๑. คิชฌชาดก ผู้ไม่ทำตามคำสอนย่อมพินาศ [๑๒๐๗] ทางบนคิชฌบรรพตชื่อว่า ปริสังกุปถะ เป็นของเก่าแก่ แร้งเลี้ยงดู มารดาบิดาผู้ชราอยู่ที่ทางนั้น. [๑๒๐๘] โดยมากไปเที่ยวหามันข้นงูเหลือมมาให้มารดาบิดาเหล่านั้นกิน ฝ่ายบิดา รู้ว่าแร้งสุปัตผู้ลูกมีปีกแข็งแล้ว กล้าหาญ มักร่อนขึ้นไปสูง เที่ยวไป ไกลๆ จึงได้กล่าวสอนลูกว่า. [๑๒๐๙] ลูกเอ๋ย เมื่อใด เจ้ารู้ว่าแผ่นดินอันทะเลล้อมรอบ กลมดังกงจักร ลอย อยู่บนน้ำเหมือนใบบัว เมื่อนั้น เจ้าจงกลับเสียจากที่นั้น อย่าบินต่อ จากนั้นไปอีกเลย. [๑๒๑๐] แร้งสุปัตเป็นสัตว์มีกำลังมาก ปีกแข็ง ร่างกายสมบูรณ์ บินขึ้นไปถึง อากาศเบื้องบนโดยกำลังเร็ว เมื่อเหลียวกลับมาแลดูภูเขา และป่าไม้ ทั้งหลาย ฯ [๑๒๑๑] ก็ได้แลเห็นแผ่นดินอันทะเลล้อมรอบ กลมดังกงจักร เหมือนกับคำที่ตน ได้ฟังมาจากสำนักแร้งผู้บิดา ฉะนั้น. [๑๒๑๒] แร้งสุปัตนั้น ได้บินล่วงเลยที่นั้นขึ้นไปเบื้องหน้าอีก ยอดลมแรงได้ ประหารแร้งสุปัตผู้มีกำลังมากนั้นให้เป็นจุรณ. [๑๒๑๓] แร้งสุปัตบินเกินไป ไม่สามารถจะกลับจากที่นั้นได้อีก ตกอยู่ในอำนาจ ของลมเวรัพภาวาต ถึงความพินาศแล้ว. [๑๒๑๔] เมื่อแร้งสุปัตไม่ทำตามโอวาทของบิดา บุตรภรรยา และแร้งอื่นๆ ที่ อาศัยเลี้ยงชีพ ก็พากันถึงความพินาศไปด้วยทั้งหมด. [๑๒๑๕] แม้ในศาสนานี้ก็เหมือนกัน ภิกษุใดไม่เชื่อถ้อยฟังคำของผู้ใหญ่ ภิกษุ นั้นเป็นผู้ชื่อว่าล่วงศาสนา ดุจแร้งล่วงเขตแดน ฉะนั้น ผู้ไม่ทำตามคำ สอนของท่านผู้ใหญ่ ย่อมถึงความพินาศทั้งหมด.จบ คิชฌชาดกที่ ๑. ๒. โกสัมพิยชาดก อยู่คนเดียวดีกว่าร่วมกับคนพาล [๑๒๑๖] คนพาลมีเสียงอื้ออึงเหมือนกันหมด สักคนหนึ่งก็ไม่รู้สึกตนว่าเป็นคน พาล เมื่อสงฆ์แตกกัน ก็ไม่รู้เหตุอื่นโดยยิ่งกว่าสงฆ์แตกกันเพราะเรา. [๑๒๑๗] เพราะเป็นคนมีสติหลงลืม ยังพูดว่าตนเป็นบัณฑิต มีวาจาเป็นโคจร ช่าง พูด ย่อมปรารถนาจะให้เสียงออกจากปากอยู่เพียงใด ก็พูดไปเพียงนั้น เขาถูกความทะเลาะนำไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าการทะเลาะนั้นเป็นโทษ. [๑๒๑๘] ก็ชนเหล่าใดเข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้นได้ตี เรา คนโน้นได้ชำนะเรา คนโน้นได้ลักของๆ เรา เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่ระงับเลย. [๑๒๑๙] ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้น ได้ตีเรา คนโน้นได้ชำนะเรา คนโน้นได้ลักของๆ เรา เวรของชน เหล่านั้นย่อมระงับไป. [๑๒๒๐] ในกาลไหนๆ เวรในโลกนี้ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับ เพราะความไม่มีเวร ธรรมนี้เป็นของเก่า. [๑๒๒๑] ก็ชนเหล่าอื่นย่อมไม่รู้สึกว่า พวกเราจะพากันยุบยับในท่ามกลางสงฆ์นี้ ฝ่ายชนเหล่าใดในหมู่นั้นย่อมรู้สึกได้ ความหมายมั่นกันย่อมสงบระงับ ไป เพราะการทำไว้ในใจโดยแยบคายของชนเหล่านั้น. [๑๒๒๒] คนที่ปล้นแว่นแคว้น ชิงทรัพย์สมบัติตัดกระดูกกัน ปลงชีวิตกัน ก็ ยังกลับสามัคคีกันได้ เหตุไรเธอทั้งหลายจึงไม่สามัคคีกันเล่า? [๑๒๒๓] ถ้าจะพึงได้สหายผู้มีปัญญา เป็นนักปราชญ์เที่ยวไปร่วมกัน ผู้มีปกติ อยู่ด้วยกรรมดี พึงครอบงำอันตรายทั้งปวงเสีย แล้วดีใจ มีสติเที่ยวไป กับสหายนั้น. [๑๒๒๔] ถ้าไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญา เป็นนักปราชญ์เที่ยวไปร่วมกัน ผู้มีปกติ อยู่ด้วยกรรมดี พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เหมือนพระราชาทรงสละ แว่นแคว้นเสด็จไปแต่พระองค์เดียว หรือเหมือนช้างมาตังคะเที่ยวไปใน ป่าแต่เชือกเดียว ฉะนั้น. [๑๒๒๕] การเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐกว่า เพราะคุณเครื่องความเป็นสหายย่อมไม่ มีในคนพาล ควรเที่ยวไปแต่ผู้เดียวแต่ไม่ควรทำบาป เหมือนช้างมาตังคะ มีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปในป่า ไม่ทำกรรมชั่ว ฉะนั้น.จบ โกสัมพิยชาดกที่ ๒. ๓. มหาสุวราชชาดก ว่าด้วยสหายย่อมไม่ละทิ้งสหาย [๑๒๒๖] เมื่อใด ต้นไม้มีผลบริบูรณ์ เมื่อนั้น ฝูงนกย่อมพากันมามั่วสุมบริโภค ผลไม้ต้นนั้น ครั้นรู้ว่าต้นไม้นั้นสิ้นผลแล้ว ฝูงนกก็พากันจากต้นไม้นั้น บินไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่. [๑๒๒๗] ดูกรนกแขกเต้าผู้มีจะงอยปากแดง ท่านจงเที่ยวจาริกไปเถิด อย่ามาตาย เสียเลย ทำไมท่านจึงซบเซาอยู่ที่ต้นไม้แห้ง แน่ะนกแขกเต้าผู้มีขนเขียว ดังไพรสณฑ์ในฤดูฝน ขอเชิญท่านบอกเถิด เหตุไรท่านจึงไม่ทิ้งต้นไม้ แห้งไป? [๑๒๒๘] ดูกรพญาหงส์ ชนเหล่าใดเป็นเพื่อนของเพื่อนทั้งหลาย ในคราวร่วม สุขทุกข์จนตลอดชีวิต ชนเหล่านั้นเป็นสัตบุรุษ ระลึกถึงธรรมของ สัตบุรุษ ย่อมละทิ้งสหายผู้สิ้นทรัพย์ หรือยังไม่สิ้นทรัพย์ไปไม่ได้เลย. [๑๒๒๙] ดูกรพญาหงส์ เราก็เป็นผู้หนึ่งในบรรดาสัตบุรุษทั้งหลาย ต้นไม้นี้เป็น ทั้งญาติเป็นทั้งเพื่อนของเรา เราต้องการเพียงเพื่อเป็นอยู่ จึงไม่อาจละทิ้ง ต้นไม้นั้นไปได้ การที่จะละทิ้งไปเพราะมารู้ว่าต้นไม้นั้นสิ้นผลแล้ว ไม่ ยุติธรรมเลย. [๑๒๓๐] ดูกรปักษี ความเป็นสหาย ความไมตรี ความสนิทสนมกัน ท่านทำ ได้เป็นอย่างดีแล้ว ถ้าท่านชอบธรรมนี้ ท่านก็เป็นผู้ควรที่วิญญูชนทั้ง หลายพึงสรรเสริญ. [๑๒๓๑] ดูกรนกแขกเต้าผู้มีปีกเป็นยาน มีคอโค้งเป็นสง่า เราจะให้พรแก่ท่าน ท่านจงเลือกเอาพรตามใจปรารถนาเถิด. [๑๒๓๒] ดูกรพญาหงส์ ถ้าท่านจะให้พรแก่เรา ขอต้นไม้นี้พึงได้มีอายุต่อไป ต้นไม้นั้นจงมีกิ่งมีผลงอกงามดี มีผลมีรสหวาน เหมือนน้ำผึ้งตั้งอยู่อย่าง งามสง่าเถิด. [๑๒๓๓] ดูกรสหาย ท่านจงดูต้นไม้นั้นมีผลมากมาย ขอให้ท่านได้อยู่ร่วมกับต้นมะ เดื่อของท่าน ขอให้ต้นมะเดื่อนั้นจงมีกิ่งก้านมีผลงอกงามดีมีผลมีรส หวานเหมือนน้ำผึ้งตั้งอยู่อย่างงามสง่า. [๑๒๓๔] ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญสุขพร้อมกับพระญาติทั้ง ปวง เหมือนข้าพระบาทมีความสุข เพราะได้เห็นต้นไม้เผล็ดผลในวันนี้ ฉะนั้นเถิด. [๑๒๓๕] ท้าวสักกเทวราช ได้ฟังคำของนกแขกเต้า ทรงทำต้นไม้ให้มีผลแล้ว เสด็จกลับไปสู่เทพนันทวันพร้อมกับมเหสี.