วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อาวาริยชาดก

๑. อาวาริยชาดก
การกระทำที่ไม่เจริญด้วยโภคะ
             [๘๓๑] ดูกรมหาบพิตรผู้เป็นจอมภูมิดล จอมพลรถ ขอมหาบพิตรอย่าทรงพระ                           พิโรธ ขอมหาบพิตรอย่าทรงพระพิโรธ พระราชาไม่ทรงพระพิโรธต่อ                           บุคคลที่โกรธ อันชาวแว่นแคว้นบูชาแล้วในบ้านหรือในป่า ในที่ลุ่ม                           หรือในที่ดอนก็ตาม อาตมภาพย่อมตามสอนอรรถทุกอย่าง อย่าทรง                           พระพิโรธเลย.              [๘๓๒] ณ แม่น้ำแห่งหนึ่ง มีนายเรือจ้างชื่อว่าอาวาริยบิดา ข้ามส่งคนเสีย                           ก่อน แล้วจึงเรียกค่าจ้างเมื่อภายหลัง เพราะเหตุนั้น นายเรือจ้างนั้น                           จึงเกิดทะเลาะกัน และไม่เจริญด้วยโภคสมบัติทั้งหลาย.              [๘๓๓] ดูกรพ่อนายเรือจ้าง ท่านจงขอเรียกค่าจ้างคนที่ยังไม่ข้ามถึงฝั่งเสียให้                           เสร็จทีเดียว เพราะว่า คนที่ข้ามถึงฝั่งแล้วมีใจเป็นอย่างหนึ่ง คนที่                           ปรารถนาจะข้ามไปฝั่งโน้น ก็มีใจเป็นอย่างหนึ่ง.              [๘๓๔] ดูกรนายเรือจ้าง จะเป็นที่บ้านหรือที่ป่า ที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ฉัน                           พร่ำสอนทุกอย่าง ท่านอย่าโกรธเลย.              [๘๓๕] พระราชาพระราชทานบ้านส่วย เพราะวาจาเครื่องพร่ำสอนใด นาย                           เรือจ้างได้ตบปากดาบส เพราะวาจาเครื่องพร่ำสอนนั้นนั่นแหละ.              [๘๓๖] นายเรือจ้างทุบสำรับ ถีบภรรยา ลูกไหลตกลงยังแผ่นดิน เขาไม่อาจ                           ทำประโยชน์ให้เจริญขึ้นได้ เหมือนกับเนื้อไม่อาจทำประโยชน์ให้เจริญ                           ได้ถ้วยทองคำ ฉะนั้น.
จบ อาวาริยชาดกที่ ๑.
๒. เสตเกตุชาดก
ว่าด้วยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นทิศ
             [๘๓๗] พ่อเอ๋ย อย่าโกรธเลย เพราะความโกรธไม่ดี ทิศที่เจ้าไม่ได้ยินได้ฟังมี                           เป็นอันมาก พ่อเสตเกตุเอ๋ย มารดาบิดาชื่อว่า เป็นทิศ พระอริยเจ้า                           ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญอาจารย์ว่า เป็นทิศ.              [๘๓๘] คฤหัสถ์ทั้งหลายผู้ให้ข้าว น้ำ และผ้า ผู้ให้มารับ ท่านก็กล่าวว่า เป็นทิศ                           เสตเกตุเอ๋ย บุคคลผู้มีความทุกข์ถึงทิศใดแล้วกลับเป็นผู้มีความสุข ทิศ                           นั้นชื่อว่า เป็นทิศสูงสุด.              [๘๓๙] ชฎิลเหล่าใด นุ่งหนังเสือเหลืองทั้งเล็บ มีฟันเขรอะ รูปร่างมอมแมม                           สาธยายมนต์อยู่ ชฎิลเหล่านั้น ตั้งอยู่ในความเพียรที่มนุษย์ควรทำ เจน                           จัดโลกนี้ จะพ้นจากอบายได้ละหรือ?              [๘๔๐] ข้าแต่พระราชา บุคคลแม้จะมีเวทมนต์ตั้งพัน เป็นพหูสูต กระทำแต่                           กรรมอันลามกทั้งหลาย ไม่พึงประพฤติธรรม ผู้นั้น อาศัยความเป็น                           พหูสูตนั้น ไม่ประพฤติจรณธรรม จะพึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้.              [๘๔๑] บุคคลแม้มีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยความเป็นพหูสูตนั้น แต่ไม่ประพฤติ                           จรณธรรม พึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราย่อมสำคัญว่า                           เวททั้งหลาย ย่อมไม่มีผล การประพฤติสำรวมด้วยดีนั่นแล เป็นความ                           จริงแท้.              [๘๔๒] เวททั้งหลายจะไม่มีผลเลยนั้นหามิได้ การประพฤติสำรวมด้วยดีนั่นแล                           เป็นความจริงแท้ บุคคลเรียนเวททั้งหลายแล้ว ย่อมได้รับเกียรติ บุคคล                           ฝึกฝนตนด้วยจรณธรรม ย่อมถึงสันติ.
