตอบถวายพระราชา พระราชาทรงพอพระทัยแล้ว จะพึงพระราชทานบ้าน                           ส่วยให้แก่เจ้าบ้านกระมัง?              [๒๐๕๘] ราชบุตรทั้งหลายจงเทียมราชรถของเรา จัดแจงให้ดี ผูกรัดจัดสรรให้                           งดงามวิจิตร จงผูกรัดสายประคนมงคลหัตถี นายหัตถาจารย์จงขึ้นประจำ                           คอ. ตะโพนและสังข์มาตระเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่ทั้งหลายจงเทียบยาน                           พาหนะโดยเร็ว วันนี้แล เราจักไปยังอาศรมซึ่งจักได้พบฤาษีนั่งอยู่.              [๒๐๕๙] ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ลาภดีแล้วหนอ คาถาอันข้าพเจ้าขับดีแล้วในท่ามกลาง                           บริษัท ข้าพเจ้าได้พบฤาษีผู้ประกอบด้วยศีลแล้วเกิดปีติโสมนัส.              [๒๐๖๐] เชิญท่านผู้เจริญโปรดรับอาสนะ น้ำ และรองเท้าของข้าพเจ้าทั้งหมด                           เถิด ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับท่านผู้เจริญในสิ่งของอันมีค่า ขอท่านผู้เจริญเชิญ                           รับสักการะอันมีค่าของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด.              [๒๐๖๑] ขอเชิญพระเชฏฐาทรงสร้างปรางค์ปราสาท อันเป็นที่อยู่น่ารื่นรมย์สำหรับ                           พระองค์เถิด จงทรงบำรุงบำเรอด้วยหมู่นางนารีทั้งหลาย โปรดให้                           โอกาสเพื่ออนุเคราะห์แก่หม่อมฉันเถิด แม้เราทั้งสองก็จะครอบครอง                           อิสริยสมบัตินี้ร่วมกัน.              [๒๐๖๒] ดูกรมหาบพิตร พระองค์ทรงเห็นผลแห่งสุจริตอย่างเดียว ส่วนอาตมภาพ                           เห็นผลแห่งสุจริต และทุจริตที่สั่งสมไว้แล้ว เป็นวิบากใหญ่ จึงสำรวม                           ตนเท่านั้น มิได้ปรารถนาบุตร ปศุสัตว์ หรือทรัพย์. ชีวิตของสัตว์                           ทั้งหลายในโลกนี้ มีกำหนดร้อยปีเป็นอย่างมาก ไม่ล่วงกำหนดนั้นไป                           ได้เลย ย่อมจะเหือดแห้งไป เหมือนไม้อ้อที่ถูกตัดแล้ว มีแต่จะแห้งไป                           ฉะนั้น. ในชีวิตอันจะต้องเหือดแห้งไปนั้น จะมัวเพลิดเพลินไปใย จะ                           มัวเล่นคึกคะนองไปทำไม ความยินดีจะเป็นประโยชน์อะไร ประโยชน์                           อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยบุตร และภรรยา                           สำหรับอาตมา ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูก.                           อาตมภาพรู้ชัดอย่างนี้ว่า มัจจุจะไม่รังควานเราเป็นอันไม่มี เมื่อบุคคล                           ถูกมัจจุราชครอบงำแล้ว ความยินดีจะเป็นประโยชน์อะไร จะมีประโยชน์                           อะไรด้วยการแสวงหาทรัพย์. ดูกรมหาบพิตรผู้จอมประชาชนชาติของ                           นรชนไม่สม่ำเสมอกัน กำเนิดแห่งคนจัณฑาล จัดว่าเลวทรามในระหว่าง                           มนุษย์ เมื่อชาติก่อนเราทั้งสองได้อยู่ร่วมกันในครรภ์แห่งนางจัณฑาลี                           เพราะกรรมอันชั่วช้าของตน. เราทั้งสองได้เกิดเป็นคนจัณฑาล ในกรุง                           อุชเชนีอวันตีชนบท ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นเนื้อสองตัว                           พี่น้องอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดเป็นนก                           ออกสองตัวพี่น้องอยู่ริมฝั่งรัมมทานที ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว                           คราวนี้ อาตมภาพเกิดเป็นพราหมณ์ มหาบพิตรทรงสมภพเป็นกษัตริย์.              [๒๐๖๓] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ถูกชรานำเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์                           ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานำเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มี                           ผู้ต้านทาน ดูกรพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทำตามคำของ                           อาตมภาพ อย่าทรงทำกรรมทั้งหลายที่มีทุกข์เป็นกำไรเลย. ชีวิตของสัตว์                           ทั้งหลายถูกชรานำเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย                           เมื่อนรชนถูกชรานำเข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูกรพระเจ้า                           ปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทำตามคำของอาตมภาพ อย่าทรงทำกรรม                           ทั้งหลายที่มีทุกข์เป็นวิบากเลย ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายถูกชรานำเข้าไป                           สู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย เมื่อนรชนถูกชรานำ                           เข้าไปสู่ความตาย ย่อมไม่มีผู้ต้านทาน ดูกรพระเจ้าปัญจาลราช                           มหาบพิตรจงทรงทำตามคำของอาตมภาพ อย่าทรงทำกรรมทั้งหลายอันมี                           ศีรษะเกลือกกลั้วด้วยกิเลสธุลี. ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายถูกชรานำเข้าไป                           สู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายเป็นของน้อย ชราย่อมกำจัดวรรณะ                           ของนรชนผู้แก่เฒ่า ดูกรพระเจ้าปัญจาลราช มหาบพิตรจงทรงทำ                           ตามคำของอาตมภาพ อย่าทรงทำกรรมที่จะให้เข้าถึงนรกเลย.              [๒๐๖๔] ข้าแต่ภิกษุ ถ้อยคำของพระคุณเจ้านี้เป็นคำจริงแท้ทีเดียว ฤาษีกล่าวฉันใด                           คำนี้ก็เป็นฉันนั้น แต่ว่ากามทั้งหลายของข้าพเจ้ายังมีอยู่มาก กาม                           เหล่านั้นคนเช่นกับข้าพเจ้าสละได้ยาก. ช้างจมอยู่ท่ามกลางหล่มแล้ว                           ย่อมไม่อาจจะไปยังที่ควรได้ด้วยตนเอง ฉันใด ข้าพเจ้าจมอยู่ในหล่มคือ                           กามกิเลส ก็ยังไม่สามารถจะปฏิบัติตามทางของภิกษุได้ ฉันนั้น. ข้าแต่                           พระคุณเจ้าผู้เจริญ อนึ่ง บุตรจะพึงมีความสุขได้ด้วยวิธีใด บิดามารดา                           พร่ำสอนบุตรด้วยวิธีนั้น ฉันใด ข้าพเจ้าละจากโลกนี้ไปแล้ว จะพึง                           เป็นผู้มีความสุขยืนนานได้ด้วยวิธีใด ขอพระคุณเจ้าโปรดพร่ำสอนข้าพเจ้า                           ด้วยวิธีนั้นฉันนั้นเถิด.              [๒๐๖๕] ดูกรมหาบพิตรผู้เป็นจอมประชาชน ถ้ามหาบพิตรไม่อาจละกามของมนุษย์                           เหล่านี้ได้ไซร้ มหาบพิตรจงทรงเริ่มตั้งพลีกรรมอันชอบธรรมเถิด แต่                           การกระทำอันไม่เป็นธรรมขออย่าได้มีในรัฐสีมาของมหาบพิตรเลย. ทูต                           ทั้งหลายจงไปยังทิศทั้ง ๔ นิมนต์สมณพราหมณ์ทั้งหลายมา มหาบพิตร                           จงทรงบำรุงสมณพราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะและ                           คิลานปัจจัย. มหาบพิตรจงเป็นผู้มีพระกมลจิตอันผ่องใส ทรงอังคาส                           สมณพราหมณ์ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าว น้ำ ได้ทรงบริจาคทานตาม                           สติกำลัง และทรงเสวยแล้ว เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์ไม่ติเตียน                           จงเสด็จเข้าถึงสัคคสถานเถิด. ดูกรมหาบพิตร ก็ถ้าความเมาจะพึง                           ครอบงำมหาบพิตรผู้อันหมู่นางนารีทั้งหลายแวดล้อมอยู่ มหาบพิตรจงทรง                           มนสิการคาถานี้ แล้วพึงตรัสคาถานี้ในท่ามกลางบริษัทว่า เมื่อชาติก่อนเรา                           เป็นคนนอนอยู่กลางแจ้ง อันมารดาจัณฑาลี เมื่อจะไปป่าให้ดื่มน้ำนม                           มาแล้ว นอนคลุกคลีอยู่กับสุนัขทั้งหลายจนเติบโต มาบัดนี้ คนนั้น                           ใครๆ เขาก็เรียกกันว่าพระราชา.
จบ จิตตสัมภูตชาดกที่ ๒.
๓. สีวิราชชาดก
ว่าด้วยการให้ดวงตาเป็นทาน
             [๒๐๖๖] ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนชรา ไม่แลเห็นในที่ไกล มาเพื่อจะทูลขอ                           พระเนตร ข้าพระพุทธเจ้ามีตาข้างเดียว ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอแล้ว                           ขอพระองค์ทรงโปรดพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า                           เถิด.              [๒๐๖๗] ดูกรวณิพก ใครเป็นผู้แนะนำท่านจึงมาขอดวงตาฉัน ณ ที่นี้ บัณฑิต                           ทั้งหลายกล่าวดวงตาใดว่า ยากที่บุรุษจะสละได้ ท่านมาขอดวงตานั้น                           อันเป็นอวัยวะเบื้องสูง ยากที่เราจะสละได้ง่ายๆ.              [๒๐๖๘] ในเทวโลก เขาเรียกท่านผู้ใดว่า สุชัมบดี ในมนุษยโลก เขาเรียกท่าน                           ผู้นั้นว่า มฆวา ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก ท่านผู้นั้นแนะนำให้มา                           ขอพระเนตร ณ ที่นี้. ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก การขอของข้าพระ-                           พุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดยิ่งไปกว่า ขอพระองค์ทรงพระราชทานพระเนตร                           แก่ข้าพระพุทธเจ้า ผู้มาขอเถิด บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ดวงตาใดยาก                           ที่บุรุษจะสละได้ ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงเนตรนั้นที่ไม่มีสิ่ง                           อื่นจะยิ่งกว่าแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด.                           ท่านมาด้วยประโยชน์อันใด ปรารถนาประโยชน์สิ่งใด ความดำริ                           เหล่านั้นเพื่อประโยชน์นั้นๆ ของท่านจงสำเร็จเถิด ดูกรพราหมณ์                           ท่านจงได้ดวงตาเถิด. เมื่อท่านขอข้างเดียว เราจะให้ทั้งสองข้าง                           ขอท่านนั้นจงเป็นผู้มีนัยน์ตาไปเถิด ท่านปรารถนาสิ่งใดจากเราผู้มุ่งหมาย                           ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จแก่ท่านเถิด.              [๒๐๖๙] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย                           พระองค์อย่าทรงพระราชทานดวงพระเนตรเลย อย่าทรงทอดทิ้งข้าพระ-                           พุทธเจ้าทั้งปวงเลย ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์พระราชทาน                           ทรัพย์เถิด แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ มีเป็นอันมาก ข้าแต่พระ-                           มหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์จะพระราชทานรถ                           ทั้งหลายที่เทียมแล้วม้าอาชาไนย ช้างตัวประเสริฐที่ตบแต่งแล้ว ที่อยู่                           และเครื่องบริโภคที่ทำด้วยทองคำเถิด. ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอ                           พระองค์ทรงพระราชทานเหมือนกับชาวสีพีทั้งปวง ที่มีเครื่องใช้สอย                           สีรถ แวดล้อมพระองค์อยู่โดยรอบทุกเมื่อ ฉะนั้นเถิด.              [๒๐๗๐] ผู้ใดแลพูดว่าจักให้ แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเหมือนกับสวมบ่วง                           ที่ตกลงยังพื้นดินไว้ที่คอ. ผู้ใดแล พูดว่าจักให้ แล้วมากลับใจว่าไม่ให้                           ผู้นั้นเป็นคนลามกกว่าผู้ที่ลามก ทั้งจะต้องเข้าถึงสถานที่ลงอาชญาของ                           พญายม. ความจริงผู้ขอได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็ควรจะให้สิ่งนั้นแหละ                           ผู้ขอยังไม่ได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็อย่าพึงให้สิ่งนั้น พราหมณ์ได้ขอ                           สิ่งใดไว้กะเรา เราก็จักให้สิ่งนั้นนั่นแหละ.              [๒๐๗๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์ทรงปรารถนาพระชนมายุ                           วรรณะ สุขะ และพละอะไรหรือ จึงทรงพระราชทานพระเนตร                           พระองค์ทรงเป็นราชาแห่งชาวสีพี ไม่มีใครจะประเสริฐยิ่งไปกว่า ทรง                           พระราชทานพระเนตร เพราะเหตุปรโลกหรืออย่างไร?              [๒๐๗๒] เราให้ดวงตาเป็นทานนั้น เพราะยศก็หาไม่ เราจะได้ปรารถนาบุตร                           ทรัพย์หรือแว่นแคว้น เพราะผลแห่งการให้ดวงตานี้ก็หาไม่ อีก                           ประการหนึ่ง ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ท่านได้ประพฤติกันมาแล้ว                           แต่โบราณ เพราะเหตุนี้แหละ ใจของเราจึงยินดีในทาน.              [๒๐๗๓] ดวงตาทั้ง ๒ ข้างจะได้เป็นที่เกลียดชังของเราก็หาไม่ ตนของตนเอง                           ก็หาได้เป็นที่เกลียดชังของเราไม่ พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา                           เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้ดวงตา.              [๒๐๗๔] ดูกรนายสีวิกะ ท่านเป็นมิตรสหายของเรา ท่านเป็นคนศึกษามาดีแล้ว                           จงกระทำตามถ้อยคำของเราให้ดี จงควักดวงตาทั้ง ๒ ของเราผู้ปรารถนา                           อยู่แล้ววางลง ในมือของพราหมณ์วณิพกเถิด.              [๒๐๗๕] พระเจ้าสีวิราชทรงเตือนให้หมอสีวิกะกระทำตามพระราชดำรัสแล้ว หมอ                           สีวิกะควักดวงพระเนตรของพระราชาส่งให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์เป็น                           ผู้มีจักษุ พระราชาเป็นคนตาบอดเสด็จเข้าที่ประทับ.              [๒๐๗๖] ตั้งแต่นั้นมาสองสามวัน เมื่อพระเนตรทั้ง ๒ มีเนื้องอกขึ้นเต็มแล้ว                           พระราชาผู้บำรุงสีพีรัฐ จึงตรัสเรียกนายสารถีผู้เฝ้าอยู่นั้นว่า ดูกรนายสารถี                           ท่านจงเทียมยานเถิด เสร็จแล้วจงบอกให้เราทราบ เราจะไปยังอุทยาน                           จะไปยังสระโบกขรณี และราวป่า. พอพระเจ้าสีวิราชเข้าไปประทับขัด                           สมาธิริมขอบสระโบกขรณีแล้ว ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชก็ปรากฏแก่                           พระเจ้าสีวิราชนั้น.              [๒๐๗๗] หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมแห่งเทพ มาในสำนักของพระองค์แล้ว                           ข้าแต่พระราชฤาษี ขอพระองค์จงเลือกเอาพรตามที่พระทัยปรารถนาเถิด.              [๒๐๗๘] ข้าแต่ท้าวสักกะ ทรัพย์ กำลังของหม่อมฉันมีพอแล้ว อนึ่ง คลังของ                           หม่อมฉันก็มีเป็นอันมาก บัดนี้ หม่อมฉันเป็นคนตาบอด พอใจ                           ความตายเท่านั้น.              [๒๐๗๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ ผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์สองเท้า พระองค์จง                           ตรัสถ้อยคำที่เป็นสัจจะ เมื่อพระองค์ตรัสแต่ถ้อยคำที่เป็นสัจจะ พระ-                           เนตรจักเกิดขึ้นอีก.              [๒๐๘๐] บรรดาวณิพกทั้งหลายผู้มีโคตรต่างๆ กัน มาขอหม่อมฉัน แม้วณิพกใด                           มาขอหม่อมฉัน แม้วณิพกนั้นก็เป็นที่รักแห่งใจของหม่อมฉัน ด้วยการ                           กล่าวคำสัตย์นี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด.              [๒๐๘๑] พราหมณ์ผู้ใด มาขอหม่อมฉันว่า ขอจงพระราชทานพระเนตรเถิด                           หม่อมฉันได้ให้ดวงตาทั้งสองแก่พราหมณ์ผู้นั้นซึ่งเป็นวณิพก. ปีติและ                           โสมนัสเป็นอันมากเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันยิ่งนัก ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้                           ขอจักษุจงเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด.              [๒๐๘๒] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบำรุงสีพีรัฐ พระองค์ตรัสพระคาถาแล้วโดยธรรม                           พระเนตรทั้งสองของพระองค์ จะปรากฏเป็นตาทิพย์เห็นได้ทะลุภาย                           นอกฝา ภายนอกกำแพง และภูเขาตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ.              [๒๐๘๓] ใครหนอในโลกนี้ ถูกขอทรัพย์อันน่าปลื้มใจแล้ว แม้จะเป็นของ                           พิเศษ แม้จะเป็นของที่รักอย่างดีของตน จะไม่พึงให้ ฉันขอตักเตือน                           ท่านทั้งหลายผู้เป็นชาวสีพีรัฐทุกๆ คนที่มาประชุมกัน จงดูดวงตาทั้งสอง                           อันเป็นทิพย์ของเราในวันนี้. ตาทิพย์ของเราเห็นได้ทะลุภายนอกฝา                           ภายนอกกำแพง และภูเขาตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ. ในโลกที่เป็นอยู่                           ของสัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่าการบริจาคทาน เราได้ให้                           จักษุที่เป็นของมนุษย์แล้ว เราได้จักษุทิพย์. ดูกรชาวสีพีรัฐทั้งหลาย                           ท่านทั้งหลายเห็นจักษุทิพย์ที่เราได้นี้แล้ว จงให้ทานเสียก่อนจึงค่อย                           บริโภคเถิด ท่านทั้งหลายได้ ให้ทานตามสติกำลังและได้บริโภคทานแล้ว                           ไม่มีใครติเตียนได้ ย่อมเข้าถึงสัคคสถาน.