จบ มหาสุวราชชาดกที่ ๓. ๔. จุลลสุวกราชชาดก ว่าด้วยผู้รักษาไมตรี [๑๒๓๖] ต้นไม้ทั้งหลายมีใบเขียว มีผลดก มีอยู่เป็นอันมาก เหตุไรพญานก แขกเต้าจึงมีใจยินดีในไม้แห้งผุเล่า? [๑๒๓๗] เราได้กินผลแห่งต้นไม้นี้นับได้หลายปีมาแล้ว ถึงเราจะรู้ว่าต้นไม้นั้นไม่มี ผลแล้ว ก็ต้องรักษาไมตรีให้เหมือนในกาลก่อน. [๑๒๓๘] นกทั้งหลายย่อมละทิ้งต้นไม้แห้งผุ ไม่มีใบ ไม่มีผลไป แน่ะนกแขกเต้า ท่านเห็นโทษอะไรหรือ? [๑๒๓๙] นกเหล่าใด คบหากันเพราะต้องการผลไม้ ครั้นรู้ว่าต้นไม้นี้ไม่มีผลแล้ว ก็ละทิ้งต้นไม้นั้นไปเสีย นกเหล่านั้นโง่เขลา มีความรู้เพื่อประโยชน์ ของตนเท่านั้น มักทำฝักใฝ่แห่งมิตรภาพให้ตกไป. [๑๒๔๐] ดูกรปักษี ความเป็นสหาย ความไมตรี ความสนิทสนมกัน ท่านทำ ไว้เป็นอย่างดีแล้ว ถ้าท่านชอบธรรมนี้ ท่านก็เป็นผู้ควรที่วิญญูชน ทั้งหลายพึงสรรเสริญ. [๑๒๔๑] ดูกรนกแขกเต้าผู้มีปีกเป็นยาน มีคอโค้งเป็นสง่า เราจะให้พรแก่ท่าน ท่านจงเลือกเอาพรตามใจปรารถนาเถิด. [๑๒๔๒] ไฉนข้าพเจ้าจะพึงได้เห็นต้นไม้นั้นกลับมีใบมีผลอีกเล่า ข้าพเจ้าจะยินดี ที่สุด เหมือนคนจนได้ขุมทรัพย์ ฉะนั้น. [๑๒๔๓] ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงวักน้ำอมฤตมาประพรมต้นไม้นั้น กิ่งก้าน แห่งต้นไม้นั้นก็งอกงาม มีร่มเงาชุ่มชื่นน่ารื่นรมย์ใจ. [๑๒๔๔] ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช ขอพระองค์ทรงพระเจริญสุขพร้อมด้วยพระญาติ ทั้งปวง เหมือนข้าพระบาทมีความสุข เพราะได้เห็นต้นไม้เผล็ดผลใน วันนี้ ฉะนั้นเถิด. [๑๒๔๕] ท้าวสักกเทวราชได้ทรงฟังคำของนกแขกเต้า ทรงทำต้นไม้ให้มีผล แล้ว เสด็จกลับไปสู่เทพนันทวันพร้อมกับพระมเหสี.จบ จุลลสุวกราชชาดกที่ ๔. ๕. หริตจชาดก ว่าด้วยกิเลสที่มีกำลังกล้า [๑๒๔๖] ข้าแต่มหาพราหมณ์ โยมได้ยินเขาพูดกันว่า หาริตดาบสบริโภคกาม คำนี้ ไม่เป็นจริงกระมัง ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แลหรือ? [๑๒๔๗] ขอถวายพระพรมหาบพิตร คำที่พระองค์ทรงสดับมาแล้วอย่างใด คำนั้น ก็เป็นจริงอย่างนั้น อาตมภาพเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่ง ความหลง เดินทางผิดแล้ว. [๑๒๔๘] ปัญญาอันละเอียด คิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นเครื่องให้ใจบรรเทา ราคะที่เกิดแล้วของท่าน มีไว้เพื่อประโยชน์อะไร? [๑๒๔๙] ขอถวายพระพรมหาบพิตร กิเลส ๔ อย่างนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มทะ เป็นของมีกำลังกล้าหยาบคายในโลก เมื่อกิเลสเหล่าใดรึงรัดแล้ว ปัญญา ก็ย่อมหยั่งไม่ถึง. [๑๒๕๐] โยมได้ยกย่องท่านแล้วว่า หาริตดาบสเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วย ศีล ประพฤติบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต มีปัญญา. [๑๒๕๑] ขอถวายพระพรมหาบพิตร