จบ เสตเกตุชาดกที่ ๒.
๓. ทรีมุขชาดก
ว่าด้วยโทษของกาม
             [๘๔๓] ดูกรมหาบพิตร กามทั้งหลายเหมือนสวะ กามทั้งหลายเหมือนหล่ม อนึ่ง                           กามนี้ นักปราชญ์กล่าวว่า เป็นภัยใหญ่หลวง มั่นคง ไม่หวั่นไหว                           อาตมภาพขอถวายพระพรว่า กามเป็นธุลี และเป็นควัน ขอพระองค์                           จงทรงละกาม เสด็จออกทรงผนวชเสียเถิด.              [๘๔๔] ดูกรพราหมณ์ ข้าพเจ้ายังกำหนัดยินดีลุ่มหลงในกามทั้งหลายอยู่ ยังมี                           ความต้องการความเป็นอยู่อย่างนี้ จึงไม่สามารถจะละกามอันน่ากลัวนั้น                           ได้ แต่ข้าพเจ้าจะกระทำบุญเป็นอันมาก.              [๘๔๕] ผู้ใด อันบุคคลผู้หวังความเจริญรุ่งเรือง อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์ กล่าว                           ตักเตือนอยู่ ก็ไม่ทำตามคำสอน ยังสำคัญว่า สิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ ผู้                           นั้น เป็นคนเขลา จะต้องเกิดอยู่ร่ำไป.              [๘๔๖] ผู้นั้นเมื่อเข้าถึงท้องมารดา ชื่อว่า เข้าถึงนรกอันร้ายกาจ เป็นของไม่งาม                           ของท่านผู้งดงาม เต็มไปด้วยมูตรและกรีส สัตว์เหล่าใด ยังกำหนัด ยัง                           ไม่ปราศจากความรักใคร่ในกามทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้น ก็ละกายของตน                           ไปไม่ได้.              [๘๔๗] สัตว์เหล่านี้ ย่อมแปดเปื้อนด้วยมูตร คูถ เลือด และเศลษคลอดออก                           มา ในเวลานั้น ย่อมจะถูกต้องส่วนใดส่วนหนึ่งด้วยกาย ส่วนนั้น                           ล้วนไม่น่ายินดี มีแต่ทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น.              [๘๔๘] อาตมภาพกล่าวมาประมาณเท่านี้ ไม่ใช่ว่าได้ยินได้ฟังมาจากสมณะหรือ                           หรือพราหมณ์อื่น กล่าวเพราะได้เห็นมาเอง อาตมภาพระลึกชาติก่อนๆ                           ได้เป็นอันมาก พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อทรีมุข ยังพระเจ้าพรหมทัตต์ผู้มี                           พระปรีชาเฉลียวฉลาดให้ทรงเชื่อถือ ด้วยคาถาเป็นสุภาษิตมีเนื้อความ                           อันวิจิตร.
จบ ทรีมุขชาดกที่ ๓.