จบ สีวิราชชาดกที่ ๓.
๔. ศิริมันทชาดก
ว่าด้วยปัญญาประเสริฐ
             [๒๐๘๔] ท่านอาจารย์เสนกะ เราขอถามเนื้อความนี้ บรรดาคนสองพวก คือ คนผู้                           สมบูรณ์ด้วยปัญญาแต่เสื่อมจากศิริ กับคนที่มียศแต่ไร้ปัญญา นักปราชญ์                           กล่าวคนไหนว่าประเสริฐ?              [๒๐๘๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ คนฉลาด หรือคนโง่ คนบริบูรณ์                           ด้วยศิลปะ หรือคนหาศิลปะมิได้ แม้จะมีชาติสูง ก็ย่อมเป็นคนรับใช้                           ของคนผู้มีชาติต่ำแต่มียศ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นความดังนี้ จึงขอ                           กราบทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคนเลวทราม คนมีศิริแล เป็นคนประเสริฐ                           พระเจ้าข้า.              [๒๐๘๖] ดูกรมโหสถผู้มีปัญญาไม่ทราม ผู้เห็นธรรมสิ้นเชิง เราถามเจ้าในคน                           สองพวก คือ คนพาลผู้มียศ กับบัณฑิตผู้ไม่มีโภคะ นักปราชญ์กล่าว                           คนไหนว่าประเสริฐ.              [๒๐๘๗] คนพาลกระทำกรรมอันชั่วช้า ก็สำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ เห็นแต่                           เพียงโลกนี้ ไม่เห็นโลกหน้า ต้องได้รับเคราะห์ร้ายในโลกทั้งสอง                           ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้น                           ประเสริฐ คนโง่ถึงมียศจะประเสริฐอะไร พระเจ้าข้า.              [๒๐๘๘] ศิลปะนี้ก็ดี พวกพ้องก็ดี ร่างกายก็ดี หาได้จัดโภคสมบัติมาให้ไม่                           มหาชนย่อมคบหาโควินทเศรษฐี ผู้มีน้ำลายไหลออกจากคางทั้งสองข้าง                           ผู้ได้รับความสุข มีศิริต่ำช้า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึง                           กราบทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคนเลวทราม คนมีศิริเท่านั้นเป็นคน                           ประเสริฐ พระเจ้าข้า.              [๒๐๘๙] คนมีปัญญาน้อย ได้รับความสุขแล้ว ย่อมมัวเมา แม้ถูกความทุกข์                           กระทบแล้ว ย่อมถึงความหลง อันสุขทุกข์ที่จรมากระทบเข้าแล้ว ย่อม                           หวั่นไหว ดุจปลาที่ดิ้นรนอยู่ในที่ร้อน ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้า                           เห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนโง่                           ถึงมียศจะประเสริฐอะไร พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๐] ฝูงนกย่อมพากันบินเร่ร่อนไปมาโดยรอบต้นไม้ ที่มีผลดีในป่า ฉันใด                           คนเป็นอันมากย่อมคบหาผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ เพราะเหตุ                           ต้องการทรัพย์ ก็ฉันนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบ                           ทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคนเลวทราม คนมีศิริเท่านั้น เป็นคนประเสริฐ                           พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๑] คนโง่ถึงจะมีกำลังก็หายังประโยชน์ให้สำเร็จไม่ ได้ทรัพย์มาด้วยกรรม                           อันร้ายแรง นายนิรยบาลทั้งหลาย ย่อมฉุดคร่าเอาคนโง่ ผู้ไม่ฉลาด                           คร่ำครวญอยู่ ไปสู่นรกอันร้ายกาจ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้                           จึงกราบทูลว่าคนมีปัญญาเท่านั้น ประเสริฐ คนโง่ถึงมียศจะประเสริฐ                           อะไร พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๒] แม่น้ำแห่งใดแห่งหนึ่ง ย่อมไหลไปสู่แม่น้ำคงคา แม่น้ำเหล่านั้น                           ทั้งหมดเทียว ย่อมละทิ้งชื่อและถิ่นเดิม แม่น้ำคงคาไหลไปถึงมหาสมุทร                           ย่อมไม่ปรากฏชื่อ คนในโลกนี้ที่มีฤทธิ์ยิ่ง ก็ไม่ปรากฏ ฉันนั้นแล                           ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคน                           เลวทราม คนมีศิริเท่านั้น เป็นคนประเสริฐ พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๓] ข้าพระพุทธเจ้าจะกล่าวแก้ปัญหาที่ท่านอาจารย์กล่าว แม่น้ำทั้งหลาย                           ย่อมไหลไปสู่ทะเลใหญ่ไม่ได้ตลอดกาลทั้งปวง ทะเลนั้นมีกำลังมาก                           เป็นนิตย์ มหาสมุทรย่อมไม่ล่วงเลยฝั่งไปได้ ฉันใด กิจการที่คนโง่                           ประสงค์ ก็ฉันนั้น คนมีศิริย่อมไม่ล่วงเลยคนมีปัญญาไปได้ไม่ว่าในกาล                           ไหนๆ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา                           เท่านั้นประเสริฐ คนโง่ถึงมียศจะประเสริฐอะไร.              [๒๐๙๔] ถ้าแม้คนมียศไม่สำรวมแล้ว อยู่ในที่วินิจฉัย กล่าวข้อความแก่ชน                           เหล่าอื่น คำพูดของคนนั้นย่อมเจริญงอกงามในท่ามกลางญาติ คนมี                           ปัญญายังคนผู้มีศิริต่ำช้าให้ทำตามคำของตนไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็น                           ข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคนเลวทราม คนมีศิริ                           เท่านั้น เป็นคนประเสริฐ พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๕] คนโง่หาปัญญามิได้ ย่อมกล่าวมุสา เพราะเหตุแห่งบุคคลอื่น หรือแม้                           แห่งตน คนโง่นั้นย่อมถูกนินทาในท่ามกลางบริษัท แม้ภายหลัง                           เขาก็ต้องไปทุคติ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า                           คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนโง่ถึงมียศจะประเสริฐอะไร พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๖] ถ้าคนมีปัญญาดังแผ่นดิน ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีทรัพย์ เป็นคนเข็ญใจ                           กล่าวข้อความ คำพูดของเขานั้นย่อมไม่เจริญงอกงามในท่ามกลางบริษัท                           อนึ่ง ศิริของคนมีปัญญาย่อมไม่มี ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้                           จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคนเลวทราม คนมีศิริเท่านั้น เป็นคน                           ประเสริฐ พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๗] คนมีปัญญาดังแผ่นดิน ย่อมไม่กล่าวคำเหลาะแหละ เพราะเหตุ                           แห่งคนอื่น หรือแม้แห่งตน บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้อันมหาชนบูชา                           ในท่ามกลางที่ประชุม แม้ภายหลังเขาก็จะไปสุคติ ข้าพระพุทธเจ้า                           เห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนโง่                           ถึงมียศจะประเสริฐอะไร พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๘] ช้าง ม้า โค แก้วมณี กุณฑล และนางนารีทั้งหลายผู้เกิดในตระกูล                           ที่มั่งคั่ง สิ่งทั้งปวงนั้นย่อมเป็นเครื่องอุปโภคของคนที่มั่งคั่ง คนทั้งหลาย                           ผู้ไม่มั่งคั่ง ก็ย่อมเป็นเครื่องอุปโภคของคนที่มั่งคั่ง ข้าพระพุทธเจ้า                           เห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนเลวทราม คนมีศิริ                           เท่านั้นเป็นคนประเสริฐ พระเจ้าข้า.              [๒๐๙๙] ศิริย่อมละคนโง่ผู้ไม่จัดแจงการงาน ไม่มีความคิด มีปัญญาทราม                           เหมือนงูละทิ้งคราบเก่าไป ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้                           จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญาเท่านั้น ประเสริฐคนโง่ถึงมียศจะประเสริฐ                           อะไร พระเจ้าข้า.              [๒๑๐๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ คน เป็นบัณฑิต ทุกคน                           กราบไหว้บำรุงพระองค์ พระองค์เป็นอิสระครอบงำข้าพระพุทธเจ้า                           ทั้งหลาย ดุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นเจ้าแห่งหมู่สัตว์ ฉะนั้น ข้าพระ-                           พุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา เป็นคนเลวทราม                           คนมีศิริเท่านั้น เป็นคนประเสริฐ พระเจ้าข้า.              [๒๑๐๑] คนโง่ถึงจะมียศ ก็เป็นทาสของคนมีปัญญา เมื่อกิจการต่างๆ เกิดขึ้น                           คนฉลาดย่อมจัดแจงกิจอันละเอียดใด คนโง่ย่อมถึงความหลงใหลใน                           กิจนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้อความแม้นี้ จึงกราบทูลว่า คนมีปัญญา                           นั้นแลประเสริฐ คนโง่ถึงมียศจะประเสริฐอะไร พระเจ้าข้า.              [๒๑๐๒] แท้จริง สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญปัญญาเท่านั้น ศิริเป็นที่ใคร่ของ                           คนโง่ เพราะมนุษย์ทั้งหลายยินดีในโภคสมบัติ ก็ความรู้ของท่านผู้รู้                           ทั้งหลาย ใครๆ ชั่งไม่ได้ ในกาลไหนๆ คนมีศิริย่อมไม่ล่วงเลยคน                           มีปัญญาไปได้ ไม่ว่าในกาลไหนๆ.              [๒๑๐๓] ดูกรมโหสถผู้เห็นธรรมทั้งสิ้น เราได้ถามปัญหาข้อใดกะเจ้า เจ้าได้                           ประกาศปัญหาข้อนั้นแก่เราแล้ว เรายินดีด้วยการแก้ปัญหาของเจ้า เรา                           ให้โคพันหนึ่ง โคอุสุภราชา ช้าง รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ๑๐ ตัว                           และบ้านส่วย ๑๖ ตำบล แก่เจ้า.
จบ ศิริมันทชาดกที่ ๔.
