๑. อาวาริยชาดก การกระทำที่ไม่เจริญด้วยโภคะ [๘๓๑] ดูกรมหาบพิตรผู้เป็นจอมภูมิดล จอมพลรถ ขอมหาบพิตรอย่าทรงพระ พิโรธ ขอมหาบพิตรอย่าทรงพระพิโรธ พระราชาไม่ทรงพระพิโรธต่อ บุคคลที่โกรธ อันชาวแว่นแคว้นบูชาแล้วในบ้านหรือในป่า ในที่ลุ่ม หรือในที่ดอนก็ตาม อาตมภาพย่อมตามสอนอรรถทุกอย่าง อย่าทรง พระพิโรธเลย. [๘๓๒] ณ แม่น้ำแห่งหนึ่ง มีนายเรือจ้างชื่อว่าอาวาริยบิดา ข้ามส่งคนเสีย ก่อน แล้วจึงเรียกค่าจ้างเมื่อภายหลัง เพราะเหตุนั้น นายเรือจ้างนั้น จึงเกิดทะเลาะกัน และไม่เจริญด้วยโภคสมบัติทั้งหลาย. [๘๓๓] ดูกรพ่อนายเรือจ้าง ท่านจงขอเรียกค่าจ้างคนที่ยังไม่ข้ามถึงฝั่งเสียให้ เสร็จทีเดียว เพราะว่า คนที่ข้ามถึงฝั่งแล้วมีใจเป็นอย่างหนึ่ง คนที่ ปรารถนาจะข้ามไปฝั่งโน้น ก็มีใจเป็นอย่างหนึ่ง. [๘๓๔] ดูกรนายเรือจ้าง จะเป็นที่บ้านหรือที่ป่า ที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ฉัน พร่ำสอนทุกอย่าง ท่านอย่าโกรธเลย. [๘๓๕] พระราชาพระราชทานบ้านส่วย เพราะวาจาเครื่องพร่ำสอนใด นาย เรือจ้างได้ตบปากดาบส เพราะวาจาเครื่องพร่ำสอนนั้นนั่นแหละ. [๘๓๖] นายเรือจ้างทุบสำรับ ถีบภรรยา ลูกไหลตกลงยังแผ่นดิน เขาไม่อาจ ทำประโยชน์ให้เจริญขึ้นได้ เหมือนกับเนื้อไม่อาจทำประโยชน์ให้เจริญ ได้ถ้วยทองคำ ฉะนั้น.จบ อาวาริยชาดกที่ ๑. ๒. เสตเกตุชาดก ว่าด้วยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นทิศ [๘๓๗] พ่อเอ๋ย อย่าโกรธเลย เพราะความโกรธไม่ดี ทิศที่เจ้าไม่ได้ยินได้ฟังมี เป็นอันมาก พ่อเสตเกตุเอ๋ย มารดาบิดาชื่อว่า เป็นทิศ พระอริยเจ้า ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญอาจารย์ว่า เป็นทิศ. [๘๓๘] คฤหัสถ์ทั้งหลายผู้ให้ข้าว น้ำ และผ้า ผู้ให้มารับ ท่านก็กล่าวว่า เป็นทิศ เสตเกตุเอ๋ย บุคคลผู้มีความทุกข์ถึงทิศใดแล้วกลับเป็นผู้มีความสุข ทิศ นั้นชื่อว่า เป็นทิศสูงสุด. [๘๓๙] ชฎิลเหล่าใด นุ่งหนังเสือเหลืองทั้งเล็บ มีฟันเขรอะ รูปร่างมอมแมม สาธยายมนต์อยู่ ชฎิลเหล่านั้น ตั้งอยู่ในความเพียรที่มนุษย์ควรทำ เจน จัดโลกนี้ จะพ้นจากอบายได้ละหรือ? [๘๔๐] ข้าแต่พระราชา บุคคลแม้จะมีเวทมนต์ตั้งพัน เป็นพหูสูต กระทำแต่ กรรมอันลามกทั้งหลาย ไม่พึงประพฤติธรรม ผู้นั้น อาศัยความเป็น พหูสูตนั้น ไม่ประพฤติจรณธรรม จะพึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้. [๘๔๑] บุคคลแม้มีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยความเป็นพหูสูตนั้น แต่ไม่ประพฤติ จรณธรรม พึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราย่อมสำคัญว่า เวททั้งหลาย ย่อมไม่มีผล การประพฤติสำรวมด้วยดีนั่นแล เป็นความ จริงแท้. [๘๔๒] เวททั้งหลายจะไม่มีผลเลยนั้นหามิได้ การประพฤติสำรวมด้วยดีนั่นแล เป็นความจริงแท้ บุคคลเรียนเวททั้งหลายแล้ว ย่อมได้รับเกียรติ บุคคล ฝึกฝนตนด้วยจรณธรรม ย่อมถึงสันติ.