๔. เนรุชาดก
อานุภาพของเนรุบรรพต
             [๘๔๙] กาป่า กาบ้าน และพวกเราที่ประเสริฐกว่านกทั้งหลาย มาจับที่ภูเขาลูก                           นี้แล้ว ย่อมเหมือนกันทั้งหมดทีเดียว.              [๘๕๐] ราชสีห์ เสือโคร่ง นก และเนื้อทั้งหลายซึ่งอยู่ที่ภูเขานี้ ย่อมมีสีกาย                           เหมือนกันทั้งหมด ภูเขาลูกนี้ชื่อว่าอะไร?              [๘๕๑] มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรู้จักภูเขาอันอุดมนี้ว่า เนรุบรรพต สัตว์ทุกชนิดอยู่                           ที่เนรุบรรพตนี้ ย่อมมีสีกายเหมือนทอง.              [๘๕๒] การไม่นับถือก็ดี การดูหมิ่นก็ดี การเสมอกันกับคนเลวก็ดี จะพึงมี                           แก่บัณฑิตทั้งหลายในที่ใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่พอใจอยู่ในที่นั้น.              [๘๕๓] คนเกียจคร้านกับคนขยัน คนกล้าหาญกับคนขลาด มีผู้บูชาเสมอกันในที่                           ใด สัตบุรุษ ย่อมไม่อยู่ในที่นั้น ซึ่งเป็นภูเขาที่ไม่สามารถจะแบ่งคนให้                           แปลกกันได้.              [๘๕๔] เนรุบรรพตนี้ ย่อมไม่จำแนกคนชั้นเลว คนชั้นกลาง และคนชั้นสูง                           ทำให้เหมือนกันไปเสียหมด มิฉะนั้น เราจะละเนรุบรรพตนี้ไปเสีย.
จบ เนรุชาดกที่ ๔.
๕. อาสังกชาดก
ว่าด้วยความหวัง
             [๘๕๕] เถาวัลย์ชื่อว่าอาสาวดี เกิดในสวนจิตรลดา เถาวัลย์อาสาวดีนั้น นับได้                           ๑,๐๐๐ ปี จึงเกิดผลสักครั้งหนึ่ง.              [๘๕๖] เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น พวกเทวดาก็ยังหมั่นเข้าไปดูเถาวัลย์นั้น                           เสมอ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังย่อม                           มีผลเป็นความสุข.              [๘๕๗] นกยังหวังสำเร็จได้เมื่อผลมีอยู่ห่างไกลถึงเพียงนั้น ความหวังของนกนี้                           ยังสำเร็จได้ ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงหวังไว้เถิด ความหวังมี                           ผลเป็นความสุข.              [๘๕๘] เจ้ายังให้เราเอิบอิ่มด้วยถ้อยคำ แต่ไม่ยังเราให้เอิบอิ่มไปด้วยการกระทำ                           เปรียบเหมือนดอกหงอนไก่ มีแต่สี ไม่มีกลิ่น ฉะนั้น.              [๘๕๙] บุคคลใด ไม่ให้ ไม่แบ่งปันโภคสมบัติลงได้ ย่อมพูดวาจาที่อ่อนหวาน                           แต่ไร้ผลในมิตรทั้งหลาย ความสนิทสนมกับบุคคลนั้น ย่อมไม่ยืดยาว.              [๘๖๐] บุคคลทำสิ่งใด พึงพูดถึงสิ่งนั้น ไม่พึงทำสิ่งใด ไม่พึงกล่าวถึงสิ่งนั้น                           บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมติเตียนคนดีแต่พูดแต่ไม่ทำ              [๘๖๑] เมื่อเราจะอยู่ในที่นี้อีกต่อไป พลนิกายของเราก็ร่อยหรอลงไป ทั้งสะเบียง                           อาหารก็จะไม่มี เรารังเกียจถึงชีวิตของตนเองจะไม่ยั่งยืน ผิฉะนั้น เรา                           ขอลาไปเดี๋ยวนี้.              [๘๖๒] ข้าแต่พระมหาราชผู้ประเสริฐ พระดำรัสที่พระองค์ตรัสนี้แล เป็นชื่อ                           ชื่อของหม่อมฉัน ขอพระองค์เสด็จไปตรัสบอกชื่อของหม่อมฉันกับ                           บิดาเถิด.
จบ อาสังกชาดกที่ ๕.