วิตกอันลามก เป็นไปด้วยการยึดถือนิมิต ว่างาม ประกอบด้วยราคะ ย่อมเบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญายินดีแล้วใน คุณธรรมของฤาษี. [๑๒๕๒] ราคะนี้เกิดขึ้นในสรีระ เกิดขึ้นมาแล้วเป็นของทำลายวรรณะ ท่านจงละ ราคะนั้นเสีย โยมขอนอบน้อมท่าน ท่านเป็นผู้อันชนหมู่มากยกย่อง แล้วว่าเป็นคนมีปัญญา. [๑๒๕๓] กามเหล่านั้นทำแต่ความมืดให้ มีทุกข์มาก มีพิษใหญ่หลวง อาตมภาพจัก ค้นหามูลรากแห่งกามเหล่านั้น จักตัดราคะพร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย. [๑๒๕๔] ครั้นหาริตฤาษีกล่าวอย่างนี้แล้ว มีความบากบั่นอย่างแท้จริง คลายกาม ราคะได้แล้ว ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.จบ หริตจชาดกที่ ๕. ๖. ปทกุศลมาณวชาดก ว่าด้วยภัยที่เกิดแต่ที่พึ่งอาศัย [๑๒๕๕] แม่น้ำคงคา ย่อมพัดพาเอามาณพชื่อปาฏลีผู้มีถ้อยคำอันไพเราะ ได้ศึกษา มามาก ให้ลอยไป ข้าแต่นายผู้ถูกน้ำพัดไป ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน ขอท่านจงให้เพลงขับบทน้อยๆ แก่ข้าพเจ้าสักบทหนึ่งเถิด. [๑๒๕๖] ชนทั้งหลายย่อมรดบุคคล ผู้ที่ได้รับความทุกข์ด้วยน้ำใด ชนทั้งหลาย ย่อมรดบุคคลผู้เร่าร้อนด้วยน้ำใด เราก็จักตายในท่ามกลางน้ำนั้น ภัย เกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. [๑๒๕๗] พืชทั้งหลายงอกงามขึ้นได้บนแผ่นดินใด สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้บน แผ่นดินใด แผ่นดินนั้นก็ทำลายศีรษะของเราแตก ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่ง อาศัยแล้ว. [๑๒๕๘] ชนทั้งหลายย่อมหุงข้าวด้วยไฟใด และกำจัดความหนาวด้วยไฟใด ไฟ นั้นก็มาลวกตัวของเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. [๑๒๕๙] พราหมณ์และกษัตริย์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ย่อมเลี้ยงชีพด้วยข้าวสุก ใด ข้าวสุกที่เรากินแล้ว ก็มาทำเราให้ถึงความพินาศ ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่ง อาศัยแล้ว. [๑๒๖๐] บัณฑิตทั้งหลายย่อมปรารถนาลมในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน ลมนั้นมาพัด ประหารตัวเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. [๑๒๖๑] นกทั้งหลายพากันอาศัยต้นไม้ใด ต้นไม้นั้นก็พ่นไฟออกมา นกทั้งหลาย พากันหลบหนีไป ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. [๑๒๖๒] เรานำเอาหญิงใดผู้มีความโสมนัส ผู้ทัดทรงดอกไม้ มีกายอันประพรม ด้วยจันทน์เหลืองมา หญิงนั้นขับไล่เราให้ออกจากเรือน ภัยเกิดขึ้นแต่ ที่พึ่งอาศัยแล้ว. [๑๒๖๓] เราชื่นชมยินดีด้วยบุตรใด และเราปรารถนาความเจริญให้แก่บุตรใด บุตร นั้นก็มาขับไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว. [๑๒๖๔] ชาวชนบท และชาวนิคมผู้มาประชุมกันแล้วขอจงฟังข้าพเจ้า น้ำมีในที่ ใด ไฟก็มีในที่นั้น ความเกษมสำราญบังเกิดขึ้นแต่ที่ใด ภัยก็บังเกิด ขึ้นแต่ที่นั้น พระราชา และพราหมณ์ปุโรหิต ย่อมพากันปล้นรัฐเสีย เอง ท่านทั้งหลายจงพากันรักษาตนของตนอยู่เถิด ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่ง อาศัยแล้ว.