๕. โรหนมิคชาดก
ว่าด้วยความรักในสายเลือด
             [๒๑๐๔] ดูกรน้องจิตตกะ ฝูงเนื้อเหล่านั้นกลัวความตายจึงพากันหนีกลับไป ถึงเธอ                           ก็จงไปเสียเถิด อย่าห่วงใยพี่เลย เนื้อทั้งหลายจักมีชีวิตอยู่กับเธอ.              [๒๑๐๕] พี่โรหนะ ฉันจะไม่ไป ถึงใครจะคร่าเอาหัวใจของฉันไป ฉันจักไม่ทิ้งพี่ไป                           ฉันจักยอมทิ้งชีวิตไว้ในที่นี้.                           ก็มารดาบิดาทั้งสองของเรานั้น ท่านตาบอด เมื่อไม่มีผู้นำ จักต้อง                           ตายแน่ เธอจงไปเถิด อย่าห่วงใยพี่เลย เนื้อทั้งหลายจักมีชีวิตอยู่                           กับเธอ.                           พี่โรหนะ ฉันจะไม่ไป ถึงใครจะมาคร่าเอาหัวใจของฉันไป ฉันจักไม่                           ทิ้งพี่ผู้ถูกมัดไป ฉันจักยอมทิ้งชีวิตไว้ในที่นี้.              [๒๑๐๖] เจ้าเป็นคนขลาด จงหนีไปเสียเถิด พี่ติดอยู่ในหลักเหล็ก เธอจงไป                           เสียเถิด อย่าห่วงใยพี่เลย เนื้อทั้งหลายจักมีชีวิตอยู่กับเธอ.              [๒๑๐๗] พี่โรหนะ ฉันจะไม่ไป ถึงใครจะมาคร่าเอาหัวใจของฉันไป ฉันจักไม่                           ละทิ้งพี่ ฉันจักยอมทิ้งชีวิตไว้ในที่นี้.                           ก็มารดาบิดาทั้งสองของเรานั้น ท่านตาบอด เมื่อไม่มีผู้นำ จักต้องตาย                           แน่ เธอจงไปเถิด อย่าห่วงใยพี่เลย เนื้อทั้งหลายจักมีชีวิตอยู่กับเธอ.                           พี่โรหนะ ฉันจะไม่ไป ถึงใครจะมาคร่าเอาหัวใจของฉันไป ฉันจะไม่ละ                           ทิ้งพี่ผู้ถูกมัดไป ฉันจักยอมทิ้งชีวิตไว้ในที่นี้.              [๒๑๐๘] วันนี้ นายพรานคนใด จักฆ่าเราด้วยลูกศร หรือหอก นายพรานคนนั้น                           มีรูปร้ายกาจ ถืออาวุธเดินมาแล้ว.              [๒๑๐๙] นางสุตนามฤคีนั้น ถูกภัยบีบคั้นคุกคามหนีไป ครู่หนึ่งแล้วกลับเข้ามา                           หาความตาย ถึงนางจะมีขวัญอ่อนก็ได้ทำกรรมที่ทำได้แสนยาก.              [๒๑๑๐] เนื้อทั้ง ๒ นี้เป็นอะไรกับท่านหนอ พ้นไปแล้วยังกลับเข้ามาหาเครื่อง                           ผูกอีก ไม่ปรารถนาจะละทิ้งท่านไป แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต?              [๒๑๑๑] ดูกรนายพราน เนื้อทั้ง ๒ นี้เป็นน้องชาย น้องสาวของข้าพเจ้า ร่วมท้อง                           มารดาเดียวกัน ไม่ปรารถนาละข้าพเจ้าไป แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.              [๒๑๑๒] ข้าแต่นายพราน มารดาบิดาทั้งสองของ เราท่านตาบอด เมื่อไม่มีผู้นำ                           จักต้องตายแน่ โปรดให้ชีวิตแก่เราทั้ง ๕ เถิด โปรดปล่อยพี่ชาย                           เสียเถิด.              [๒๑๑๓] ข้าพเจ้าจะปล่อยเนื้อ ผู้เลี้ยงมารดาบิดาเท่านั้น มารดาบิดาได้เห็น                           พระยาเนื้อหลุดจากบ่วงไปแล้ว ก็จงยินดีเถิด.              [๒๑๑๔] ข้าแต่นายพราน ท่านจงยินดีเพลิดเพลินกับพวกญาติทั้งปวง เหมือน                           ข้าพเจ้าเห็นพระยาเนื้อที่หลุดจากบ่วงแล้ว ชื่นชม ยินดี ในวันนี้ ฉะนั้น.              [๒๑๑๕] ดูกรลูกรัก เมื่อชีวิตเข้าไปใกล้ความตายแล้ว เจ้าหลุดมาได้อย่างไร                           ไฉนนายพรานจึงได้ปล่อยจากบ่วงเหล็กมาเล่า?              [๒๑๑๖] น้องจิตตกะกล่าววาจาไพเราะหู เป็นที่จับอกจับใจดื่มด่ำในหทัย ช่วย                           ข้าพเจ้าให้หลุดมาได้ด้วยวาจาสุภาษิต. น้องสุตนาได้กล่าววาจาไพเราะหู                           จับอกจับใจดื่มด่ำในหทัย ช่วยข้าพเจ้าให้หลุดมาได้ด้วยวาจาสุภาษิต.                           นายพรานได้ฟังวาจาไพเราะหู เป็นที่จับอกจับใจดื่มด่ำในหทัย ได้ฟัง                           วาจาสุภาษิต จึงได้ปล่อยข้าพเจ้ามา.              [๒๑๑๗] เราได้เห็นลูกโรหนะมาได้แล้ว ย่อมชื่นชม ยินดี ในวันนี้ ฉันใด ขอให้                           นายพรานพร้อมทั้งบุตรและภรรยา จงมีความชมชื่น ยินดี ฉันนั้นเถิด.              [๒๑๑๘] ดูกรนายพราน เจ้าได้พูดไว้ว่า จะนำเอาเนื้อและหนังมามิใช่หรือ เออ                           ก็เหตุอะไรเล่า เจ้าจึงไม่นำเอาเนื้อและหนังมา?              [๒๑๑๙] เนื้อนั้นได้มาติดบ่วงเหล็กถึงมือแล้ว แต่มีเนื้อ ๒ ตัวไม่ได้ติดบ่วงเข้า                           มายืนอยู่ใกล้เนื้อตัวนั้น ข้าพระองค์ได้เกิดความสังเวชใจ ความอัศจรรย์                           ใจ ขนพองสยองเกล้าว่า ถ้าเราฆ่าเนื้อตัวนี้ เราจักต้องทิ้งชีวิตในวันนี้.              [๒๑๒๐] ดูกรนายพราน เนื้อเหล่านั้นเป็นเช่นไร เป็นเนื้อมีธรรมอย่างไร มีสี                           สรรอย่างไร มีศีลอย่างไร ท่านจึงได้สรรเสริญเนื้อเหล่านั้นนัก?              [๒๑๒๑] เนื้อเหล่านั้นมีเขาขาว ขนสะอาด หนังเปรียบด้วยทองคำ เท้าแดง                           ตาสุกใส เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ.              [๒๑๒๒] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เนื้อเหล่านั้นเป็นเช่นนี้ เป็นเนื้อมีธรรม                           เช่นนี้ เป็นเนื้อเลี้ยงบิดามารดา ข้าพระพุทธเจ้าจึงมิได้นำพระยาเนื้อนั้น                           มาถวายพระองค์ พระเจ้าข้า.              [๒๑๒๓] ดูกรนายพราน เราให้ทองคำ ๑๐๐ แท่ง กุณฑลแก้วมณีอันมีค่ามาก                           เตียง ๔ เหลี่ยมมีสีคล้ายดอกผักตบ และภรรยาผู้มีรูปร่างเหมือนกัน ๒ คน                           กับโค ๑๐๐ ตัว แก่ท่าน เราจักปกครองราชสมบัติโดยธรรม ท่าน                           เป็นผู้มีอุปการะแก่เรามาก ดูกรนายพราน ท่านจงเลี้ยงดูบุตรและภรรยา                           ด้วยกสิกรรม พาณิชกรรม การให้กู้หนี้ และด้วยการแสวงหาอันเป็น                           สัมมาชีพเถิด อย่าได้กระทำบาปอีกเลย.
จบ โรหนมิคชาดกที่ ๕.
๖. หังสชาดก
ว่าด้วยหงส์สุมุขะผู้ภักดี
             [๒๑๒๔] ดูกรสุมุขะ ผู้มีผิวพรรณงามดังทองคำ หงส์เหล่านี้ถูกภัยคุกคามแล้ว มีตัว                           งอบินหนีไป ท่านจงหนีไปตามปรารถนาเถิด. หมู่ญาติทั้งหลายละทิ้งเรา                           ติดอยู่ในบ่วงผู้เดียว ไม่ห่วงใย พากันบินหนีไป ท่านผู้เดียวจะห่วงอยู่                           ทำไม? ดูกรสุมุขะผู้ประเสริฐ ท่านควรจะบินหนีเอาตัวรอด เพราะ                           ความเป็นสหายในเราผู้ติดบ่วงย่อมไม่มี ท่านอย่าทำความเพียรให้เสื่อม                           เสียเพราะความไม่มีทุกข์เลย จงรีบบินหนีไปตามความปรารถนาเถิด.              [๒๑๒๕] ข้าแต่ท้าวธตรฐมหาราช ถึงพระองค์จะถูกทุกข์ครอบงำ ข้าพระพุทธเจ้า                           ก็จักไม่ละทิ้งพระองค์ไป ข้าพระพุทธเจ้าจักเป็น หรือจักตายก็จักร่วมอยู่                           กับพระองค์.              [๒๑๒๖] ดูกรสุมุขะ ท่านกล่าวคำใด คำนั้นเป็นคำดีงามของพระอริยเจ้า อนึ่งเล่า                           เราเมื่อจะทดลองท่านจึงได้พูดกะท่านว่า จงบินหนีไป.              [๒๑๒๗] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสูงสุดกว่าหงส์ทั้งหลาย นกตัวสัญจรไปใน                           อากาศ ย่อมบินไปสู่ทางโดยที่มิใช่ทางได้ พระองค์ไม่ทรงทราบบ่วงแต่                           ที่ไกลดอกหรือ?              [๒๑๒๘] คราวใด จะมีความเสื่อม คราวนั้น เมื่อถึงคราวจะสิ้นชีพ สัตว์แม้จะ                           ติดบ่วง ติดข่ายก็ย่อมไม่รู้สึก.              [๒๑๒๙] ดูกรสุมุขะ ผู้มีผิวพรรณงามดังทองคำ หงส์เหล่านี้ถูกภัยคุกคามแล้ว มี                           ตัวงอพากันบินหนีไป ท่านเท่านั้นมัวพะวงอยู่. หงส์เหล่านั้นกินและดื่ม                           แล้วก็พากันบินหนีไป มิได้แลเหลียวถึงใคร ก็ท่านผู้เดียวจะมาเฝ้าอยู่                           ทำไมเล่า? หงส์ตัวนี้เป็นอะไรกับท่านหนอ ท่านพ้นแล้วจากบ่วง                           ทำไมจึงมาเป็นห่วงหงส์ผู้ติดบ่วงอยู่เล่า หงส์ทั้งหลายเขาพากันทอดทิ้ง                           ไปแล้ว ท่านผู้เดียวมาพะวงอยู่ทำไม?              [๒๑๓๐] หงส์ตัวนั้นเป็นราชาของเรา เป็นมิตรสหายเสมอด้วยชีวิตของเรา เรา                           จักไม่ทอดทิ้งท่านไปจนตราบเท่าจนวันตาย.              [๒๑๓๑] ท่านปรารถนาจะสละชีวิต เพราะเหตุแห่งสหาย เราจักปล่อยสหายของ                           ท่านไป ขอพญาหงส์จงไปตามความประสงค์ของท่านเถิด.              [๒๑๓๒] ดูกรนายพราน วันนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นพญาหงส์ตัวเป็นใหญ่ในหมู่ทิชาชาติ                           พ้นจากบ่วงแล้วย่อมชื่นชม ยินดี ฉันใด ขอท่านพร้อมกับหมู่ญาติ                           ทั้งปวง จงชื่นชม ยินดี ฉันนั้นเถิด.              [๒๑๓๓] พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ทรงเกษมสำราญดีหรือ โรคาพยาธิมิได้เบียด-                           เบียนพระองค์หรือ รัฐสีมาอาณาจักรของพระองค์นี้สมบูรณ์ดีหรือ                           พระองค์ปกครองประชาราษฎรโดยธรรมหรือ?              [๒๑๓๔] ดูกรพญาหงส์ เราเกษมสำราญดี ทั้งโรคาพยาธิก็มิได้เบียดเบียน รัฐสีมา                           อาณาจักรของเรานี้ก็สมบูรณ์ดี เราปกครองราษฎรโดยธรรม.              [๒๑๓๕] โทษผิดอะไรๆ ในหมู่อำมาตย์ของพระองค์ไม่มีอยู่หรือ หมู่ศัตรูห่าง                           ไกลจากพระองค์ เหมือนเงาย่อมไม่เจริญทางทิศทักษิณ แลหรือ?              [๒๑๓๖] โทษผิดอะไรๆ ในหมู่อำมาตย์ของเราไม่มีเลย อนึ่ง หมู่ศัตรูก็ห่างไกล                           จากเรา เหมือนเงาย่อมไม่เจริญทางด้านทิศทักษิณ ฉะนั้น.              [๒๑๓๗] พระมเหสีของพระองค์ มิได้ทรงประพฤติล่วงละเมิดพระทัย ทรงเชื่อฟัง                           ทรงปราศรัยน่ารัก พร้อมพรักไปด้วยปุตตสมบัติ รูปสมบัติ และ                           ยศสมบัติ ยังเป็นที่โปรดปรานของพระองค์หรือ?              [๒๑๓๘] มเหสีของเราเป็นเช่นนั้น ทรงเชื่อฟังถ้อยคำ ทรงปราศรัยน่ารัก พร้อม                           พรักไปด้วยปุตตสมบัติ รูปสมบัติ และยศสมบัติ ยังเป็นที่โปรดปราน                           ของเราอยู่.              [๒๑๓๙] พระโอรสของพระองค์มีมากพระองค์ ทรงอุบัติมาเป็นศรีสวัสดี ใน                           รัฐสีมาอันเจริญ ทรงสมบูรณ์ด้วยพระปรีชาเฉลียวฉลาด ย่อมทรงบันเทิง                           พระทัยแต่ที่นั้นๆ อยู่แลหรือ?              [๒๑๔๐] ดูกรพระยาหงส์ธตรฐ เราปรากฏว่ามีโอรสถึง ๑๐๑ คน ขอท่านได้โปรด                           ชี้แจงกิจที่ควรแก่โอรสเหล่านั้นด้วยเถิด โอรสเหล่านั้นจะไม่ดูหมิ่นถ้อย                           คำของท่านเลย.              [๒๑๔๑] ถ้าแม้ว่า บุคคลประกอบด้วยชาติ หรือวินัย แต่กระทำความเพียรในภาย                           หลัง เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้น ย่อมต้องจมอยู่ในห้วงอันตราย. ช่อง                           ทางรั่วไหลแห่งโภคสมบัติเป็นต้น ก็จะเกิดใหญ่โตขึ้นกับบุคคลผู้มีปัญญา                           ง่อนแง่นนั้น บุคคลนั้นย่อมมองเห็นได้แต่รูปที่หยาบๆ เหมือนความมืด                           ในราตรี ฉะนั้น. บุคคลผู้ประกอบความเพียรในสิ่งอันไม่เป็นสาระว่าเป็น                           สาระ ก็ย่อมไม่ประสบความรู้เลยทีเดียว ย่อมจะจมลงในห้วงอันตราย                           อย่างเดียว เหมือนกวางวิ่งโลดโผนไปในซอกผา ตกจมเหวลงไปใน                           ระหว่างทาง ฉะนั้น. ถึงหากว่า นรชนจะเป็นผู้มีชาติเลวทราม แต่เป็นผู้มี                           ความขยันหมั่นเพียร มีปัญญา ประกอบด้วยอาจาระและศีล ย่อมจะรุ่ง                           เรือง เหมือนกองไฟในกลางคืน ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงทำข้อนั้นนั่นแล                           ให้เป็นเครื่องเปรียบเทียบ แล้วทรงยังพระโอรสทั้งหลายให้ดำรงอยู่ใน                           วิชา บุคคลผู้มีปัญญาย่อมงอกงาม เหมือนพืชในนางอกงามขึ้นเพราะ                           น้ำฝน ฉะนั้น.