๖. มิคาโลปชาดก
ว่าด้วยโทษของคนหัวดื้อ
             [๘๖๓] ลูกมิคาโลปะเอ๋ย ฉันไม่ชอบใจการที่เจ้าบินไปไกลเช่นนั้นเลย เจ้าบิน                           ไกลเกินไป ไปซ่องเสพภูมิสถานอันไม่สมควร.              [๘๖๔] ลูกเอ๋ย แผ่นดินพึงปรากฏแก่เจ้าเหมือนคันนา ๔ มุม เจ้าจงกลับจากที่                           นั้นเสีย อย่าบินเลยจากที่นั้นไปเป็นอันขาด.              [๘๖๕] แม้แร้งตัวอื่นๆ ที่มีปีกบินไปในอากาศมีอยู่มาก แร้งเหล่านั้นมาสำคัญ                           เสมอด้วยแผ่นดินและภูเขา ถูกกำลังลมพัดคร่าไป พากันพินาศ                           หมดแล้ว.              [๘๖๖] แร้งชื่อมิคาโลปะ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของแร้งชื่ออปรัณณะผู้บิดา ซึ่ง                           เป็นผู้เจริญด้วยคุณสมบัติ บินผ่านลมกาลวาตขึ้นไปตกอยู่ในอำนาจของ                           ลมเวรัมภวาต.              [๘๖๗] บุตรและภรรยาของแร้งมิคาโลปะนั้น และแร้งอื่นที่อาศัยแร้งนั้นอยู่ พา                           กันถึงความพินาศสิ้น เพราะแร้งมิคาโลปะ ไม่กระทำตามโอวาทของบิดา.              [๘๖๘] ผู้ใด ในโลกนี้ ไม่เชื่อฟังคำของผู้เจริญ ผู้นั้น ย่อมถึงความพินาศ เพราะ                           ไม่ทำตามคำสอนของท่านผู้รู้ ดุจแร้งละเมิดคำสั่งสอน บินเลยเขตแดน                           ถึงความพินาศหมด ฉะนั้น.
จบ มิคาโลปชาดกที่ ๖.
๗. สิริกาฬกัณณิชาดก
ว่าด้วยสิริกับกาฬกรรณี
             [๘๖๙] ท่านเป็นใครหนอ มีผิวพรรณดำ ไม่น่ารักน่าดูเลย ท่านเป็นใคร หรือ                           เป็นธิดาของใคร จะรู้จักท่านได้อย่างไร?              [๘๗๐] ฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าวิรูปักษ์ เป็นหญิงดุร้าย เป็นหญิงกาฬี                           ไม่มีบุญ ทวยเทพรู้จักเราว่า เป็นหญิงกาฬกรรณี ฉันขอพักอาศัยอยู่                           ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด.              [๘๗๑] ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางกาฬี เราถาม                           ท่าน ท่านจงบอกเรา เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร?              [๘๗๒] บุรุษใด ลบหลู่คุณท่าน ตีเสมอท่าน แข่งดี ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด                           และได้ทรัพย์มาแล้ว ย่อมพินาศหมดไป บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของเรา.              [๘๗๓] บุรุษใด เป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธไว้ ส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน มีวาจา                           กระด้าง หยาบคาย บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉันยิ่งกว่าบุรุษคนก่อน                           นั้นอีก.              [๘๗๔] บุรุษไม่รู้จักประโยชน์ของตนว่า กรรมนี้ควรทำวันนี้ กรรมนี้ควรทำ                           พรุ่งนี้ เป็นคนสำคัญตนว่า ดีกว่าเขา เมื่อถูกตักเตือนก็โกรธเคือง.              [๘๗๕] บุรุษผู้อันความคะนองในกามคุณครอบงำเป็นนิตย์ ย่อมเสื่อมจากมิตร                           ทุกคน บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉัน ถ้าฉันได้บุรุษเช่นนั้นแล้ว จะไม่                           เกี่ยวข้องในบุรุษอื่นเลย.              [๘๗๖] แน่ะนางกาฬี เจ้าจงหลีกไปเสียจากที่นี้ อุปกิเลสมีความลบหลู่เป็นต้น                           ที่กระทำความรักใคร่ของเจ้านั้น ไม่มีในเรา เจ้าจงไปยังชนบท นิคม                           และราชธานีอื่นเสียเถิด.              [๘๗๗] แม้ฉันก็รู้จักสิ่งที่ทำความพอใจให้แก่ฉัน มีความลบหลู่คุณท่านเป็นตน                           นี้ว่า ไม่มีอยู่ในท่าน คนไร้ปัญญามีอยู่ในโลก ย่อมรวบรวมเอาทรัพย์                           ไว้มากมาย ฉัน และพี่ของฉัน ผู้เป็นเทพบุตร ทั้งสองคนจะช่วยกัน                           กำจัดทรัพย์ที่คนไม่มีปัญญารวบรวมไว้เสียก็ได้.              [๘๗๘] ท่านเป็นใครหนอ มีรัศมีเป็นทิพย์ ยืนอยู่ที่แผ่นดินอย่างเรียบร้อย ท่าน                           เป็นใคร หรือเป็นธิดาของใคร เราจะรู้จักท่านอย่างไร.              [๘๗๙] ดิฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าธตรฐ ผู้มีสิริ ข้าพเจ้ามีสิริด้วย มี                           บุญด้วย ทวยเทพรู้จักข้าพเจ้าว่า มีปัญญาดุจแผ่นดิน ดิฉันขอพัก                           อาศัยอยู่ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด.              [๘๘๐] ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางลักขี ข้าพเจ้า                           ถามท่าน ท่านจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร?              [๘๘๑] บุรุษใด เมื่อหนาว ร้อน ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน                           มีอยู่ ก็ครอบงำความหิวความกระหายทั้งหมด ประกอบการงานทั้งหลาย                           มิได้ขาด ทั้งกลางคืนกลางวัน ไม่ทำประโยชน์ที่มาถึงตามกาลให้เสื่อม                           เสียไป บุรุษนั้น เป็นที่พอใจของดิฉัน ดิฉันตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษนั้น.              [๘๘๒] อนึ่ง บุรุษใด เป็นคนไม่โกรธ มีมิตรดี ชอบบริจาคทาน มีศีล ไม่                           โอ้อวด เป็นคนตรง สงเคราะห์มิตร มีวาจาอ่อนหวานไพเราะ แม้ได้                           รับแต่งตั้งเป็นใหญ่โต ก็ยังประพฤติถ่อมตนอยู่ ดิฉันพอใจในบุรุษนั้น                           เป็นอย่างมาก ดุจคลื่นทะเลปรากฏแก่คนที่มองดูสีน้ำทะเลเหมือนมีมาก                           ฉะนั้น.              [๘๘๓] อนึ่ง บุรุษใด ประพฤติสังคหธรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในมิตร                           หรือผู้ที่มิใช่มิตร ในคนที่ประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน หรือคนที่เลว                           กว่า คนที่ประพฤติประโยชน์ หรือคนที่ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์                           ไม่กล่าววาจาหยาบคายในกาลไหนๆ ดิฉันจะขอคบบุรุษนั้น ทั้งเมื่อ                           เขาตายแล้วและเป็นอยู่.              [๘๘๔] บุรุษใด เป็นคนไม่มีปัญญา ปรารถนาสิริที่คนพอใจ ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง                           บรรดาคุณตามที่กล่าวมาแล้วนี้ แล้วลืมเสีย ดิฉันขอเว้นบุรุษนั้น                           ผู้ประพฤติลุ่มๆ ดอนๆ เป็นเหตุเดือดร้อน เหมือนบุคคลเว้นหลุ่มคูถ                           ห่างไกล ฉะนั้น.              [๘๘๕] บุคคลย่อมทำความดี และความชั่วด้วยตนเอง คนอื่นจะทำความดี หรือ                           ความชั่วให้แก่คนอื่นไม่ได้เลย.
จบ สิริกาฬกัณณิชาดกที่ ๗.
๘. กุกกุฏชาดก
ผลของการไม่เชื่อง่าย
             [๘๘๖] ข้าแต่ท่านผู้มีขนปีกอันวิจิตรตระการตา มีหงอนงามสง่า อาจจะไปใน                           อากาศได้โดยฉับพลัน เชิญท่านลงมากจากกิ่งไม้เสียเถิด ฉันจะยอม                           เป็นภรรยาของท่านโดยไม่รับมูลค่าอันใดเลย.              [๘๘๗] ดูกรนางแมวรูปงามน่ารื่นรมย์ใจ เจ้ามีสี่เท้า เรามีสองเท้า เจ้าเป็นแมว                           เราเป็นไก่ ไม่สมควรกันเลย เชิญเจ้าไปแสวงหาสามีอื่นเถิด.              [๘๘๘] ฉันจะเป็นนางกุมาริกาของท่าน มีวาจาอ่อนหวาน พูดน่ารัก ของท่าน                           จงรับฉันผู้มีความงาม ประพฤติธรรมอันประเสริฐ ไว้ด้วยการได้อันดี                           งามเถิด.              [๘๘๙] แน่ะนางขโมย เลอะเทอะไปด้วยเลือดเหมือนซากศพ ชอบกัดกินไข่                           เจ้าไม่ได้ปรารถนาเราเป็นสามีโดยการได้อย่างดีดอก.              [๘๙๐] หญิงทั้งหลายประกอบด้วยวาจามีองค์ ๔ เห็นชายดีเข้าแล้ว ย่อมชักนำ                           ไปด้วยวาจาอ่อนหวาน เหมือนนางแมวชักชวนพระยาไก่ ฉะนั้น.              [๘๙๑] ก็ผู้ใด ไม่รู้ประโยชน์อันเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้น ย่อมตกไปสู่อำนาจ                           ศัตรู และจะต้องเดือดร้อนในภายหลัง.              [๘๙๒] ส่วนผู้ใด รู้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้น ย่อมพ้นจากความ                           เบียดเบียนของศัตรู เหมือนพระยาไก่หลุดพ้นจากนางแมว ฉะนั้น.