จบ เสตเกตุชาดกที่ ๒. ๓. ทรีมุขชาดก ว่าด้วยโทษของกาม [๘๔๓] ดูกรมหาบพิตร กามทั้งหลายเหมือนสวะ กามทั้งหลายเหมือนหล่ม อนึ่ง กามนี้ นักปราชญ์กล่าวว่า เป็นภัยใหญ่หลวง มั่นคง ไม่หวั่นไหว อาตมภาพขอถวายพระพรว่า กามเป็นธุลี และเป็นควัน ขอพระองค์ จงทรงละกาม เสด็จออกทรงผนวชเสียเถิด. [๘๔๔] ดูกรพราหมณ์ ข้าพเจ้ายังกำหนัดยินดีลุ่มหลงในกามทั้งหลายอยู่ ยังมี ความต้องการความเป็นอยู่อย่างนี้ จึงไม่สามารถจะละกามอันน่ากลัวนั้น ได้ แต่ข้าพเจ้าจะกระทำบุญเป็นอันมาก. [๘๔๕] ผู้ใด อันบุคคลผู้หวังความเจริญรุ่งเรือง อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์ กล่าว ตักเตือนอยู่ ก็ไม่ทำตามคำสอน ยังสำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ ผู้ นั้น เป็นคนเขลา จะต้องเกิดอยู่ร่ำไป. [๘๔๖] ผู้นั้นเมื่อเข้าถึงท้องมารดา ชื่อว่า เข้าถึงนรกอันร้ายกาจ เป็นของไม่งาม ของท่านผู้งดงาม เต็มไปด้วยมูตรและกรีส สัตว์เหล่าใด ยังกำหนัด ยัง ไม่ปราศจากความรักใคร่ในกามทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้น ก็ละกายของตน ไปไม่ได้. [๘๔๗] สัตว์เหล่านี้ ย่อมแปดเปื้อนด้วยมูตร คูถ เลือด และเศลษคลอดออก มา ในเวลานั้น ย่อมจะถูกต้องส่วนใดส่วนหนึ่งด้วยกาย ส่วนนั้น ล้วนไม่น่ายินดี มีแต่ทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น. [๘๔๘] อาตมภาพกล่าวมาประมาณเท่านี้ ไม่ใช่ว่าได้ยินได้ฟังมาจากสมณะหรือ หรือพราหมณ์อื่น กล่าวเพราะได้เห็นมาเอง อาตมภาพระลึกชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อทรีมุข ยังพระเจ้าพรหมทัตต์ผู้มี พระปรีชาเฉลียวฉลาดให้ทรงเชื่อถือ ด้วยคาถาเป็นสุภาษิตมีเนื้อความ อันวิจิตร.จบ ทรีมุขชาดกที่ ๓. ๔. เนรุชาดก อานุภาพของเนรุบรรพต [๘๔๙] กาป่า กาบ้าน และพวกเราที่ประเสริฐกว่านกทั้งหลาย มาจับที่ภูเขาลูก นี้แล้ว ย่อมเหมือนกันทั้งหมดทีเดียว. [๘๕๐] ราชสีห์ เสือโคร่ง นก และเนื้อทั้งหลายซึ่งอยู่ที่ภูเขานี้ ย่อมมีสีกาย เหมือนกันทั้งหมด ภูเขาลูกนี้ชื่อว่าอะไร? [๘๕๑] มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรู้จักภูเขาอันอุดมนี้ว่า เนรุบรรพต สัตว์ทุกชนิดอยู่ ที่เนรุบรรพตนี้ ย่อมมีสีกายเหมือนทอง. [๘๕๒] การไม่นับถือก็ดี การดูหมิ่นก็ดี การเสมอกันกับคนเลวก็ดี จะพึงมี แก่บัณฑิตทั้งหลายในที่ใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่พอใจอยู่ในที่นั้น. [๘๕๓] คนเกียจคร้านกับคนขยัน คนกล้าหาญกับคนขลาด มีผู้บูชาเสมอกันในที่ ใด สัตบุรุษ ย่อมไม่อยู่ในที่นั้น ซึ่งเป็นภูเขาที่ไม่สามารถจะแบ่งคนให้ แปลกกันได้. [๘๕๔] เนรุบรรพตนี้ ย่อมไม่จำแนกคนชั้นเลว คนชั้นกลาง และคนชั้นสูง ทำให้เหมือนกันไปเสียหมด มิฉะนั้น เราจะละเนรุบรรพตนี้ไปเสีย.