จบ หังสชาดกที่ ๖
๗. สัตติคุมพชาดก
ว่าด้วยพี่น้องก็ยังต่างใจกัน
             [๒๑๔๒] พระมหาราชาผู้เป็นจอมแห่งชนชาวปัญจาลรัฐ เป็นดุจพรานเนื้อ เสด็จ                           ออกมาสู่ป่าพร้อมด้วยเสนา พลัดจากหมู่เสนาไป. ท้าวเธอได้ทอด                           พระเนตรเห็นหมู่บ้านที่เขาทำไว้ เป็นที่อยู่อาศัยของโจรทั้งหลายในป่านั้น                           สุวโปดกออกจากหมู่บ้านนั้นแล้ว กลับมาพูดคำหยาบคายกับพ่อครัว                           ว่า มีบุรุษหนุ่มน้อย มีรถม้าเป็นพาหนะ มีกุลฑลเกลี้ยงเกลาดี มีกรอบ                           หน้าแดงงดงามเหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างในกลางวัน ฉะนั้น. เมื่อ                           ถึงเวลาเที่ยงวัน พระราชากำลังบรรทมหลับพร้อมกับนายสารถี เอาซิ                           พวกเราจงรีบไปชิงเอาทรัพย์ทั้งหมด ของท้าวเธอเสีย. เวลานี้ก็เงียบ                           สงัดดุจกลางคืน พระราชากำลังบรรทมหลับพร้อมกับนายสารถี พวก                           เราจงไปแย่งเอาผ้าและกุลฑลแก้วมณี แล้วฆ่าเสียเอากิ่งไม้ปิดไว้.              [๒๑๔๓] ดูกรสุวโปดกสัตติคุมพะ เจ้าเป็นบ้าไปกระมังจึงได้พูดอย่างนั้น เพราะ                           ว่า พระราชาทั้งหลายถึงจะเสด็จมาแต่ไกล ก็ย่อมทรงเดชานุภาพเหมือน                           ดังไฟสว่างไสว ฉะนั้น.              [๒๑๔๔] ดูกรนายปติโกลุมพะ ท่านเมาแล้วย่อมเก่งกาจมากมิใช่หรือ เมื่อมารดา                           ของเราเปลือยกาย ไฉนท่านจึงเกลียดเล่าหนอ?              [๒๑๔๕] ดูกรสารถีผู้เพื่อนยาก จงรีบลุกขึ้นเทียมรถ เราไม่ชอบใจนก เราจงไป                           อาศรมอื่นกันเถิด.              [๒๑๔๖] ข้าแต่พระมหาราชา ราชรถได้เทียมแล้ว และม้าราชพาหนะมีกำลัง                           ก็ได้จัดเทียมแล้ว เชิญพระองค์เสด็จขึ้นประทับเถิด จะได้เสด็จไปยัง                           อาศรมอื่น พระเจ้าข้า.              [๒๑๔๗] พวกโจรในอาศรมนี้พากันไปเสียที่ไหนหมดเล่า พระเจ้าปัญจาลราชนั้น                           หลุดพ้นไปได้ เพราะพวกโจรเหล่านั้นไม่เห็น. ท่านทั้งหลายจงจับ                           เกาทัณฑ์ หอก และโตมร พระเจ้าปัญจาลราช กำลังหนีไป ท่านทั้งหลาย                           อย่าได้ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้เลย.              [๒๑๔๘] ครั้งนั้น ปุบผกะสุวโปดกผู้มีจะงอยปากแดง ยินดีต้อนรับพระราชาว่า                           ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์มิได้เสด็จมา                           ร้าย พระองค์ผู้ทรงอิสรภาพเสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ ของสิ่งใดมีอยู่ใน                           อาศรมนี้ ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยของสิ่งนั้น. ผลมะพลับ ผลมะหาด                           ผลมะซาง ผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้มีรสหวานเล็กน้อย ขอพระองค์                           จงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ ข้าแต่พระมหาราชา น้ำนี้เย็น นำมาแต่ซอกภูเขา                           ขอเชิญพระองค์ทรงดื่มถ้าทรงปรารถนา. ฤาษีทั้งหลายในอาศรมนี้พากัน                           ไปป่าเพื่อแสวงหาผลาผล เชิญเสด็จลุกขึ้นไปทรงเลือกหยิบเอาเองเถิด                           เพราะข้าพระองค์ไม่มีมือที่จะทูลถวายได้.              [๒๑๔๙] นกแขกเต้าตัวนี้เจริญดีหนอ ประกอบด้วยคุณธรรมอย่างยิ่ง ส่วนนก                           แขกเต้าตัวโน้นพูดถ้อยคำหยาบคายว่า จงจับมัดพระราชานี้ฆ่าเสีย อย่า                           ให้รอดชีวิตไปได้เลย เมื่อนกแขกเต้านั้นรำพันเพ้ออยู่อย่างนี้ เราได้มา                           ถึงอาศรมนี้โดยสวัสดี.              [๒๑๕๐] ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมท้องมารดาเดียวกัน                           ได้เจริญเติบโตที่ต้นไม้เดียวกัน แต่ต่างพลัดกันไปอยู่คนละเขตแดน.                           สัตติคุมพะเจริญอยู่ในสำนักของพวกโจร ส่วนข้าพระองค์เจริญอยู่ใน                           สำนักของฤาษีในอาศรมนี้ สัตติคุมพะนั้นเข้าอยู่ในสำนักของอสัตบุรุษ                           ข้าพระองค์อยู่ในสำนักของสัตบุรุษ ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งสองจึงต่างกัน                           โดยธรรม.              [๒๑๕๑] การฆ่าก็ดี การจองจำก็ดี การหลอกลวงด้วยของปลอมก็ดี การหลอก                           ลวงด้วยอาการตรงๆ ก็ดี การปล้นฆ่าชาวบ้านก็ดี การกระทำกรรมอัน                           อันแสนสาหัสก็ดี มีอยู่ในที่ใด สัตติคุมพะนั้นย่อมศึกษาสิ่งเหล่านั้น                           ในที่นั้น. ข้าแต่พระองค์ผู้ภารตวงศ์ ในอาศรมของฤาษีนี้มีแต่สัจจะ                           ธรรมะ ความไม่เบียดเบียน ความสำรวม และความฝึกอินทรีย์                           ข้าพระองค์เป็นผู้เจริญแล้วบนตักของฤาษีทั้งหลาย ผู้มีปกติให้อาสนะ                           และน้ำ.              [๒๑๕๒] ข้าแต่พระราชา บุคคลคบคนใดๆ เป็นสัตบุรุษ อสัตบุรุษ มีศีล หรือ                           ไม่มีศีล บุคคลนั้นย่อมไปสู่อำนาจของบุคคลนั้นนั่นเทียว. บุคคลคบคน                           เช่นใดเป็นมิตร หรือเข้าไปคบสนิทคนเช่นใด ก็ย่อมเป็นคนเช่นนั้น                           เพราะการอยู่ร่วมกันเป็นเช่นนั้น. อาจารย์คบอันเตวาสิก ย่อมทำ                           อันเตวาสิกผู้ยังไม่แปดเปื้อนให้แปดเปื้อนได้ อาจารย์ถูกอันเตวาสิกพา                           เปื้อนแล้ว พาอาจารย์อื่นให้เปื้อนอีก เหมือนลูกศรที่เปื้อนยาพิษแล้ว                           ย่อมทำแล่งลูกศรให้เปื้อน ฉะนั้น. นักปราชญ์ไม่พึงมีสหายลามกเลย                           ทีเดียว เพราะกลัวแต่การแปดเปื้อนด้วยบาปธรรม นรชนใดห่อปลาเน่า                           ด้วยใบหญ้าคา แม้ใบหญ้าคาของนรชนนั้น ก็ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป                           ฉันใด การเข้าไปคบคนพาล ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. นรชนใด ห่อกฤษณา                           ด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของนรชนนั้น ก็ย่อมหอมฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไป                           คบนักปราชญ์ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น บัณฑิตรู้ความเปลี่ยน                           แปลงของตนดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่ควรเข้าไปคบพวกอสัตบุรุษ ควรคบ                           แต่พวกสัตบุรุษ ด้วยว่า อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมพาให้                           ถึงสุคติ.
จบ สัตติคุมพชาดกที่ ๗.
๘. ภัลลาติยชาดก
ว่าด้วยอายุของกินนร
             [๒๑๕๓] ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลติยะ ทรงละรัฐสีมา เสด็จประพาส                           ป่าล่ามฤค ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคีรี มีพรรณดอกไม้บาน                           สะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนืองๆ มีกินนรสองสามีภรรยายืนกัน                           อยู่ ณ ที่ใด ท้าวเธอประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บ                           แล่งธนูไว้แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้น. ตรัสถามว่า ล่วงฤดูหนาว                           แล้ว เหตุไร เจ้าทั้งสองจึงมายืนกระซิบกระซาบกันอยู่เนืองๆ ที่ริมฝั่ง                           เหมวดี ณ ที่นี้เล่า เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศเหมือนกายมนุษย์ ชน                           ทั้งหลายในมนุษยโลก จะรู้จักเจ้าทั้งสองว่า เป็นอะไร?              [๒๑๕๔] ข้าแต่ท่านพราน เราทั้งสองเป็นมฤค มีเพศพรรณปรากฏเหมือนมนุษย์                           เที่ยวอยู่ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนที ซึ่งมี                           น้ำใสเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่า เป็นกินนร.              [๒๑๕๕] เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาอยู่                           เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว เราขอถาม                           เจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ใน                           ป่านี้ ไม่สร่างซาเลย? เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือ                           เกิน ปริเทวนาอยู่ เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรัก                           แล้ว เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้งสอง                           จึงมาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย? เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความ                           ทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาอยู่ เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวม                           กอดกันสมความรักแล้ว เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์                           เหตุไร เจ้าทั้งสองจึงเศร้าโศกอยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย?              [๒๑๕๖] ข้าแต่ท่านพราน เราทั้งสองไม่อยากจะจากกัน ก็ต้องจากกันแยกกันอยู่                           สิ้นราตรีหนึ่ง เมื่อมาระลึกถึงกันและกัน ก็เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกัน                           ตลอดราตรีหนึ่งว่า ราตรีนั้นจักไม่มีอีก.              [๒๑๕๗] เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่าคิดถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไป                           แล้ว จึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศ-                           พรรณดังกายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป?              [๒๑๕๘] ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด มีกระแสอันเชี่ยวไหลมาในระหว่างหุบหิน ปกคลุม                           ไปด้วยหมู่ไม้ต่างๆ พรรณ ในฤดูฝน กินนรสามีผู้เป็นที่รักของดิฉัน ได้                           ข้ามแม่น้ำนั้นไปด้วยสำคัญว่า ดิฉันคงจะติดตามมาข้างหลัง ส่วนดิฉันมัว                           เลือกเก็บดอกปรู ดอกลำดวน ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดเค้าที่บานๆ ด้วย                           คิดว่า สามีที่รักของเราจะได้ทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จะได้สอดแซมดอกไม้                           เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น. อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกไม้บานไม่รู้โรย                           ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของ                           เราจะทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้เข้าไปนอนแนบ                           สามีที่รักนั้น. อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ซึ่งกำลังบานดี                           ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจะได้สวมใส่พวงมาลัย                           ส่วนเราก็จักได้สวมใส่พวงมาลัยเข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น. อนึ่ง                           ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ซึ่งกำลังบานดีแล้วร้อยกรองทำเป็นพวงๆ                           ด้วยคิดว่า คืนวันนี้ เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่แห่งใด พวงดอกรังนี้จักเป็น                           เครื่องปูลาด ณ ที่นั้น. อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อบดกฤษณาดำ และจันทน์-                           แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักได้ประพรมร่างกาย ส่วน                           เราประพรมร่างกายแล้วจะเข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น. ครั้งนั้น น้ำมี                           กระแสอันเชี่ยว ไหลมาพัดเอาดอกสาลพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์                           ทั้งหลายไปโดยครู่เดียวนั้น น้ำก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็น ดิฉันข้ามแม่น้ำ                           ไปไม่ได้. คราวนั้น เราทั้งสองยืนกันอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ มองเห็นหน้ากัน                           และกันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากันก็ร้องไห้เสียครั้งหนึ่ง                           คืนวันนั้น ได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก. ข้าแต่ท่านพราน เมื่อพระอาทิตย์                           ขึ้นเวลาเช้า เราทั้งสองท่องข้ามแม่น้ำอันยุบแห้ง มาสวมกอดกันและกัน                           ร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง. ข้าแต่ท่านพรานผู้ภูมิบาล                           เมื่อครั้งก่อน เราทั้งสองได้พรากกันอยู่นานถึง ๖๙๗ ปี ชีวิตของท่านนี้                           มีกำหนดเพียง ๑๐๐ ปีเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครหนอจะพึงอยู่ปราศจาก                           ภรรยาสุดที่รักเสียเล่า?              [๒๑๕๙] ดูกรสหาย อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้ ก็ขอจง                           บอกอายุของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้บิดพริ้ว จงบอก                           อายุพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฒบุคคล หรือจากตำรับ                           ตำรา?              [๒๑๖๐] ข้าแต่ท่านพราน อายุของเราทั้งสองประมาณ ๑,๐๐๐ ปี อนึ่ง ในระหว่าง                           อายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป                           เราทั้งสองยังไม่คลายความรักกันและกัน ก็ต้องละทิ้งชีวิตไป.              [๒๑๖๑] พระเจ้าภัลลาติยะ ได้ทรงสดับถ้อยคำของกินนรทั้งสองนี้แล้ว ทรง                           พระดำริว่า ชีวิตเป็นของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ ได้ทรง                           บำเพ็ญทาน เสวยราชสมบัติสืบมา.              [๒๑๖๒] มหาบพิตรทั้งหลาย ได้ทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งสองนี้แล้ว จง                           บันเทิงพระทัยเถิด อย่าได้ทรงทำความทะเลาะกันเลย กรรมอันเป็นโทษ                           ของตน อย่าได้ทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอัน                           เป็นโทษของตนทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.                           มหาบพิตรทั้งสองได้สดับเรื่องราวของกินนรทั้งสองนี้แล้ว จงบันเทิง                           พระทัยเถิด อย่าได้ทรงทำความวิวาทบาดหมางกันเลย กรรมอันเป็นโทษ                           ของตน อย่าได้ทำให้มหาบพิตรเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของ                           ตนทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่หนึ่งราตรี ฉะนั้น.              [๒๑๖๓] หม่อมฉันมีใจเลื่อมใส ตั้งใจฟังธรรมเทศนาของพระองค์ที่พระองค์ทรง                           แสดงประกอบไปด้วยเหตุต่างๆ ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์                           ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ดับความกระวนกระวายใจของหม่อม                           ฉันได้ ข้าแต่พระสมณเจ้า ผู้ทรงนำความสุขมาให้หม่อมฉัน ขอ                           พระองค์จงมีพระชนม์ชีพยืนนานเถิด.
จบ ภัลลาติยชาดกที่ ๘.