จบ ปทกุศลมาณวชาดกที่ ๖. ๗. โลมสกัสสปชาดก ว่าด้วยตบะเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ [๑๒๖๕] ถ้าท่านนำเอาฤาษีชื่อโลมสกัสสปะมาบูชายัญได้ ท่านพึงได้เป็นพระราชา เสมอด้วยพระอินทร์ไม่รู้แก่ไม่รู้ตายเลย. [๑๒๖๖] อาตมาไม่ปรารถนาแผ่นดินซึ่งมีสมุทรล้อมรอบ มีสาครเป็นขอบเขต พร้อมกับความนินทา ดูกรไสยหะ ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด. [๑๒๖๗] ดูกรพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ การได้ทรัพย์ และความประพฤติ อันไม่เป็นธรรม มีแต่จะให้ถึงความพินาศ. [๑๒๖๘] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตต้องอุ้มบาตรหาเลี้ยงชีพ ความเป็นอยู่นั่นแหละดี กว่า การแสวงหาโดยไม่เป็นธรรมจะดีอะไร. [๑๒๖๙] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตต้องอุ้มบาตรหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ความเป็นอยู่นั่นแหละประเสริฐกว่าความเป็นพระราชาในโลก. [๑๒๗๐] พระจันทร์มีกำลัง พระอาทิตย์มีกำลัง สมณะและพราหมณ์มีกำลัง ฝั่ง แห่งสมุทรก็มีกำลัง หญิงก็มีกำลังยิ่งกว่ากำลังทั้งหลาย. [๑๒๗๑] เพราะพระนางจันทวดีทำให้ฤาษีชื่อโลมสกัสสปะ ผู้มีตบะกล้ามาบูชายัญ เพื่อประโยชน์แก่พระราชบิดาได้. [๑๒๗๒] กรรมที่บุคคลทำด้วยความโลภนั้น เป็นกรรมเผ็ดร้อน มีกามเป็นเหตุ เราจักค้นหามูลรากแห่งกรรมนั้น จักตัดราคะพร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย. [๑๒๗๓] ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพติเตียนกามคุณทั้งหลายในโลกมากมาย ตบะ ธรรมเท่านั้นเป็นคุณธรรมอันประเสริฐกว่ากามคุณทั้งหลาย อาตมภาพจัก เลิกละกามคุณทั้งหลายเสียแล้ว บำเพ็ญตบะ รัฐก็ดี พระนางจันทวดี ก็ดี จงเป็นของพระองค์ตามเดิมเถิด.จบ โลมสกัสสปชาดกที่ ๗. ๘. จักกวากชาดก ว่าด้วยความเป็นอยู่ของนกจักรพราก [๑๒๗๔] ข้าพเจ้าขอถามนกทั้งหลาย ผู้มีสีดังคลุมด้วยผ้าย้อมน้ำฝาด มีใจเพลิด เพลินเที่ยวอยู่ นกทั้งหลายย่อมสรรเสริญชาติของนกอะไรในหมู่มนุษย์ ทั้งหลาย ขอเชิญท่านทั้งสองบอกนกนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด? [๑๒๗๕] ดูกรท่านผู้เบียดเบียนมนุษย์ ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย นกทั้งหลายย่อมกล่าว ถึงข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่านกจักรพราก ติดต่อกันมาว่า ในบรรดานกทั้งหลาย เขายกย่องกันว่า เราเป็นนกที่มีความงดงาม (เราเป็นนกมีรูปร่างงดงาม เที่ยวอยู่ที่สระ) เรามิได้ทำบาปแม้เพราะเหตุแห่งอาหาร. [๑๒๗๖] ดูกรนกจักรพราก ท่านทั้งหลายกินผลไม้อะไรที่สระนี้ หรือว่าท่านกินเนื้อ ที่ไหน หรือว่าท่านกินโภชนาหารอะไร