จบ เนรุชาดกที่ ๔. ๕. อาสังกชาดก ว่าด้วยความหวัง [๘๕๕] เถาวัลย์ชื่อว่าอาสาวดี เกิดในสวนจิตรลดา เถาวัลย์อาสาวดีนั้น นับได้ ๑,๐๐๐ ปี จึงเกิดผลสักครั้งหนึ่ง. [๘๕๖] เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น พวกเทวดาก็ยังหมั่นเข้าไปดูเถาวัลย์นั้น เสมอ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังย่อม มีผลเป็นความสุข. [๘๕๗] นกยังหวังสำเร็จได้เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น ความหวังของนกนี้ ยังสำเร็จได้ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังมี ผลเป็นความสุข. [๘๕๘] เจ้ายังให้เราเอิบอิ่มด้วยถ้อยคำ แต่ไม่ยังเราให้เอิบอิ่มไปด้วยการกระทำ เปรียบเหมือนดอกหงอนไก่ มีแต่สี ไม่มีกลิ่น ฉะนั้น. [๘๕๙] บุคคลใด ไม่ให้ ไม่แบ่งปันโภคสมบัติลงได้ ย่อมพูดวาจาที่อ่อนหวาน แต่ไร้ผลในมิตรทั้งหลาย ความสนิทสนมกับบุคคลนั้น ย่อมไม่ยืดยาว. [๘๖๐] บุคคลทำสิ่งใด พึงพูดถึงสิ่งนั้น ไม่พึงทำสิ่งใด ไม่พึงกล่าวถึงสิ่งนั้น บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมติเตียนคนดีแต่พูดแต่ไม่ทำ [๘๖๑] เมื่อเราจะอยู่ในที่นี้อีกต่อไป พลนิกายของเราก็ร่อยหรอลงไป ทั้งสะเบียง อาหารก็จะไม่มี เรารังเกียจถึงชีวิตของตนเองจะไม่ยั่งยืน ผิฉะนั้น เรา ขอลาไปเดี๋ยวนี้. [๘๖๒] ข้าแต่พระมหาราชผู้ประเสริฐ พระดำรัสที่พระองค์ตรัสนี้แล เป็นชื่อ ชื่อของหม่อมฉัน ขอพระองค์เสด็จไปตรัสบอกชื่อของหม่อมฉันกับ บิดาเถิด.จบ อาสังกชาดกที่ ๕. ๖. มิคาโลปชาดก ว่าด้วยโทษของคนหัวดื้อ [๘๖๓] ลูกมิคาโลปะเอ๋ย ฉันไม่ชอบใจการที่เจ้าบินไปไกลเช่นนั้นเลย เจ้าบิน ไกลเกินไป ไปซ่องเสพภูมิสถานอันไม่สมควร. [๘๖๔] ลูกเอ๋ย แผ่นดินพึงปรากฏแก่เจ้าเหมือนคันนา ๔ มุม เจ้าจงกลับจากที่ นั้นเสีย อย่าบินเลยจากที่นั้นไปเป็นอันขาด. [๘๖๕] แม้แร้งตัวอื่นๆ ที่มีปีกบินไปในอากาศมีอยู่มาก แร้งเหล่านั้นมาสำคัญ เสมอด้วยแผ่นดินและภูเขา ถูกกำลังลมพัดคร่าไป พากันพินาศ หมดแล้ว. [๘๖๖] แร้งชื่อมิคาโลปะ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของแร้งชื่ออปรัณณะผู้บิดา ซึ่ง เป็นผู้เจริญด้วยคุณสมบัติ บินผ่านลมกาลวาตขึ้นไปตกอยู่ในอำนาจของ ลมเวรัมภวาต. [๘๖๗] บุตรและภรรยาของแร้งมิคาโลปะนั้น และแร้งอื่นที่อาศัยแร้งนั้นอยู่ พา กันถึงความพินาศสิ้น เพราะแร้งมิคาโลปะ ไม่กระทำตามโอวาทของบิดา. [๘๖๘] ผู้ใด ในโลกนี้ ไม่เชื่อฟังคำของผู้เจริญ ผู้นั้น ย่อมถึงความพินาศ เพราะ ไม่ทำตามคำสอนของท่านผู้รู้ ดุจแร้งละเมิดคำสั่งสอน บินเลยเขตแดน ถึงความพินาศหมด ฉะนั้น.