๙. โสมนัสสชาดก
ว่าด้วยการใคร่ครวญก่อนแล้วทำ
             [๒๑๖๔] ใครมาตีมาด่าท่านหรือ ทำไมท่านจึงเสียใจ น้อยใจ เศร้าโศกอยู่ วันนี้                           บิดามารดาของท่านมาร้องไห้กระมัง หรือว่าวันนี้ ใครมารังแกท่านให้นอน                           เหนือแผ่นดิน?              [๒๑๖๕] ขอถวายพระพรพระจอมภูมิบาล อาตมภาพดีใจมากที่ได้เห็นมหาบพิตร                           อาตมภาพเข้ามาอาศัยมหาบพิตร ไม่ได้เบียดเบียนใคร ขอถวายพระพร                           อาตมภาพถูกพระราชโอรสของมหาบพิตรเบียดเบียน.              [๒๑๖๖] พวกนายประตู พนักงานตำรวจดาบ และนายเพชฌฆาตทั้งหลาย จง                           ไปตามวิธีของตนๆ จงไปยังภายในพระราชฐาน ฆ่าเจ้าโสมนัสสกุมาร                           เสีย แล้วตัดเอาศีรษะมา. ทูตทั้งหลายที่พระราชาสั่งไปได้กราบทูลพระ                           กุมารว่า ข้าแต่พระขัตติโยรส พระองค์ถูกพระอิศราชบิดาทรงตัดขาดแล้ว                           พระองค์ต้องโทษถึงประหารชีวิต พระเจ้าข้า.                           พระราชโอรสนั้นทรงกรรแสงอยู่ ประนมนิ้วทั้งสิบขึ้นอ้อนวอนว่า แม้เรา                           อยากจะขอเฝ้าพระราชบิดา ผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ ขอท่านทั้งหลาย                           จงนำเราผู้ยังมีชีวิตไปเฝ้าพระราชบิดาเถิด.                           ทูตทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระราชกุมารแล้ว ได้พาพระราชโอรส                           ไปเฝ้าพระราชา.                           ฝ่ายพระโอรส ครั้นเห็นพระราชบิดาจึงกราบทูลไปแต่ไกลว่า ข้าแต่พระ-                           ราชบิดา ผู้เป็นจอมประชาราชษฎร์ พวกนายประตู พนักงานตำรวจดาบ                           และเพชฌฆาตทั้งหลาย พากันมาเพื่อจะฆ่าเกล้ากระหม่อมเสีย เกล้า                           กระหม่อมขอกราบทูลถาม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดบอกเนื้อความนั้น                           แก่เกล้ากระหม่อม วันนี้ เกล้ากระหม่อมมีความผิดในเรื่องนี้เป็น                           ประการใดหรือ พระเจ้าข้า?              [๒๑๖๗] ทิพจักขุดาบสผู้ไม่ประมาท ทำกิจรดน้ำและบำเรอไฟทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า                           ทุกเมื่อ เหตุไร เจ้าจึงเรียกทิพจักขุดาบส ผู้สำรวมอินทรีย์ เป็นพรหมจารี                           เช่นนั้นว่า คฤหบดี ดังนี้เล่า?              [๒๑๖๘] ขอเดชะ กุลุปกดาบสผู้นี้ มีสิ่งของเก็บไว้หลายอย่าง คือ ผลสมอพิเภก                           เผือก มัน และผลไม้ทั้งหลาย กุลุปกดาบส ผู้นี้เป็นผู้ไม่ประมาท เก็บ                           รักษาสิ่งของเหล่านั้นไว้ เพราะเหตุนั้น เกล้ากระหม่อมจึงเรียกดาบส                           นั้นว่าคฤหบดี.              [๒๑๖๙] ดูกรเจ้าโสมนัสสกุมาร เรื่องนี้เจ้าพูดจริง ดาบสผู้นี้มีสิ่งของเก็บไว้                           หลายอย่าง ดาบสผู้นี้เป็นผู้ไม่ประมาท เก็บรักษาสิ่งของเหล่านั้นไว้                           เพราะฉะนั้น ดาบสผู้นี้จึงชื่อว่า พราหมณคฤหบดี.              [๒๑๗๐] บริษัททั้งหลายทั้งชาวนิคม และชาวชนบท ที่มาประชุมกันถ้วนทุกคน                           ขอจงฟังข้าพเจ้า พระราชาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์นี้เป็นพาล ได้ฟังคำ                           ชฏิลโกงแล้วรับสั่งให้ฆ่าเราเสีย โดยหาเหตุมิได้เลย.              [๒๑๗๑] เมื่อรากยังมั่นคงเจริญงอกงามแผ่ไพศาลอยู่ ไม้ไผ่ที่แตกเป็นกอใหญ่แล้ว                           ก็แสนยากที่จะถอนให้หมดสิ้นไปได้ ข้าแต่พระราชบิดาผู้เป็นจอมประชา-                           ราษฎร์ เกล้ากระหม่อมฉันขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ ขอ                           พระราชทานพระบรมราชานุญาตเกล้ากระหม่อม เกล้ากระหม่อมจักออก                           บวช พระเจ้าข้า.              [๒๑๗๒] ดูกรพ่อโสมนัสสกุมาร พ่อจงเสวยโภคสมบัติอันไพบูลย์เถิด อนึ่ง ฉัน                           จะยกอิสริยยศทั้งหมดให้แก่พ่อ พ่อจงเป็นพระราชาของชาวกุรุรัฐใน                           วันนี้เถิด อย่าบวชเลย เพราะการบวชเป็นทุกข์.              [๒๑๗๓] ขอเดชะ บรรดาโภคสมบัติของพระองค์ซึ่งมีอยู่ในราชธานีนี้ สิ่งไรเล่า ที่                           เกล้ากระหม่อมควรบริโภคมีอยู่หรือ เมื่อชาติก่อนเกล้ากระหม่อมเคย                           รื่นรมย์ อยู่ในเทวโลก ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส และผัสสะทั้งหลาย                           ที่น่ารื่นรมย์ใจ. ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมเคยบริโภคสมบัติมาแล้วใน                           ไตรทิพย์ เคยมีหมู่นางอัปสรแวดล้อมมาแล้ว เกล้ากระหม่อมมารู้ว่า                           พระองค์ทรงเขลาอันคนอื่นจะต้องนำไป แล้วจะพึงอยู่ในราชสกุล                           เช่นนั้นไม่ได้เลย.              [๒๑๗๔] ดูกรพ่อโสมนัส ถ้าหากว่า ฉันเป็นคนเขลาอันคนอื่นจะต้องนำไป พ่อ                           จงงดโทษให้แก่ฉันสักครั้งหนึ่งเถิด ถ้าแม้ว่า โทษเช่นนี้จะพึงมีอีก พ่อจง                           กระทำตามอัธยาศัยเถิด.              [๒๑๗๕] กรรมที่บุคคลใดไม่พิจารณา ให้ถี่ถ้วนเสียก่อนแล้วทำลงไป ผลชั่วร้าย                           ย่อมมีแก่บุคคลนั้น เหมือนความวิบัติแห่งยาแก้โรค ฉะนั้น. ส่วนกรรม                           ที่บุคคลใดพิจารณาถี่ถ้วนก่อนแล้วทำลงไป ผลอันเจริญก็ย่อมมีแก่บุคคล                           นั้น เหมือนความถึงพร้อมแห่งยาแก้โรค ฉะนั้น. คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม                           เป็นคนเกียจคร้าน ไม่ดี บรรพชิตไม่สำรวม ไม่งาม พระราชาไม่ทรง                           ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทำลงไป ไม่ดี บัณฑิตมีความโกรธเป็นเจ้าเรือน                           ก็ไม่ดี ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นอธิบดีแห่งทิศ กษัตริย์ทรงใคร่ครวญเสียก่อน                           แล้วจึงควรทำ ยังไม่ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วไม่ควรทำ พระเกียรติยศ                           ของพระราชาผู้ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทำลงไป ย่อมเจริญ. ข้าแต่                           พระจอมภูมิบาล อิสรชนควรใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงลงอาชญากรรม                           ที่ทำด้วยความรีบร้อนย่อมให้เดือดร้อน อนึ่ง ความตั้งตนไว้โดยชอบ                           และประโยชน์ของนรชน ย่อมไม่ตามเดือดร้อนในภายหลัง. แท้จริง                           ชนเหล่าใด จำแนก แจกแจง (เลือกเฟ้น) แล้ว กระทำกรรมทั้งหลายที่                           ไม่ตามเดือดร้อนภายหลังในโลก กรรมของชนเหล่านั้น ท่านผู้รู้สรรเสริญ                           มีความสุขเป็นกำไร อันพระพุทธเจ้าอนุมัติแล้ว. ขอเดชะ ข้าแต่                           พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน นายประตู ตำรวจดาบ และพวกเพชฌฆาต                           พากันไปจะฆ่าเกล้ากระหม่อมฉัน พวกนั้นรุมกันฉุดคร่าเกล้ากระหม่อม                           ฉัน ผู้กำลังนั่งอยู่บนพระเพลาแห่งพระราชมารดามาโดยพลัน. ข้าแต่                           พระราชบิดา แท้จริง เกล้ากระหม่อมฉันถึงแล้วซึ่งมรณภัยอันเผ็ดร้อน                           คับแคบ ฝืดเคืองเหลือเกิน วันนี้ เกล้ากระหม่อมฉันได้มีชีวิตอันเป็น                           ที่รักหวานซาบซึ้งใจ รอดพ้นจากการถูกประหารมาได้แสนยาก จึงน้อม                           ใจต่อบรรพชาอย่างเดียว.              [๒๑๗๖] ดูกรสุธรรมาเทวี พ่อโสมนัสสกุมารโอรสของเธอนี้ ยังรุ่นหนุ่ม น่าเอ็นดู                           วันนี้ ฉันอ้อนวอนเขาไว้ ก็ไม่ได้สมปรารถนา แม้เธอก็ควรจะอ้อนวอน                           โอรสของเธอดูบ้าง.              [๒๑๗๗] ดูกรพระลูกรัก เจ้าจงยินดีด้วยภิกขาจาริยวัตรเถิด จงใคร่ครวญในธรรม                           ทั้งหลายแล้ว ละเว้นบรรพชาของคนมิจฉาทิฏฐิเสียเถิด เจ้าจงวาง                           อาชญาในสรรพสัตว์ ไม่ถูกติเตียนแล้ว จงเข้าถึงพรหมสถานเถิด.                           ดูกรสุธรรมาเทวี เธอพูดคำเช่นใด คำเช่นนั้น น่าอัศจรรย์จริงหนอ ฉัน                           ได้รับทุกข์อยู่แล้ว เธอยังกลับเพิ่มทุกข์ให้อีก ฉันขอร้องเธอให้ช่วย                           อ้อนวอนลูก เธอกลับสนับสนุนให้โสมนัสสกุมารเกิดอุตสาหะยิ่งขึ้น.              [๒๑๗๘] พระอริยเจ้าเหล่าใด พ้นวิเศษแล้ว บริโภคปัจจัยอันหาโทษมิได้ ดับรอบ                           แล้ว เที่ยวไปในโลกนี้ หม่อมฉันไม่อาจจะห้ามโอรสผู้ดำเนินไปตาม                           มรรคาของพระอริยเจ้าเหล่านั้นได้.              [๒๑๗๙] ชนเหล่าใด มีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก พระ-                           นางสุธรรมาเทวีนี้ เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ปราศจากความโศกเศร้า                           ได้สดับคำสุภาษิตของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นควรจะคบหาแท้ทีเดียว.
จบ โสมนัสสชาดกที่ ๙.
๑๐. จัมเปยยชาดก
บำเพ็ญตบะเพื่อต้องการเกิดเป็นมนุษย์
             [๒๑๘๐] ท่านเป็นใคร งามผ่องใสดุจสายฟ้า และอุปมาเหมือนดาวประจำรุ่ง เรา                           ไม่รู้จักท่านว่า เป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นหญิงมนุษย์?              [๒๑๘๑] ข้าแต่พระมหาราชา หม่อมฉันหาใช่เทวดา คนธรรพ์ หรือหญิงมนุษย์ไม่                           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญา อาศัยเหตุอย่างหนึ่ง                           จึงได้มาในพระนครนี้.              [๒๑๘๒] ดูกรนางนาคกัญญา ท่านมีอาการเหมือนคนมีจิตฟั่นเฟือน มีอินทรีย์อัน                           เศร้าหมอง หยาดน้ำตาไหลออกจากเบ้าตาทั้งสองของท่าน อะไรของ                           ท่านหาย หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้มาในเมืองนี้ เชิญท่านบอกเถิด?              [๒๑๘๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน มหาชนเขาร้องเรียกสัตว์ใดว่า อุรค-                           ชาติผู้มีเดชสูง มหาชนเขาร้องเรียกสัตว์นั้นว่า นาค บุรุษคนนี้จับนาค                           นั้นมาต้องการเลี้ยงชีพ นาคนั่นแหละเป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระ-                           องค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคนั้นเสียจากที่คุมขังเถิด เพคะ.              [๒๑๘๔] ดูกรนางนาคกัญญา นาคราชนี้ประกอบไปด้วยกำลังอันแรงกล้า ไฉนจึง                           มาถึงเงื้อมมือของชายวณิพกได้เล่า เราจะใคร่รู้ถึงการที่นาคราชถูกกระทำ                           จนถูกจับมาได้ ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เราเถิด?              [๒๑๘๕] แท้จริง นาคราชนั้นประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า พึงทำแม้นครให้เป็น                           ภัสมธุลีไปได้ แต่เพราะนาคราชนั้น เคารพ นบนอบธรรม ฉะนั้น จึงได้                           บากบั่นบำเพ็ญตบะ.              [๒๑๘๖] ข้าแต่พระราชา นาคราชอธิษฐานรักษาอุโบสถในดิถีที่ ๑๔ และดิถีที่ ๑๕                           นอนอยู่ใกล้ทางสี่แพร่ง บุรุษหมองูจับนาคราชนั้นมาต้องการเลี้ยงชีพ                           นาคราชนี้เป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรด                           ปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังเถิด เพคะ.              [๒๑๘๗] สนมนารีถึงหมื่นหกพันนาง ล้วนสวมใส่กุณฑลแก้วมณี บันดาลวารี                           เป็นห้องไสยาสน์ แม้สนมนารีเหล่านั้นก็ยึดถือนาคราชนั้นเป็นที่พึ่ง.                           ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคราชนั้นโดยธรรม ปราศจาก                           กรรมอันสาหัสเถิด ด้วยบ้านส่วยร้อยบ้าน ทองร้อยแท่ง และโคร้อย                           ตัว ขอนาคราชผู้ต้องการบุญ จงเหยียดกายตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่                           คุมขังเถิด เพคะ.              [๒๑๘๘] เราจะปล่อยนาคราชนี้ไปโดยธรรม ปราศจากกรรมอันสาหัส ด้วยบ้านส่วย                           ร้อยบ้าน ทองคำร้อยแท่ง โคร้อยตัว นาคราชผู้ต้องการบุญ จงเหยียด                           กายตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่คุมขัง.                           ดูกรนายพราน ฉันจะให้ทอง ๑๐๐ แท่ง กุณฑลแก้วมณีราคามาก บัลลังก์                           สี่เหลี่ยมสีดังดอกผักตบ ภรรยารูปงาม ๒ คน และโคอุสุภะ ๑๐๐ ตัว                           แก่ท่าน ขอนาคราชตัวต้องการบุญ จงเหยียดกายตรงเที่ยวไป จงพ้นจาก                           ที่คุมขังเถิด.              [๒๑๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน แม้จะมิทรงพระราชทานสิ่งไรเลย                           เพียงแต่รับสั่งให้ปล่อยเท่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จะปล่อยนาคราชนั้น                           จากที่คุมขังทันที ขอนาคราชตัวต้องการบุญ จงเหยียดกายตรงเที่ยวไป                           จงพ้นจากที่คุมขังเถิด.              [๒๑๙๐] จัมเปยยนาคราชหลุดพ้นได้แล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระเจ้า                           กาสิกราช ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง                           ผดุงกาสิกรัฐให้รุ่งเรือง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าพระ-                           พุทธเจ้าประนมอัญชลีแด่พระองค์ ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรนิเวศน์                           ของข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า.              [๒๑๙๑] ดูกรนาคราช แท้จริง คนทั้งหลายเขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคย                           กับอมนุษย์ว่า พึงคุ้นเคยกันได้ยาก ก็ถ้าท่านขอร้องเราถึงเรื่องนั้น เรา                           ก็อยากจะไปดูนิเวศน์ของท่าน.              [๒๑๙๒] ข้าแต่พระราชา ถึงแม้ว่า ลมจะพึงพัดภูเขาไปก็ดี พระจันทร์ และพระ                           อาทิตย์จะพึงเผาผลาญแผ่นดินก็ดี แม่น้ำทุกสายพึงไหลทวนกระแสก็ดี                           ถึงกระนั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย. ข้าแต่พระราชา ท้องฟ้า                           จะทำลายไป ทะเลจะเหือดแห้งไป มหาปฐพีมีนามว่าภูตธราและพสุนธรา                           จะพึงม้วนได้ เมรุบรรพตอันหนาแน่นด้วยศิลาจะพึงถอนไปทั้งราก ถึง                           กระนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่กล่าวคำเท็จเลย.              [๒๑๙๓] ดูกรนาคราช แท้จริง คนทั้งหลายเขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคย                           กับอมนุษย์ว่า พึงคุ้นเคยกันได้ยาก ก็ถ้าท่านขอร้องเราถึงเรื่องนั้น เรา                           ก็อยากจะไปดูนิเวศน์ของท่าน.              [๒๑๙๔] ท่านเป็นผู้มีพิษร้ายแรงยิ่ง มีเดชมาก ทั้งโกรธง่าย ท่านหลุดพ้นจากที่                           คุมขังไปได้ก็เพราะเหตุแห่งเรา ท่านควรจะรู้คุณที่เราทำให้แก่ท่าน.              [๒๑๙๕] ข้าพระพุทธเจ้าถูกคุมขังอยู่ในกระโปรง เกือบจะถึงความตาย จักไม่รู้จัก                           อุปการคุณที่พระองค์ทรงกระทำแล้วเช่นนั้น ก็ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจง                           หมกไหม้อยู่ในนรกอันแสนร้ายกาจ อย่าได้รับความสำราญกายสักหน่อย                           หนึ่งเลย.              [๒๑๙๖] คำปฏิญาณของท่านนั้น จงเป็นคำสัตย์จริง ท่านอย่าได้มีความโกรธ อย่า                           ผูกโกรธไว้ อนึ่ง ขอสุบรรณทั้งหลายจงละเว้นนาคสกุลของท่านทั้งมวล                           เหมือนไฟในฤดูร้อน ฉะนั้น.              [๒๑๙๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์ทรงเอ็นดูนาคสกุล เหมือน                           มารดาผู้เอ็นดูบุตรคนเดียวผู้เป็นสุดที่รัก ฉะนั้น. ข้าพระพุทธเจ้ากับ                           นาคสกุล จะขอกระทำเวยยาวฏิกกรรมอย่างยอดยิ่งแด่พระองค์.              [๒๑๙๘] เจ้าพนักงานรถ จงตระเตรียมราชรถอันงามวิจิตร จงเทียมอัสดรอันเกิด                           ในกัมโพชกรัฐซึ่งฝึกหัดอย่างดีแล้ว และเจ้าพนักงานช้างจงผูกช้างตัว                           ประเสริฐทั้งหลาย ให้งามไปด้วยสุวรรณหัตถาภรณ์ เราจะไปดูนิเวศน์                           ของนาคราช.              [๒๑๙๙] พนักงานเภรี ตะโพน บัณเฑาะว์ และแตรสังข์ของพระเจ้าอุคคเสนราช                           มาพร้อมหน้ากัน พระราชาทรงแวดล้อมด้วยสนมนารี เสด็จไปในท่าม                           กลางหมู่สนมนารีงามสง่ายิ่งนัก.              [๒๒๐๐] พระเจ้ากาสีวัฒนราช ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคอันงามวิจิตรลาดแล้ว                           ด้วยทรายทองทั้งสุวรรณปราสาทก็ปูลาดไปด้วยแผ่นกระดานแก้วไพฑูรย์.                           พระองค์เสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์ของจัมเปยยนาคราชอันประดับประดาแล้ว                           งามโอภาสดุจแสงพระอาทิตย์ มีรัศมีดังสายฟ้าในกลุ่มเมฆ พระเจ้า                           กาสิกราชทรงทอดพระเนตรจนทั่วนิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช อันดาดาษ                           ไปด้วยรุกขชาตินานาชนิด หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นทิพย์ต่างๆ เมื่อพระเจ้า                           กาสิกราชเสด็จเข้าไปในนิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช ทิพยดนตรีก็บรรเลง                           และเหล่านางนาคกัญญาต่างก็ฟ้อนรำขับร้องถวาย. พระเจ้ากาสิกราช                           เสด็จขึ้นนิเวศน์ ซึ่งมีหมู่นางนาคกัญญาตามเสด็จ ทรงพอพระทัยประทับ                           นั่งบนพระแท่นทองอันมีพนัก ไล้ทาด้วยแก่นจันทน์ทิพย์.              [๒๒๐๑] พระเจ้ากาสิกราชนั้น ครั้นเสวยสมบัติและทรงรื่นรมย์อยู่ในนาคพิภพ                           นั้นแล้ว ได้ตรัสถามจัมเปยยนาคราชว่า วิมานอันประเสริฐของท่าน                           เหล่านี้ มีรัศมีดังพระอาทิตย์งามผุดผ่อง วิมานเช่นนี้ไม่มีในมนุษยโลก                           ดูกรพญานาคราช ท่านบำเพ็ญตบะธรรมเพื่อประโยชน์อะไร? นาง                           นาคกัญญาเหล่านั้นล้วนสวมใส่กำไลทอง นุ่งห่มเรียบร้อย มีนิ้วมือกลม                           กลึง ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงงาม ผิวพรรณไม่ทราม พากันยกทิพยปานะถวาย                           ให้พระองค์ทรงเสวย เหล่านารีเช่นนี้จะได้มีอยู่ในมนุษยโลกก็หาไม่                           ดูกรพญานาคราช ท่านบำเพ็ญตบะธรรมเพื่อประโยชน์อะไร? อนึ่ง มหา                           นทีอันชุ่มชื่น ดาษดื่นไปด้วยปลาที่มีเกล็ดนานาชนิด มีนกเงือกร่ำร้อง                           อยู่อึงมี่ มีท่าราบเรียบ แม่น้ำเช่นนี้จะได้มีอยู่ในมนุษยโลกก็หาไม่ ดูกร                           พระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบะธรรมเพื่อประโยชน์อะไร? ฝูงนก                           กระเรียน ฝูงนกยูง ฝูงหงส์ และฝูงนกดุเหว่าทิพย์ ร่ำร้องเสียงไพเราะ                           จับใจ ต่างก็โผผินบินจับอยู่บนต้นไม้ ทิพยสกุณาเช่นนี้จะได้มีใน                           มนุษยโลกก็หาไม่ ดูกรพญานาคราช ท่านบำเพ็ญตบะธรรมเพื่อ                           ประโยชน์อะไร? ต้นมะม่วง ต้นสาละ หมากเม่าควาย ต้นหว้า                           ต้นราชพฤกษ์ และแคฝอย ผลิดอกออกผลเป็นพวงๆ ทิพยรุกขชาติ                           เช่นนี้จะได้มีอยู่ในมนุษยโลกก็หาไม่ ดูกรพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญ                           ตบะธรรมเพื่อประโยชน์อะไร? อนึ่ง ทิพยสุคนธ์รอบๆ สระโบกขรณี                           เหล่านี้ หอมฟุ้งอยู่เป็นนิตย์ ทิพยสุคนธ์เช่นนี้จะได้มีอยู่ในมนุษยโลก                           ก็หาไม่ ดูกรพญานาคราช ท่านบำเพ็ญตบะธรรมเพื่อประโยชน์อะไร?              [๒๒๐๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรม                           เพราะเหตุแห่งบุตรทรัพย์ หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุก็หาไม่ แต่เพราะ                           ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนากำเนิดมนุษย์ ฉะนั้น จึงได้บากบั่นบำเพ็ญตบะ                           ธรรม.              [๒๒๐๓] ท่านมีดวงเนตรแดง มีรัศมีส่องแสงสว่าง ประดับตกแต่งแล้ว ปลงเกสา                           และมัสสุแล้ว ประพรมด้วยจุรณจันทน์แดง ฉายแสงไปทั่วทิศ ดัง                           คนธรรพราช ฉะนั้น. ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก                           เพรียบพร้อมไปด้วยสรรพกามารมณ์ ดูกรพระยานาคราช เราขอถาม                           เนื้อความนี้กะท่าน มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพนี้ ด้วยเหตุไร?              [๒๒๐๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน เว้นมนุษยโลกเสียแล้ว ความบริสุทธิ์                           หรือความสำรวมย่อมไม่มีเลย ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะธรรมด้วยตั้งใจ                           ว่า เราได้กำเนิดมนุษย์แล้วจักทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้.              [๒๒๐๕] ชนเหล่าใด มีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชน                           เหล่านั้น ควรคบหาแท้ทีเดียว ดูกรพระยานาคราช เราได้เห็นนางนาค                           กัญญาทั้งหลายของท่าน และตัวท่านแล้ว จักทำบุญให้มาก.              [๒๒๐๖] ชนเหล่าใด มีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชน                           เหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์ได้ทอดพระ-                           เนตรเห็นนางนาคกัญญา และตัวข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงทรงบำเพ็ญ                           บุญให้มากเถิด.              [๒๒๐๗] กองเงิน และกองทองของข้าพระพุทธเจ้านี้มากมาย สูงประมาณเท่า                           ต้นตาล พระองค์จงรับสั่งให้พวกราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้ แล้วจง                           รับสั่งให้สร้างพระราชวังด้วยทองคำ ให้สร้างกำแพงด้วยเงินเถิด. นี้                           กองแก้วมุกดาอันเจือปนด้วยแก้วไพฑูรย์ห้าพันเล่มเกวียน พระองค์                           จงรับสั่งให้ราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้ แล้วให้ลาดลง ณ ภูมิภาค                           ภายในพระราชฐาน ภูมิภาคภายในพระราชฐานก็จักปราศจากเปือกตม                           และละอองธุลี. ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้ทรงพระปรีชาอันล้ำเลิศ                           ขอพระองค์โปรดเสวยราชสมบัติ ครอบครองพระนครพาราณสีอันมั่งคั่ง                           สมบูรณ์ สง่างามล้ำเลิศ ดุจทิพยวิมานเห็นปานฉะนี้เถิด พระเจ้าข้า.
จบ จัมเปยยชาดกที่ ๑๐.
๑๑. มหาปโลภนชาดก
ว่าด้วยหญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์
             [๒๒๐๘] เทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก จุติจากพรหมโลกแล้วมาเกิดเป็นโอรสของพระราชา                           ผู้ทรงดำรงอยู่ในพระราชสมบัติอันเพรียบพร้อมด้วยสรรพกามคุณก็ดี                           ความสำคัญในกามก็ดี มิได้มีในพรหมโลก พระราชกุมารนั้นจึงเกลียด                           ชังกามทั้งหลาย ด้วยสัญญาอันเกิดในพรหมโลกนั้น. พระราชบิดารับ                           สั่งให้สร้างฌานาคารไว้ภายในพระราชฐาน สำหรับพระราชกุมารนั้นทรง                           หลีกเร้นบำเพ็ญฌานในอาคารนั้นพระองค์เดียว. พระราชาทรงอัดอั้นตัน                           พระทัยด้วยความโศกถึงพระโอรส ทรงปริเทวนาการว่า ลูกคนเดียว                           ของเรานี้ ไม่บริโภคกามารมณ์เลย. อุบายที่จะทำให้ลูกเราบริโภค                           กามารมณ์นี้ มีอยู่อย่างไรบ้างหนอ หรือว่าเราจะรู้เหตุที่จะทำให้ลูกเราพัว                           พันอยู่ในอารมณ์ได้ หรือว่าผู้ใดจะประเล้าประโลมลูกเราให้ปรารถนา                           กามารมณ์ได้อย่างไรบ้าง?              [๒๒๐๙] ภายในพระราชฐานนั้นเอง มีกุมารีคนหนึ่งมีฉวีวรรณงดงาม รูปร่าง                           สะสวย ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง และชำนาญในการดีดสีตีเป่า                           เธอเข้าไปในพระราชฐานนั้นแล้วกราบทูลพระราชาว่า เกล้ากระหม่อมฉัน                           พึงประเล้าประโลมพระราชกุมารนั้นได้ ถ้าพระราชกุมารนั้นจะเป็น                           พระสวามีของเกล้ากระหม่อมฉัน.              [๒๒๑๐] พระราชาจึงตรัสกะนางกุมาริกาผู้กล่าวยืนยันเช่นนี้ว่า เธอจงประเล้า                           ประโลมลูกของเรา ลูกของเราจักเป็นสามีของเจ้า.              [๒๒๑๑] นางกุมารีนั้นได้เข้าไปภายในพระราชฐานแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาหัวเราะ                           จับจิตใจ ยั่วยวนชวนให้รักใคร่ เปลี่ยนแปลงขับรำอันประกอบด้วย                           กามารมณ์มากอย่าง.              [๒๒๑๒] กามฉันทะก็บังเกิดแก่พระราชกุมารนั้น เพราะได้ทรงสดับเสียงของ                           นางกุมารีผู้ขับกล่อมอยู่ พระราชกุมารจึงตรัสถามคนที่อยู่ใกล้เคียงดูว่า                           โอ นั่นเสียงใคร หรือใครนั่นมาขับร้องเสียงสูงต่ำจับจิตใจยั่วยวนชวน                           ให้รักใคร่ เพราะหูของเรานัก?              [๒๒๑๓] ขอเดชะเสียงนี้น่ายินดี ให้สนุกสนานได้มิใช่น้อย ถ้าพระองค์พึง                           บริโภคกามคุณไซร้ กามทั้งหลายจะพึงพอพระทัยพระองค์เป็นอย่างยิ่ง.              [๒๒๑๔] เชิญมาภายในนี้ จงมาขับร้องใกล้ๆ เรา เลื่อนเข้ามาขับใกล้ตำหนักของ                           เรา จงขับกล่อมใกล้ที่บรรทมของเรา.              [๒๒๑๕] นางกุมารีนั้น เข้าไปขับกล่อมภายนอกฝาห้องบรรทม แล้วเลื่อนเข้าไป                           ณ ตำหนักฌานาคารโดยลำดับ จนผูกพระราชกุมารไว้ได้ เหมือนนาย                           หัตถาจารย์จับคชสารป่ามัดไว้ ฉะนั้น.              [๒๒๑๖] เพราะรู้กามรสแห่งนางกุมารีนั้น อธรรม คือ ความริษยา ได้เกิดขึ้นแก่                           พระราชกุมารว่า เราเท่านั้นพึงได้บริโภคกาม อย่าได้มีบุรุษคนอื่นเลย.                           ต่อแต่นั้นมา พระราชกุมารทรงถือเอาดาบเล่มหนึ่งแล้ว เสด็จไปเพื่อ                           จะฆ่าบุรุษทั้งหลายเสีย ด้วยทรงคิดว่า เราจักบริโภคกามแต่คนเดียว                           อย่าพึงมีบุรุษคนอื่นอยู่เลย.              [๒๒๑๗] ต่อมานั้น ชาวชนบททั้งปวงจึงมาประชุม ถวายเรื่องราวร้องทุกข์ว่า                           ข้าแต่พระมหาราชา พระราชโอรสของพระองค์นี้ ทรงเบียดเบียนผู้หา                           โทษมิได้ พระเจ้าข้า.              [๒๒๑๘] จอมขัตติยราชทรงเนรเทศพระราชกุมารออกไปจากรัฐสีมาของพระองค์                           แล้ว มีพระราชโองการว่า อาณาเขตของเรามีอยู่เพียงใด เจ้าอย่าอยู่ใน                           อาณาเขตของเราเพียงนั้น.              [๒๒๑๙] ครั้งนั้น พระราชกุมารทรงพาชายาไปจนบรรลุถึงสมุทรนทีแห่งหนึ่ง ทรง                           สร้างบรรณศาลาแล้ว จึงเสด็จเข้าไปสู่ป่าเพื่อแสวงหาผลาผล.              [๒๒๒๐] ครั้งนั้น มีฤาษีตนหนึ่ง มาถึงบรรณศาลานั้น โดยทางเบื้องบนสมุทร                           เข้าไปยังบรรณศาลาของพระราชกุมาร ในเวลาที่นางกุมารีจัดแจง                           ภัตตาหารไว้แล้ว.              [๒๒๒๑] ชายาของพระราชกุมาร ประเล้าประโลมฤาษีนั้น ดูเถิดกรรมที่นางกุมารี                           กระทำนั้นหยาบช้าเพียงไร ฤาษีนั้นได้เคลื่อนจากพรหมจรรย์ เสื่อม                           จากฤทธิ์.              [๒๒๒๒] ฝ่ายพระราชโอรสแสวงหามูลและผลาผลในป่าได้จำนวนมากแล้ว จึง                           หาบหามเข้ามายังอาศรมในเวลาเย็น.              [๒๒๒๓] ฝ่ายฤาษีพอเห็นขัตติยราชกุมาร จึงรีบเข้าไปยังฝั่งสมุทร ด้วยตั้งใจไว้ว่า                           เราจักไปทางเวหาสแต่ต้องจมลงในมหรรณพนั่นเอง.              [๒๒๒๔] ฝ่ายว่าขัตติยราชกุมาร ได้ทอดพระเนตรเห็นฤาษีจมลงในมหรรณพ จึง                           ได้ตรัสพระคาถานี้ ด้วยทรงพระอนุเคราะห์ต่อฤาษีนั้นว่า.              [๒๒๒๕] ตัวท่านเองมาด้วยฤทธิ์บนน้ำอันไม่แตกแยก ครั้นถึงความระคนด้วยสตรี                           แล้ว ต้องจมลงในมหรรณพ. ธรรมดาสตรีมีปกติหมุนเวียน มีมายา                           มาก มักทำพรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมทำนักพรตให้จมลง ท่านรู้แจ้ง                           ฉะนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล. สตรีทั้งหลายมีวาจาไพเราะ มีสัมภาส                           อ่อนหวาน ยากที่จะให้เต็มได้ เสมอด้วยแม่น้ำ ย่อมทำนักพรตให้จม                           ลง ท่านจะรู้แจ้ง ฉะนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล. สตรีทั้งหลายย่อม                           เข้าไปซ่องเสพบุรุษใด ด้วยความพอใจหรือด้วยทรัพย์ก็ตาม ย่อมพลัน                           ตามเผาผลาญบุรุษนั้น เหมือนไฟป่าเผาสถานที่ตนเอง ฉะนั้น.              [๒๒๒๖] ความเบื่อหน่ายได้เกิดมีแก่ฤาษี เพราะได้ฟังถ้อยคำของขัตติยราชกุมาร                           ฤาษีนั้นกลับได้ทางเก่า แล้วก็เหาะขึ้นไปยังเวหาส.              [๒๒๒๗] ฝ่ายขัตติยราชกุมารผู้ทรงพระปรีชา ได้ทอดพระเนตรเห็นฤาษีกำลังเหาะ                           ไปยังเวหาส จึงได้ความสลดจิต น้อมพระทัยบรรพชา. ต่อแต่นั้น                           ขัตติยราชกุมารก็ทรงบรรพชาสำรอกกามราคะแล้ว ได้เข้าถึงพรหมโลก.