กำลังและวรรณะของท่านจึงไม่ เสื่อมทรามผิดรูปไป? [๑๒๗๗] ดูกรกา ที่สระนี้จะมีผลไม้ก็หาไม่ เนื้อที่นกจักรพรากจะกิน ก็มิได้มีที่ ไหน เราจะกินแต่สาหร่ายกับน้ำ (เรามิได้ทำบาปแม้เพราะเหตุแห่งอาหาร) เราเป็นนกมีรูปร่างงดงามเที่ยวอยู่ที่สระนี้. [๑๒๗๘] ดูกรนกจักรพราก อาหารที่ท่านกินนี้เราไม่ชอบใจ อาหารที่ท่านกินใน ภพนี้อย่างไร ท่านก็คล้ายกันกับอาหารนั้น ครั้งก่อนเราเคยเป็นอย่างนี้มา แล้ว แต่บัดนี้เรากลายเป็นอย่างอื่นไป ด้วยเหตุนี้แหละ เราจึงเกิด ความสงสัยในสีกายของท่าน. [๑๒๗๙] แม้เราได้กินเนื้อ ผลไม้ และข้าวคลุกด้วยเกลือเจือด้วยน้ำมัน เรา ได้กินอาหารมีรสที่เขากินกันในหมู่มนุษย์ จึงได้กล้าหาญเข้าต่อสู่สงคราม ได้ ดูกรนกจักรพราก แต่สีสันวรรณะของเราหาได้เหมือนของท่านไม่. [๑๒๘๐] ดูกรกา ท่านเป็นผู้กินอาหารไม่บริสุทธิ์ มักจะโฉบลงในขณะที่เขา พลั้งเผลอ จะได้กินข้าวน้ำก็โดยยาก ผลไม้ทั้งหลายท่านก็ไม่ชอบใจกิน หรือเนื้อในกลางป่าช้าท่านก็ไม่ชอบใจกิน. [๑๒๘๑] ดูกรกา ผู้ใดอาศัยบริโภคโภคสมบัติด้วยกรรมอันสาหัส มักจะโฉบ ลงในขณะที่เขาพลั้งเผลอ ภายหลังสภาวธรรมก็ย่อมติเตียนผู้นั้น ผู้นั้น ถูกสภาวธรรมติเตียนแล้ว ก็ย่อมละทิ้งสีและกำลังเสีย. [๑๒๘๒] ถ้าผู้ใดได้บริโภคอาหารแม้สักนิดหน่อย ซึ่งเป็นของเย็นไม่เบียดเบียน ผู้อื่นด้วยกรรมอันผลุนผลัน กำลังกายและวรรณะก็ย่อมมีแก่ผู้นั้น วรรณะทั้งปวงจะได้มีแก่ผู้นั้นด้วยอาหารมีประการต่างๆ เท่านั้นก็หาไม่.จบ จักกวากชาดกที่ ๘. ๙. หลิททราคชาดก ว่าด้วยลักษณะของผู้ที่จะคบ [๑๒๘๓] ความอดทนด้วยดีอยู่ในป่า อันมีที่นอนและที่นั่งสงัดเงียบ จะมีผล ดีอะไร ส่วนชนเหล่าใดอดทนอยู่ในบ้าน ชนเหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ กว่าท่าน. [๑๒๘๔] คุณพ่อครับ ผมออกจากป่าไปถึงบ้านแล้ว จะพึงคบหาบุรุษมีศีล อย่างไร มีวัตรอย่างไร ผมถามคุณพ่อแล้ว ขอคุณพ่อช่วยบอกข้อนั้น แก่ผมด้วย? [๑๒๘๕] ลูกเอ๋ย ผู้ใดพึงคุ้นเคยกับเจ้า อดทนต่อความวิสาสะของเจ้าได้ เป็นผู้ตั้งใจฟังคำพูดของเจ้า และอดทนต่อคำพูดของเจ้าได้ เจ้าไปจากที่ นี้แล้วจงคบผู้นั้นเถิด. [๑๒๘๖] ผู้ใดไม่มีกรรมชั่วด้วยกาย วาจา ใจ เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงตั้งตน เหมือนลูกที่เกิดแต่อกของผู้นั้น แล้วจงคบผู้นั้นเถิด. [๑๒๘๗] อนึ่ง ผู้ใดย่อมประพฤติโดยธรรม แม้เมื่อประพฤติอยู่ก็ไม่ถือตัว เจ้า ไปจากที่นี้แล้วจงคบผู้นั้นผู้กระทำกรรมอันบริสุทธิ์มีปัญญาเถิด. [๑๒๘๘] ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าคบบุรุษผู้มีจิตกลับกลอกดุจผ้าที่ย้อมด้วยน้ำขมิ้น รัก ง่ายหน่ายเร็ว ถึงแม้ว่าพื้นชมพูทวีปจะพึงไร้มนุษย์. [๑๒๘๙] เจ้าจงเว้นคนเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล เหมือนบุคคลผู้ละเว้นอสรพิษ ที่ดุร้าย เหมือนบุคคลผู้ละเว้นหนทางที่เปื้อนคูถ และเหมือนบุคคลผู้ไป ด้วยยานละเว้นหนทางขรุขระ ฉะนั้น. [๑๒๙๐] ลูกเอ๋ย ความฉิบหายย่อมเจริญแก่บุคคลผู้คบหาคนพาล เจ้าอย่า สมาคมกับคนพาลเลย การอยู่ร่วมกับคนพาล เป็นทุกข์ทุกเมื่อ ดังอยู่ ร่วมกับศัตรู ฉะนั้น. [๑๒๙๑] ลูกเอ๋ย เพราะเหตุนั้น พ่อจึงขอร้องเจ้า ขอเจ้าจงกระทำตามถ้อย คำของพ่อ เจ้าอย่าสมาคมกับคนพาลเลย เพราะการสมาคมกับคนพาล เป็นทุกข์.