จบ มิคาโลปชาดกที่ ๖. ๗. สิริกาฬกัณณิชาดก ว่าด้วยสิริกับกาฬกรรณี [๘๖๙] ท่านเป็นใครหนอ มีผิวพรรณดำ ไม่น่ารักน่าดูเลย ท่านเป็นใคร หรือ เป็นธิดาของใคร จะรู้จักท่านได้อย่างไร? [๘๗๐] ฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าวิรูปักษ์ เป็นหญิงดุร้าย เป็นหญิงกาฬี ไม่มีบุญ ทวยเทพรู้จักเราว่า เป็นหญิงกาฬกรรณี ฉันขอพักอาศัยอยู่ ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด. [๘๗๑] ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางกาฬี เราถาม ท่าน ท่านจงบอกเรา เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร? [๘๗๒] บุรุษใด ลบหลู่คุณท่าน ตีเสมอท่าน แข่งดี ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด และได้ทรัพย์มาแล้ว ย่อมพินาศหมดไป บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของเรา. [๘๗๓] บุรุษใด เป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธไว้ ส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน มีวาจา กระด้าง หยาบคาย บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉันยิ่งกว่าบุรุษคนก่อน นั้นอีก. [๘๗๔] บุรุษไม่รู้จักประโยชน์ของตนว่า กรรมนี้ควรทำวันนี้ กรรมนี้ควรทำ พรุ่งนี้ เป็นคนสำคัญตนว่า ดีกว่าเขา เมื่อถูกตักเตือนก็โกรธเคือง. [๘๗๕] บุรุษผู้อันความคะนองในกามคุณครอบงำเป็นนิตย์ ย่อมเสื่อมจากมิตร ทุกคน บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉัน ถ้าฉันได้บุรุษเช่นนั้นแล้ว จะไม่ เกี่ยวข้องในบุรุษอื่นเลย. [๘๗๖] แน่ะนางกาฬี เจ้าจงหลีกไปเสียจากที่นี้ อุปกิเลสมีความลบหลู่เป็นต้น ที่กระทำความรักใคร่ของเจ้านั้น ไม่มีในเรา เจ้าจงไปยังชนบท นิคม และราชธานีอื่นเสียเถิด. [๘๗๗] แม้ฉันก็รู้จักสิ่งที่ทำความพอใจให้แก่ฉัน มีความลบหลู่คุณท่านเป็นตน นี้ว่า ไม่มีอยู่ในท่าน คนไร้ปัญญามีอยู่ในโลก ย่อมรวบรวมเอาทรัพย์ ไว้มากมาย ฉัน และพี่ของฉัน ผู้เป็นเทพบุตร ทั้งสองคนจะช่วยกัน กำจัดทรัพย์ที่คนไม่มีปัญญารวบรวมไว้เสียก็ได้. [๘๗๘] ท่านเป็นใครหนอ มีรัศมีเป็นทิพย์ ยืนอยู่ที่แผ่นดินอย่างเรียบร้อย ท่าน เป็นใคร หรือเป็นธิดาของใคร เราจะรู้จักท่านอย่างไร. [๘๗๙] ดิฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าธตรฐ ผู้มีสิริ ข้าพเจ้ามีสิริด้วย มี บุญด้วย ทวยเทพรู้จักข้าพเจ้าว่า มีปัญญาดุจแผ่นดิน ดิฉันขอพัก อาศัยอยู่ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด. [๘๘๐] ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางลักขี ข้าพเจ้า ถามท่าน