จบ มหาปโลภชาดกที่ ๑๑.
๑๒. ปัญจปัณฑิตชาดก
ว่าด้วยความลับไม่ควรเปิดเผย
             [๒๒๒๘] ท่านทั้งหลายผู้เป็นบัณฑิตทั้ง ๕ คน มาพร้อมกันแล้ว ปัญหาย่อม                           แจ่มแจ้งแก่เรา ท่านทั้งหลายจงฟังปัญหานั้น บุคคลควรเปิดเผยข้อความ                           ที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นความลับ แก่ใคร?              [๒๒๒๙] ข้าแต่พระจอมภูมิบาล พระองค์จงตรัสเปิดเผยก่อน พระองค์เป็นผู้                           ชุบเลี้ยงพวกข้าพระองค์ ทรงอดทนต่อกรณียกิจอันหนัก เชิญตรัสก่อน                           ข้าแต่จอมประชาชน ข้าพระองค์ผู้เป็นนักปราชญ์ทั้ง ๕ คน จักพิจารณา                           สิ่งที่พอพระทัย และเหตุที่ชอบพระทัยของพระองค์ แล้วจักกราบทูล                           ในภายหลัง.              [๒๒๓๐] สามีควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นเนื้อ                           ความลับ แก่ภรรยาผู้มีศีล ไม่ยอมให้บุรุษอื่นลักสัมผัส คล้อยตามอำนาจ                           ความพอใจของสามี เป็นที่รักที่พอใจของสามี.              [๒๒๓๑] บุคคลควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นเนื้อ                           ความลับ แก่สหายผู้เป็นที่ระลึก เป็นคติ และเป็นที่พึ่งของสหาย ผู้                           ได้รับความทุกข์ลำบากได้.              [๒๒๓๒] บุคคลควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นเนื้อ                           ความลับ แก่พี่น้องซึ่งเป็นพี่ใหญ่ พี่กลาง หรือน้อง ถ้าเขาตั้งใจอยู่                           ในศีล มีจิตตั้งมั่น.              [๒๒๓๓] บิดาควรเปิดเผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็น                           เนื้อความลับ แก่บุตรผู้ดำเนินไปตามใจของบิดา เป็นอนุชาตบุตรมี                           ปัญญาไม่ทรามกว่าบิดา.              [๒๒๓๔] ข้าแต่พระจอมประชาราษฎร์ ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์นิกร บุตรควรเปิด                           เผยข้อความที่ควรติเตียน หรือควรสรรเสริญ อันเป็นเนื้อความลับ แก่                           มารดาผู้เลี้ยงดูบุตรด้วยความพอใจ รักใคร่.              [๒๒๓๕] การปกปิดความลับเอาไว้นั่นแหละเป็นความดี การเปิดเผยความลับ                           บัณฑิตไม่สรรเสริญเลย นักปราชญ์พึงอดกลั้น ในเมื่อประโยชน์ยัง                           ไม่สำเร็จ เมื่อประโยชน์สำเร็จแล้วพึงกล่าวตามสบาย.              [๒๒๓๖] ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงมีพระมนัสวิปริตไปอย่างไรหรือ                           ข้าแต่พระจอมประชากร เกล้ากระหม่อมฉัน ขอฟังพระดำรัสของ                           พระองค์ พระองค์ทรงดำริอย่างไรหรือ จึงทรงโทมนัส ข้าแต่สมมติเทพ                           ความผิดของเกล้ากระหม่อมฉันไม่มีเลยหรือ?              [๒๒๓๗] มโหสถจะถูกฆ่าเพราะปัญหา เพราะมโหสถผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน ฉันสั่ง                           ให้ฆ่าแล้ว ฉันคิดถึงเรื่องนั้นจึงโทมนัส ดูกรพระเทวี ความผิดของ                           เธอไม่มีเลย?              [๒๒๓๘] เจ้าไปตั้งหัวค่ำมาเอาจนบัดนี้ ใจของเจ้ารังเกียจเพราะได้ฟังอะไรหรือ                           ดูกรเจ้าผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน ใครได้พูดอะไรแก่เจ้า เราจะขอฟังคำของ                           เจ้า เชิญเจ้าบอกแก่เรา?              [๒๒๓๙] มโหสถจะถูกฆ่าเพราะปัญหา ข้าแต่พระจอมประชานิกร ในกาลใด                           พระองค์เสด็จอยู่ในที่ลับ ได้ตรัสความลับกับพระอัครมเหสี เมื่อหัวค่ำ                           ความลับของพระองค์นั้นได้เปิดเผยแล้ว ข้าพระบาทได้ฟังแล้ว ในกาลนั้น.              [๒๒๔๐] เสนกบัณฑิตได้ทำกรรมอันลามก อันไม่ใช่กรรมของสัตบุรุษในสวน                           ไม้รัง อยู่ในที่ลับแล้วได้บอกเรื่องนั้นแก่สหายคนหนึ่ง กรรมอันลามก                           นั้นเป็นความลับ อันเสนกบัณฑิตได้เปิดเผยแล้ว ข้าพระบาทได้ฟังแล้ว.              [๒๒๔๑] ข้าแต่พระจอมประชานิกร โรคเรื้อนเกิดขึ้นแก่ปุกกุสบุรุษของพระองค์                           เป็นโรคที่ไม่สมควรจะใกล้ชิดพระราชา ปุกกุสะอยู่ในที่ลับ ได้แจ้ง                           เรื่องนี้แก่น้องชาย ความลับอันนั้นอันปุกกุสะเปิดเผยแล้ว ข้าพระบาท                           ได้ฟังแล้ว.              [๒๒๔๒] กามินท์นี้เป็นคนอาพาธ ลามก ถูกยักษ์ชื่อนรเทพสิงแล้ว อยู่ในที่ลับได้                           แจ้งเรื่องนี้แก่บุตร ความลับนั้นอันกามินท์ได้เปิดเผยแล้ว ข้าพระบาท                           ได้ฟังแล้ว.              [๒๒๔๓] ท้าวสักกเทวราชได้ประทานมณีรัตน์อันโอฬารมีคด ๘ คด แก่พระอัยกา                           ของพระองค์เดี๋ยวนี้ มณีรัตน์นั้นได้ตกถึงมือของเทวินท์แล้ว ก็เทวินท์                           อยู่ในที่ลับ ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่มารดา ความลับนั้นอันเทวินท์ได้เปิดเผย                           แล้ว ข้าพระบาทได้ฟังแล้ว.              [๒๒๔๔] การปกปิด ความลับเอาไว้นั่นแหละ เป็นความดี การเปิดเผยความลับ                           บัณฑิตไม่สรรเสริญเลย นักปราชญ์พึงอดกลั้นไว้ในเมื่อประโยชน์ยังไม่                           สำเร็จ เมื่อประโยชน์สำเร็จแล้วพึงกล่าวตามสบาย. ไม่ควรเปิดเผย                           ความลับเลย ควรรักษาความลับนั้นไว้ เหมือนรักษาขุมทรัพย์ ฉะนั้น                           ความลับอันบุคคลผู้รู้แจ่มแจ้งไม่เปิดเผยได้นั่นแหละเป็นความดี. บัณฑิต                           ไม่ควรบอกความลับแก่สตรี และแก่คนที่ไม่ใช่มิตร กับอย่าบอกความ                           ในใจแก่คนที่ถูกอามิสลากไป และแก่คนที่ไม่ใช่มิตร บัณฑิตย่อมอดทน                           คำด่า คำบริภาษ และการประหารของคนผู้รู้ความลับ ซึ่งคนอื่นไม่รู้                           เพราะกลัวจะขยายความลับที่คิดไว้ เหมือนคนที่เป็นทาส อดทนต่อคำด่า                           ว่าเป็นต้นของนาย ฉะนั้น. ชนทั้งหลายรู้ความลับที่ปรึกษากันของคนๆ                           หนึ่ง เพียงใด ความสะดุ้งหวาดกลัวของคนนั้น ย่อมเกิดขึ้น เพียงนั้น.                           เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรเปิดเผยความลับเลย บุคคลจะพูดความลับใน                           เวลากลางวัน ควรหาโอกาสที่เงียบสงัด เมื่อจะพูดความลับในเวลาค่ำ                           คืน อย่าปล่อยเสียงให้เกินขอบเขต เพราะว่า คนแอบฟังจะได้ยิน                           ความลับที่ปรึกษากัน เพราะฉะนั้น ความลับที่ปรึกษากัน ก็จะพลันถึง                           ความแพร่งพรายทันที.
จบ ปัญจปัณฑิตชาดกที่ ๑๒.