จบ หลิททราคชาดกที่ ๙. ๑๐. สมุคคชาดก เปรียบหญิงมีอาการคล้ายก้นเหว [๑๒๙๒] ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านทั้งสามคนพากันมาจากที่ไหนหนอ ท่าน ทั้งหลายมาดีแล้ว เชิญมานั่งที่อาสนะนี้เถิด ท่านผู้เจริญทั้งหลายเห็นจะ จะสุขสบายดี ไม่มีความป่วยไข้กระมัง นานมาแล้ว ท่านทั้งหลายพึ่ง มาในที่นี้? [๑๒๙๓] เราคนเดียวเท่านั้นมาถึงที่นี้ในวันนี้เอง อนึ่ง ใครที่จะเป็นคนที่สอง ของเราก็ไม่มี ข้าแต่พระฤาษี คำที่ท่านกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เจริญ ท่าน ทั้งสามคนพากันมาจากที่ไหนหนอ ดังนี้ หมายถึงอะไร? [๑๒๙๔] ท่านคนหนึ่ง และภรรยาที่รักของท่านที่ท่านใส่ไว้ในสมุคคนหนึ่ง ภรรยา ที่ท่านรักษาไว้ในท้องของท่านทุกเมื่อ ยินดีอยู่กับวิชาธรชื่อว่าวายุบุตร ภายในท้องของท่านนั้นอีกคนหนึ่ง. [๑๒๙๕] อสูรนั้นอันฤาษีชี้แจงให้ฟังแล้ว ก็เกิดความสลดใจ จึงคายสมุค ออกมา ณ ที่นั้น ได้เห็นภรรยาผู้ทัดทรงดอกไม้อันสะอาด ยินดีอยู่กับ วิชาธรชื่อว่าวายุบุตร ในสมุคที่อยู่ในท้องของตนนั้น. [๑๒๙๖] เหตุอันนี้ ท่านผู้ประพฤติตบะชั้นสูงเห็นดีแล้ว นรชนเหล่าใดเป็น คนเลวทราม ตกอยู่ในอำนาจแห่งความชื่นชมยินดี นรชนเหล่านั้นได้ แก่ตัวเราเอง เพราะว่าภรรยาที่เรารักษาไว้ในท้องเพียงดังชีวิต กลับมา ประทุษร้ายเรา ไปชื่นชมยินดีกะบุรุษอื่น. [๑๒๙๗] ภรรยานั้นเราบำรุงบำเรอทั้งกลางวันกลางคืน ดุจไฟอันโชติช่วงที่ดาบสผู้มี ตบะอยู่ในป่าบำเรอฉะนั้น ภรรยานั้นก้าวล่วงธรรมมาประพฤติสิ่งที่ไม่ เป็นธรรม กายเชยชิดสนิทสนมกับภรรยาผู้ร่าเริง เราไม่ควรทำเลย. [๑๒๙๘] เรามาสำคัญเสียว่า ภรรยาอยู่ในท่ามกลางสรีระ และมาสำคัญหญิง ผู้ไม่มีความสงบไม่สำรวมว่า หญิงนี้เป็นภรรยาของเรา ภรรยาของเรานั้น ก้าวล่วงธรรมมาประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม การเชยชิดสนิทสนมกับภรรยา ผู้ร่าเริง เราไม่ควรทำเลย. [๑๒๙๙] บัณฑิตจะพึงวางใจอย่างไรได้ว่า หญิงนี้เรารักษาไว้ดีแล้ว วิธีที่จะ ป้องกันรักษาหญิงผู้มีหลายใจ ไม่พึงมีโดยแท้ เพราะว่าหญิงเหล่านั้นมี อาการคล้ายก้นเหวที่เรียกกันว่าบาดาล บุรุษผู้ประมาทในหญิงเหล่านั้น ย่อมถึงความพินาศทั้งนั้น. [๑๓๐๐] เพราะเหตุนั้นแหละ ชนเหล่าใดไม่เที่ยวคลุกคลีกับมาตุคาม ชนเหล่า นั้นมีความสุขปราศจากความโศก ความประพฤติไม่คลุกคลีกับมาตุคามนี้ เป็นคุณนำความสุขมาให้ บุคคลผู้ปรารถนาความเกษมอันอุดม ไม่พึงทำ ความเชยชิดสนิทสนมกับมาตุคามเลย.