ท่านจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร? [๘๘๑] บุรุษใด เมื่อหนาว ร้อน ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน มีอยู่ ก็ครอบงำความหิวความกระหายทั้งหมด ประกอบการงานทั้งหลาย มิได้ขาด ทั้งกลางคืนกลางวัน ไม่ทำประโยชน์ที่มาถึงตามกาลให้เสื่อม เสียไป บุรุษนั้น เป็นที่พอใจของดิฉัน ดิฉันตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษนั้น. [๘๘๒] อนึ่ง บุรุษใด เป็นคนไม่โกรธ มีมิตรดี ชอบบริจาคทาน มีศีล ไม่ โอ้อวด เป็นคนตรง สงเคราะห์มิตร มีวาจาอ่อนหวานไพเราะ แม้ได้ รับแต่งตั้งเป็นใหญ่โต ก็ยังประพฤติถ่อมตนอยู่ ดิฉันพอใจในบุรุษนั้น เป็นอย่างมาก ดุจคลื่นทะเลปรากฏแก่คนที่มองดูสีน้ำทะเลเหมือนมีมาก ฉะนั้น. [๘๘๓] อนึ่ง บุรุษใด ประพฤติสังคหธรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในมิตร หรือผู้ที่มิใช่มิตร ในคนที่ประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน หรือคนที่เลว กว่า คนที่ประพฤติประโยชน์ หรือคนที่ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่กล่าววาจาหยาบคายในกาลไหนๆ ดิฉันจะขอคบบุรุษนั้น ทั้งเมื่อ เขาตายแล้วและเป็นอยู่. [๘๘๔] บุรุษใด เป็นคนไม่มีปัญญา ปรารถนาสิริที่คนพอใจ ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคุณตามที่กล่าวมาแล้วนี้ แล้วลืมเสีย ดิฉันขอเว้นบุรุษนั้น ผู้ประพฤติลุ่มๆ ดอนๆ เป็นเหตุเดือดร้อน เหมือนบุคคลเว้นหลุ่มคูถ ห่างไกล ฉะนั้น. [๘๘๕] บุคคลย่อมทำความดี และความชั่วด้วยตนเอง คนอื่นจะทำความดี หรือ ความชั่วให้แก่คนอื่นไม่ได้เลย.จบ สิริกาฬกัณณิชาดกที่ ๗. ![]()
๘. กุกกุฏชาดก ผลของการไม่เชื่อง่าย [๘๘๖] ข้าแต่ท่านผู้มีขนปีกอันวิจิตรตระการตา มีหงอนงามสง่า อาจจะไปใน อากาศได้โดยฉับพลัน เชิญท่านลงมากจากกิ่งไม้เสียเถิด ฉันจะยอม เป็นภรรยาของท่านโดยไม่รับมูลค่าอันใดเลย. [๘๘๗] ดูกรนางแมวรูปงามน่ารื่นรมย์ใจ เจ้ามีสี่เท้า เรามีสองเท้า เจ้าเป็นแมว เราเป็นไก่ ไม่สมควรกันเลย เชิญเจ้าไปแสวงหาสามีอื่นเถิด. [๘๘๘] ฉันจะเป็นนางกุมาริกาของท่าน มีวาจาอ่อนหวาน พูดน่ารัก ของท่าน จงรับฉันผู้มีความงาม ประพฤติธรรมอันประเสริฐ ไว้ด้วยการได้อันดี งามเถิด. [๘๘๙] แน่ะนางขโมย เลอะเทอะไปด้วยเลือดเหมือนซากศพ ชอบกัดกินไข่ เจ้าไม่ได้ปรารถนาเราเป็นสามีโดยการได้อย่างดีดอก. [๘๙๐] หญิงทั้งหลายประกอบด้วยวาจามีองค์ ๔ เห็นชายดีเข้าแล้ว ย่อมชักนำ ไปด้วยวาจาอ่อนหวาน เหมือนนางแมวชักชวนพระยาไก่ ฉะนั้น. [๘๙๑] ก็ผู้ใด ไม่รู้ประโยชน์อันเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้น ย่อมตกไปสู่อำนาจ ศัตรู และจะต้องเดือดร้อนในภายหลัง. [๘๙๒] ส่วนผู้ใด รู้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้น ย่อมพ้นจากความ เบียดเบียนของศัตรู เหมือนพระยาไก่หลุดพ้นจากนางแมว ฉะนั้น.