๑๓. หัตถิปาลชาดก
ว่าด้วยกาลเวลาไม่คอยใคร
             [๒๒๔๕] นานทีเดียว ข้าพเจ้าเพิ่งได้พบท่านพราหมณ์ผู้มีผิวพรรณดังเทพเจ้า มุ่น                           ชฎาใหญ่ ทรงไว้ซึ่งหาบคอน มีฟันเขลอะ มีธุลีบนเศียร. นานที                           เดียว ข้าพเจ้าเพิ่งได้พบท่านฤาษีผู้ยินดีในคุณธรรม นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำ                           ฝาด ผ้าคากรอง ปกปิดโดยรอบ. ขอท่านผู้เจริญจงรับอาสนะ น้ำ ผ้า                           เช็ดเท้า และน้ำมันทาเท้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอต้อนรับท่านด้วยสิ่ง                           ของมีค่ามาก ได้กรุณารับของมีค่ามากของข้าพเจ้าเถิด.              [๒๒๔๖] ลูกรัก เจ้าจงเรียนวิชาและจงแสวงหาทรัพย์ จงปลูกฝังบุตรธิดาให้ดำรง                           อยู่ในเรือนเสียก่อน แล้วจงบริโภคกลิ่นรสและวัตถุกามทั้งปวงเถิด กิจ                           ที่จะอยู่ป่า เมื่อเวลาแก่สำเร็จประโยชน์ดี มุนีใดบวชในกาลเช่นนี้ได้                           มุนีนั้นพระอริยเจ้าสรรเสริญ.              [๒๒๔๗] วิชาเป็นของไม่จริง และลาภ คือ ทรัพย์ก็ไม่จริง ใครๆ จะห้ามความ                           ชราด้วยลาภ คือ บุตรไม่ได้เลย สัตบุรุษทั้งหลายสอนให้ปล่อยกลิ่น                           และรสทั้งหลายเสีย ความอุบัติแห่งผลย่อมมีได้เพราะกรรมของตน.              [๒๒๔๘] คำของท่านที่ว่า ความอุบัติแห่งผลย่อมมีได้เพราะกรรมของตนนั้น เป็น                           คำจริงแท้แน่นอน อนึ่ง บิดามารดาของท่านนี้ แก่เฒ่าแล้วหวังจะเห็น                           ท่านมีอายุยืน ๑๐๐ ปี ไม่มีโรค.              [๒๒๔๙] ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐกว่านรชน ความเป็นสหายกับความตาย ความ                           ไมตรีกับความแก่ พึงมีแก่ผู้ใด หรือแม้ผู้ใดพึงรู้ว่าจักไม่ตาย มารดา                           บิดาพึงเห็นผู้นั้นมีอายุยืน ๑๐๐ ปี ไม่มีโรคเบียดเบียน ได้ในบางคราว                           บุรุษเอาเรือมาจอดไว้ที่ท่าน้ำ รับคนฝั่งนี้ส่งถึงฝั่งโน้น แล้วย้อนกลับรับ                           คนฝั่งโน้นพามาส่งถึงฝั่งนี้ ฉันใด ชราและพยาธิก็ย่อมนำเอาชีวิตสัตว์                           ไปสู่อำนาจแห่งมัจจุราชอยู่เนืองๆ ฉันนั้น.              [๒๒๕๐] กามทั้งหลายเป็นดังเปือกตม เป็นเครื่องให้จมลง และเป็นเครื่องนำไป                           ซึ่งน้ำใจสัตว์ ข้ามได้ยาก เป็นที่ตั้งแห่งมฤตยู สัตว์ทั้งหลาย ผู้ข้องอยู่                           ในกามอันเป็นดังเปือกตม เป็นเครื่องให้จมลงนี้ เป็นสัตว์มีจิตเลวทราม                           ย่อมข้ามถึงฝั่งไม่ได้. เมื่อครั้งก่อน อัตภาพของพระองค์นี้ ได้กระทำ                           กรรมอันหยาบช้า ผลแห่งกรรมนั้นข้าพระองค์ถือไว้มั่นแล้ว ข้าพระองค์                           จะพ้นไปจากผลแห่งกรรมนี้ไม่ได้เลย ข้าพระองค์จักปิดกั้นรักษาอัตภาพ                           นั้นอย่างรอบคอบ ขออัตภาพนี้อย่าได้ทำกรรมอันหยาบช้าอีกเลย.              [๒๒๕๑] ข้าแต่พระเจ้าเอสุการี ประโยชน์ของข้าพระองค์ ย่อมพินาศไปเสียแล้ว                           เหมือนบุรุษเลี้ยงโคไม่เห็นโคที่หายไปในป่า ฉะนั้น ข้าแต่พระราชา                           ข้าพระองค์ได้เห็นทางแห่งบรรพชิตทั้งหลาย แล้วไฉนจะไม่แสวงหาการ                           บรรพชาเล่า?              [๒๒๕๒] บุรุษกล่าวผัดเพี้ยนการงานที่ควรจะทำในวันนี้ว่า ควรทำในวันพรุ่งนี้ การ                           งานที่ควรจะทำในวันพรุ่งนี้ว่า ควรทำในวันต่อไป ย่อมเสื่อมจากการ                           งานนั้น ธีรชนคนใดรู้ว่า สิ่งใดเป็นอนาคต สิ่งนั้นไม่มีแล้ว พึง                           บรรเทาความพอใจที่เกิดขึ้นเสีย.              [๒๒๕๓] ข้าพระองค์ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างงามพอประมาณ มีดวงเนตร                           เหมือนดอกการเกต มัจจุราชมาฉุดคร่าพาหญิงสาวคนนั้นซึ่งกำลังตั้งอยู่                           ในปฐมวัย ยังไม่ทันได้บริโภคสมบัติไป. อนึ่ง ชายหนุ่มมีทรวดทรง                           งาม มีใบหน้าผ่องใส น่าดูน่าชม มีวรรณะเรืองรองดังทองคำ มีหนวด                           เคราละเอียดอ่อนดังเกสรดอกคำฝอย แม้ชายหนุ่มเห็นปานนี้ก็ย่อมไปสู่                           อำนาจแห่งมฤตยู ขอเดชะ ข้าพระองค์จะละกามและเรือนเสียแล้ว                           จักบวช ขอได้โปรดทรงพระกรุณาอนุญาตข้าพระองค์เถิด.              [๒๒๕๔] ดูกรแม่วาเสฏฐี ต้นไม้จะได้นามโวหารว่า ต้นไม้ได้ ก็เพราะมีกิ่งและ                           ใบ ชาวโลกเขาเรียกต้นไม้ที่ไม่มีกิ่งและใบว่า เป็นตอไม้ วันนี้ เราผู้มี                           บุตรละทิ้งไปเสียแล้ว เวลานี้ เราสมควรจะบวชเที่ยวภิกขาจารไป.              [๒๒๕๕] นกกระเรียนทั้งหลายบินไปในอากาศได้คล่องแคล่ว ฉันใด หงส์ทั้งหลาย                           เมื่อสิ้นฤดูฝนแล้ว พึงทำลายใยที่แมลงมุมทำไว้ แล้วออกไปได้ ฉันนั้น                           บุตรและสามีของเราพากันไปหมด ไฉนเราจะไม่ปฏิบัติตามบุตรและสามี                           ของเราเล่า.              [๒๒๕๖] แร้งเหล่านี้ กินเนื้อและสำรอกออกหมดแล้ว ย่อมพากันบินไปได้                           ฝ่ายแร้งเหล่าใด กินเนื้อแล้วไม่สำรอกเนื้อออกเสีย แร้งเหล่านั้น ก็พา                           กันตกอยู่ในเงื้อมมือของหม่อมฉัน. ข้าแต่พระราชา พราหมณ์ได้คลายกาม                           ทั้งหลายออกทิ้งแล้ว ส่วนพระองค์นั้นกลับรับเอากามนั้นไว้บริโภคอีก                           บุรุษผู้บริโภคสิ่งที่ผู้อื่นคายออกแล้ว ไม่พึงได้รับความสรรเสริญเลย.              [๒๒๕๗] ดูกรพระนางปัญจาลีผู้เจริญ บุรุษผู้มีกำลังช่วยฉุดบุรุษทุพพลภาพ ผู้จมอยู่                           ในเปือกตมขึ้นได้ ฉันใด เธอก็ช่วยพยุงฉันให้ขึ้นจากกามได้ด้วยคาถา                           อันเป็นสุภาษิต ฉันนั้นแล.              [๒๒๕๘] พระเจ้าเอสุการีมหาราชา ผู้เป็นอธิบดีในทิศ ทรงภาษิตคาถานี้แล้ว ทรง                           ละรัฐสีมาเสด็จออกบรรพชา ดุจช้างตัวประเสริฐสลัดเครื่องผูกให้ขาด                           ไปได้ ฉะนั้น.              [๒๒๕๙] ก็พระราชาผู้กล้าหาญ ประเสริฐที่สุดกว่านรชน ทรงพอพระทัยใน                           บรรพชาเพศ ละรัฐสีมาไปแล้ว ขอพระนางเจ้าโปรดเป็นพระราชาแห่ง                           ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด พระนางเจ้า อันข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย                           คุ้มครองแล้ว โปรดเสวยราชสมบัติเหมือนพระราชาเถิด.              [๒๒๖๐] ก็พระราชาผู้กล้าหาญ ประเสริฐที่สุดกว่านรชน ทรงพอพระทัยใน                           บรรพชาเพศ ละรัฐสีมาไปแล้ว แม้เราก็จักละกามทั้งหลายอันน่ารื่นรมย์                           ใจ เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว ก็พระราชาผู้กล้าหาญ ประเสริฐที่สุด                           กว่านรชน ทรงพอพระทัยในบรรพชาเพศ ละรัฐสีมาไปแล้ว แม้เรา                           ก็จักละกามทั้งหลายอันตั้งอยู่เป็นถ่องแถว แล้วเที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว                           กาลย่อมล่วงไปๆ ราตรีย่อมผ่านไปๆ ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป แม้                           เราก็จักละกามทั้งหลายอันน่ารื่นรมย์ใจ เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว. กาล                           ย่อมล่วงไปๆ ราตรีย่อมผ่านไปๆ ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป แม้เราก็จัก                           ละกามทั้งหลายอันตั้งอยู่เป็นถ่องแถว เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว. กาล                           ย่อมล่วงไปๆ ราตรีย่อมผ่านไปๆ ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป แม้เรา                           ก็จักเป็นผู้เย็นใจ ก้าวล่วงความข้องทั้งปวง เที่ยวไปในโลกแต่ผู้เดียว.
จบ หัตถิปาลชาดกที่ ๑๓.
๑๔. อโยฆรชาดก
ว่าด้วยอำนาจของมัจจุราช
             [๒๒๖๑] สัตว์ถือปฏิสนธิกลางคืนก็ตาม ย่อมอยู่ในครรภ์มารดาก่อน สัตว์นั้น                           ย่อมเกิดขึ้นเพราะกำลังลม ย่อมไปสู่ความเป็นกลละเป็นต้น ย่อมไม่                           กลับมาสู่ความเป็นกลละเป็นต้นอีก.              [๒๒๖๒] นรชนผู้ประกอบด้วยกำลังกาย หรือกำลังทหารก็ตาม จะสู้รบกับชราและ                           มรณะแล้วไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเลย เพราะว่า ชีวิตของสัตว์นี้ทั้งมวล ถูก                           ความเกิดและความแก่เบียดเบียน เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิด                           ว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๖๓] พระราชาผู้เป็นอธิบดีแห่งรัฐทั้งหลาย ย่อมจะข่มขี่หมู่เสนาประกอบด้วย                           องค์ ๔ อันน่าสะพรึงกลัว เอาชัยชนะได้ แต่ไม่สามารถจะชนะเสนาแห่ง                           มัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติ                           ธรรม.              [๒๒๖๔] พระราชาบางจำพวกแวดล้อมด้วยพลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า                           ย่อมพ้นจากเงื้อมมือของข้าศึก แต่ก็ไม่อาจจะพ้นจากสำนักของมัจจุราช                           ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๖๕] พระราชาทั้งหลายผู้กล้าหาญ ย่อมหักราญพระนครแห่งราชศัตรูให้                           ย่อยยับได้ และกำจัดมหาชนได้ ด้วยพลช้าง พลม้า พลรถ และพล                           เดินเท้า แต่ไม่สามารถจะหักราญเสนาแห่งมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น                           ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม              [๒๒๖๖] คชสารทั้งหลายเชือกตกมัน มีมันไหลเยิ้มแตกซาบซ่าน ย่อมย่ำยีนคร                           ทั้งหลาย และเข่นฆ่าประชาชนได้ แต่ไม่สามารถจะย่ำยีเสนาแห่ง                           มัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๖๗] นายขมังธนูทั้งหลาย แม้มีมืออันได้ฝึกฝนมาดีแล้ว สามารถยิงธนูได้ไกล                           และยิงไม่พลาด ก็ไม่สามารถจะยิงต่อต้านมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น                           ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๖๘] สระทั้งหลาย และมหาปฐพีกับทั้งภูเขาราวป่า ย่อมเสื่อมสิ้นไป สังขาร                           ทั้งปวงนั้น จะตั้งอยู่นานสักเท่าไร ก็ย่อมเสื่อมสิ้นไป เพราะสังขาร                           ทั้งปวงนั้น ครั้นถึงการกำหนดแล้วย่อมจะแตกทำลายไป เพราะเหตุ                           นั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๖๙] แท้จริง ชีวิตของสัตว์ทั้งมวล ทั้งเป็นสตรีและบุรุษในโลกนี้ เป็นของ                           หวั่นไหว เหมือนแผ่นผ้าของนักเลงสุรา และต้นไม้เกิดใกล้ฝั่ง เป็นของ                           หวั่นไหว ไม่ยั่งยืนฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวช                           ประพฤติธรรม.              [๒๒๗๐] ผลไม้ที่สุกแล้วย่อมหล่นร่วง ฉันใด สัตว์ทั้งหลาย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ ทั้ง                           ปานกลาง ทั้งหญิง ทั้งชาย ย่อมเป็นผู้มีสรีระทำลายหล่นไป ฉันนั้น                           เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๗๑] พระจันทร์ ผู้เป็นราชาแห่งดวงดาวเป็นฉันใด วัยนี้หาเป็นฉันนั้นไม่                           เพราะส่วนใดล่วงลงไปแล้ว ส่วนนั้นก็เป็นอันล่วงไปแล้ว ในบัดนี้                           แม้ความยินดีในกามคุณของคนแก่ย่อมไม่มี ความสุขจะมีมาแต่ไหน                           เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๗๒] ยักษ์ก็ดี ปีศาจก็ดี หรือเปรตก็ดี โกรธเคืองแล้วย่อมเข้าสิงมนุษย์ได้                           แต่ไม่สามารถจะเข้าสิงมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิด                           ว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๗๓] มนุษย์ทั้งหลายย่อมกระทำการบวงสรวงยักษ์ ปีศาจ หรือเปรตทั้งหลาย                           ผู้โกรธเคืองแล้วได้ แต่ไม่สามารถจะบวงสรวงแก่มัจจุราชได้ เพราะ                           เหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๗๔] พระราชาทรงรู้โทษแล้ว ย่อมลงอาชญากะบุคคลผู้กระทำความผิด ผู้                           ประทุษร้ายต่อราชสมบัติ และผู้เบียดเบียนประชาชน ตามสมควร แต่                           ไม่สามารถจะลงอาชญามัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึง                           คิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๗๕] ชนทั้งหลายผู้กระทำความผิดก็ดี ผู้ประทุษร้ายราชสมบัติก็ดี ผู้เบียดเบียน                           ประชาชนก็ดี ย่อมจะยังพระราชาให้ทรงพระกรุณาได้ แต่หาทำให้                           มัจจุราชกรุณาได้ไม่ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวช                           ประพฤติธรรม.              [๒๒๗๖] มัจจุราชมิได้มีความอาลัยใยดีว่า ผู้นี้เป็นกษัตริย์ ผู้นี้เป็นพราหมณ์                           ผู้นี้มั่งคั่ง ผู้นี้มีกำลัง ผู้นี้มีเดชานุภาพ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้า                           จึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๗๗] ราชสีห์ก็ดี เสือโคร่งก็ดี เสือเหลืองก็ดี ย่อมข่มขี่เคี้ยวกินสัตว์ผู้ดิ้นรน                           อยู่ได้ แต่ไม่สามารถจะเคี้ยวกินมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้า                           จึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๗๘] นักเล่นกลทั้งหลาย เมื่อกระทำกลมายา ณ ท่ามกลางสนาม ย่อมลวง                           นัยน์ตาของประชาชนในที่นั้นๆ ให้หลงเชื่อได้ แต่ไม่สามารถจะลวง                           มัจจุราชให้หลงเชื่อได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวช                           ประพฤติธรรม.              [๒๒๗๙] อสรพิษที่มีพิษร้าย โกรธขึ้นมาแล้วย่อมขบกัดมนุษย์ให้ถึงตายได้ แต่                           ไม่สามารถจะขบกัดมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า                           จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๘๐] อสรพิษโกรธขึ้นแล้วขบกัดผู้ใด หมอทั้งหลาย ย่อมถอนพิษที่ผู้นั้นได้                           แต่จะถอนพิษ ของผู้ถูกมัจจุราชประทุษร้ายหาไม่ได้ เพราะเหตุนั้น                           ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๘๑] แพทย์ผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ คือ แพทย์ธรรมมนตรี แพทย์เวตตรุณ                           แพทย์โภชะ กำจัดพิษพระยานาคได้ แต่แพทย์เหล่านั้นต้องทำ                           กาลกิริยานอนตาย เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวช                           ประพฤติธรรม.              [๒๒๘๒] พวกวิชาธร เมื่อร่ายวิชาชื่อโฆระ ย่อมหายตัวไปได้ด้วยโอสถทั้งหลาย                           แต่จะหายตัวไม่ให้มัจจุราชเห็นไม่ได้เลย เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้า                           จึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.              [๒๒๘๓] ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อม                           นำความสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้มีปกติ                           ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ.              [๒๒๘๔] สภาพทั้ง ๒ คือ ธรรมและอธรรม มีวิบากไม่เสมอกัน อธรรมย่อมนำ                           ไปสู่นรก ธรรมย่อมให้ถึงสุคติ.
จบ อโยฆรชาดกที่ ๑๔.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น