จบ กุกกุฏชาดกที่ ๘.
๙. ธัมมัทธชชาดก
พูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง
             [๘๙๓] ดูกรญาติทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงประพฤติธรรม ท่านทั้งหลายจง                           ประพฤติธรรมอยู่เสมอๆ เถิด ความเจริญจะมีแก่ท่านทั้งหลาย ผู้                           ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า.              [๘๙๔] กาตัวนี้เจริญดีจริงหนอ ประพฤติธรรมอย่างสูง ยืนอยู่ด้วยเท้าข้างเดียว                           ย่อมพร่ำสอนแต่ธรรมเท่านั้นแก่พวกเรา.              [๘๙๕] ท่านทั้งหลายไม่รู้จักปกติของมัน จึงพากันสรรเสริญเพราะความไม่รู้                           เท่าทัน มันกินไข่และลูกนกแล้วก็ร้องว่า ธัมโม ธัมโม.              [๘๙๖] กาตัวนี้พูดด้วยวาจาเป็นอย่างหนึ่ง กระทำด้วยกายเป็นอย่างหนึ่ง ประพฤติ                           ธรรมเพียงวาจา แต่ไม่กระทำด้วยกาย เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ตั้งอยู่ใน                           ธรรมเลย.              [๘๙๗] กานี้เป็นสัตว์มีถ้อยคำอ่อนหวาน มีใจรู้ได้ยาก เปรียบเหมือนงูเห่าปกปิด                           ร่างกายด้วยปล่อง หรือเปรียบเหมือนคนผู้เอาธรรมบังหน้า คนโง่ไม่รู้                           จริงพากันยกย่องว่า เป็นคนดีในหมู่บ้านและในนิคม ฉะนั้น.              [๘๙๘] ท่านทั้งหลายจงช่วยกันประหารกาลามกตัวนี้ ด้วยจะงอยปาก ด้วยปีก                           และด้วยเท้าให้มันพินาศไป กาตัวนี้ไม่ควรจะอยู่ร่วมกับพวกเรา.
จบ ธัมมัทธชชาดกที่ ๙.
๑๐. นันทิยมิคราชชาดก
ว่าด้วยพระยาเนื้อนันทิยะ
             [๘๙๙] ข้าแต่พราหมณ์ ถ้าท่านจะไปยังเมืองสาเกตุ โปรดช่วยส่งข่าวบุตรของ                           ข้าพเจ้าชื่อนันทิยะ ผู้อยู่ในพระราชอุทยานชื่ออัญญชนวันว่า มารดา                           บิดาของท่านแก่แล้ว ปรารถนาจะได้เห็นท่าน.              [๙๐๐] ดูกรพราหมณ์ เหยื่อ คือ น้ำและหญ้าของพระราชา ข้าพเจ้าบริโภค                           แล้ว เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ทำกิจของพระราชาให้เป็นผลสำเร็จ ก็ไม่สามารถ                           บริโภคราชทรัพย์ให้เป็นการบริโภคชั่วได้.              [๙๐๑] ข้าพเจ้าจะยืนหันข้างให้พระราชาผู้ทรงพระแสงธนู เมื่อใด เมื่อนั้น                           ข้าพเจ้าก็จะพ้นจากมรณภัย มีความสุข ได้พบเห็นมารดา.              [๙๐๒] เมื่อก่อน เราเป็นพระยาเนื้อชื่อว่านันทิยะ มีรูปงาม อาศัยพระราช-                           อุทยานของพระเจ้าโกศล.              [๙๐๓] พระเจ้าโกศลเสด็จมาที่พระราชอุทยานชื่ออัญชนวันนั้น ทรงโก่งธนูสอด                           ลูกศร หมายจะทรงยิงเรา.              [๙๐๔] เรายืนหันข้างให้พระเจ้าโกศลผู้ทรงพระแสงธนู เมื่อใด เมื่อนั้น เรา                           พ้นจากมรณภัย มีความสุข กลับมาหามารดา.
จบ นันทิยมิคราชชาดกที่ ๑๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น