จบ กุกกุฏชาดกที่ ๘. ๙. ธัมมัทธชชาดก พูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง [๘๙๓] ดูกรญาติทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงประพฤติธรรม ท่านทั้งหลายจง ประพฤติธรรมอยู่เสมอๆ เถิด ความเจริญจะมีแก่ท่านทั้งหลาย ผู้ ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า. [๘๙๔] กาตัวนี้เจริญดีจริงหนอ ประพฤติธรรมอย่างสูง ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว ย่อมพร่ำสอนแต่ธรรมเท่านั้นแก่พวกเรา. [๘๙๕] ท่านทั้งหลายไม่รู้จักปกติของมัน จึงพากันสรรเสริญเพราะความไม่รู้ เท่าทัน มันกินไข่และลูกนกแล้วก็ร้องว่า ธัมโม ธัมโม. [๘๙๖] กาตัวนี้พูดด้วยวาจาเป็นอย่างหนึ่ง กระทำด้วยกายเป็นอย่างหนึ่ง ประพฤติ ธรรมเพียงวาจา แต่ไม่กระทำด้วยกาย เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ตั้งอยู่ใน ธรรมเลย. [๘๙๗] กานี้เป็นสัตว์มีถ้อยคำอ่อนหวาน มีใจรู้ได้ยาก เปรียบเหมือนงูเห่าปกปิด ร่างกายด้วยปล่อง หรือเปรียบเหมือนคนผู้เอาธรรมบังหน้า คนโง่ไม่รู้ จริงพากันยกย่องว่า เป็นคนดีในหมู่บ้านและในนิคม ฉะนั้น. [๘๙๘] ท่านทั้งหลายจงช่วยกันประหารกาลามกตัวนี้ ด้วยจะงอยปาก ด้วยปีก และด้วยเท้าให้มันพินาศไป กาตัวนี้ไม่ควรจะอยู่ร่วมกับพวกเรา.จบ ธัมมัทธชชาดกที่ ๙. ๑๐. นันทิยมิคราชชาดก ว่าด้วยพระยาเนื้อนันทิยะ [๘๙๙] ข้าแต่พราหมณ์ ถ้าท่านจะไปยังเมืองสาเกตุ โปรดช่วยส่งข่าวบุตรของ ข้าพเจ้าชื่อนันทิยะ ผู้อยู่ในพระราชอุทยานชื่ออัญญชนวันว่า มารดา บิดาของท่านแก่แล้ว ปรารถนาจะได้เห็นท่าน. [๙๐๐] ดูกรพราหมณ์ เหยื่อ คือ น้ำและหญ้าของพระราชา ข้าพเจ้าบริโภค แล้ว เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ทำกิจของพระราชาให้เป็นผลสำเร็จ ก็ไม่สามารถ บริโภคราชทรัพย์ให้เป็นการบริโภคชั่วได้. [๙๐๑] ข้าพเจ้าจะยืนหันข้างให้พระราชาผู้ทรงพระแสงธนู เมื่อใด เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็จะพ้นจากมรณภัย มีความสุข ได้พบเห็นมารดา. [๙๐๒] เมื่อก่อน เราเป็นพระยาเนื้อชื่อว่านันทิยะ มีรูปงาม อาศัยพระราช- อุทยานของพระเจ้าโกศล. [๙๐๓] พระเจ้าโกศลเสด็จมาที่พระราชอุทยานชื่ออัญชนวันนั้น ทรงโก่งธนูสอด ลูกศร หมายจะทรงยิงเรา. [๙๐๔] เรายืนหันข้างให้พระเจ้าโกศลผู้ทรงพระแสงธนู เมื่อใด เมื่อนั้น เรา พ้นจากมรณภัย มีความสุข กลับมาหามารดา.จบ นันทิยมิคราชชาดกที่ ๑๐.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
อาวาริยชาดก
ป้ายกำกับ:
อาวาริยชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น