จบ สมุคคชาดกที่ ๑๐. ๑๑. ปูติมังสชาดก โทษของการมองในเวลาที่ไม่ควรมอง [๑๓๐๑] ดูกรสหาย การมองดูของสุนัขจิ้งจอกชื่อว่าปูติมังสะ เราไม่พอใจ เสียเลย พึงละเว้นจากสหายเช่นนี้เสียให้ห่างไกล. [๑๓๐๒] นางสุนัขจิ้งจอกชื่อว่าเวนินี้เป็นบ้าไปได้ ย่อมพรรณนาถึงนางแพะ ผู้เป็นสหายให้ผัวฟัง ครั้นนางแพะถอยหลังกลับไปไม่มา ก็นั่งซบเซา ถึงนางแพะผู้มาแล้วถอยหลังกลับไปเสีย. [๑๓๐๓] ดูกรสหาย ท่านนั้นแหละบ้า มีปัญญาทราม ไม่มีปัญญาเครื่องใคร่ ครวญ ท่านทำอุบายล่อลวงว่าตาย ย่อมมองดูโดยกาลอันไม่ควร. [๑๓๐๔] บัณฑิตไม่ควรมองดูในกาลอันไม่ควร ควรมองดูแต่ในกาลอันควร ผู้ใด มองดูในกาลอันไม่ควร ผู้นั้นย่อมซบเซา ดังสุนัขจิ้งจอกชื่อปูติมังสะ ฉะนั้น. [๑๓๐๕] ดูกรสหาย ฉันมีความรัก ท่านจงให้ความอิ่มแก่ฉัน สามีของฉัน กลับฟื้นขึ้น ถ้าท่านรักฉันจงมาไปกับฉันเถิด. [๑๓๐๖] ดูกรสหาย ท่านมีความรักฉันจริง ฉันจะให้ความอิ่มเอิบแก่ท่าน ฉันจักมาพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ท่านจงจัดแจงโภชนาหารไว้เถิด. [๑๓๐๗] บริวารของท่านเช่นไร ฉันจักจัดแจงโภชนาหารเพื่อบริวารเหล่าใด ก็ บริวารเหล่านั้นทั้งหมดมีชื่อว่าอย่างไร ฉันถามท่านถึงบริวารท่าน จงบอก ฉันไปเถิด. [๑๓๐๘] บริวารของฉันเช่นนี้ คือ สุนัขชื่อมาลิยะ ๑ ชื่อจตุรักขะ ๑ ชื่อปิงคิยะ ๑ ชื่อชัมพุกะ ๑ ท่านจงจัดแจงโภชนาหารไว้เพื่อบริวารเหล่านั้นเถิด. [๑๓๐๙] เมื่อท่านออกจากเรือนไป แม้สิ่งของก็จักพินาศหมด คำพูดของสหาย มิได้มีความรังเกียจ ท่านจงอยู่ในที่นี้เถิด อย่าไปเลย.จบ ปูติมังสชาดกที่ ๑๑. ๑๒. ทัททรชาดก คนอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น [๑๓๑๐] ผู้ใดเจ้าให้ข้าวหุงกิน กลับกินลูกทั้งสองของเจ้าซึ่งมิได้มีความผิดเลย เจ้าจงวางเขี้ยวลงบนผู้นั้น อย่าปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปเลย. [๑๓๑๑] บุรุษผู้มีความหยาบช้าร้ายแรง ผู้ลบหลู่ชิ้นผ้าที่ตนนุ่งอยู่ ฉันไม่ขอเห็น มันเลย ฉันจะวางเขี้ยวลงในบุรุษใดเล่า? [๑๓๑๒] อันบุรุษผู้อกตัญญู มักคอยแสวงหาโอกาสอยู่เป็นนิตย์ ถึงจะพึงให้แผ่น ดินทั้งปวง ก็ไม่พึงทำให้บุรุษนั้นชื่นชมยินดีได้เลย. [๑๓๑๓] ดูกรเสือโคร่งชื่อสุพาหุ เพราะเหตุไรหนอท่านจึงรีบด่วนกลับมาพร้อมกับ มาณพ กิจที่เป็นประโยชน์อะไรของท่านมีอยู่ในที่นี้ เราขอถามท่านถึง กิจอันเป็นประโยชน์นั้น ท่านจงบอกแก่เรา? [๑๓๑๔] นกกระทาผู้มีรูปงามตัวใด ซึ่งเป็นสหายของท่าน เราสงสัยว่านกกระทา ตัวนั้นจะถูกฆ่าเสียแล้วในวันนี้ เราได้ฟังเหตุอันเกี่ยวเนื่องด้วยการ กระทำของบุรุษนั้น จึงมิได้สำคัญว่านกกระทาตัวนั้นจะอยู่เป็นสุขในวันนี้. [๑๓๑๕] ท่านได้ฟังเหตุอะไรอันเกี่ยวเนื่องด้วยการกระทำของบุรุษนี้ ในความ ประพฤติเลี้ยงชีพของบุรุษนี้ หรือท่านได้ฟังคำปฏิญาณอะไรของบุรุษนี้ จึงสงสัยว่า นกกระทาถูกมาณพนี้ ฆ่าเสียแล้ว [๑๓๑๖] การค้าขายอันเป็นของชาวเมืองกลิงครัฐ บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติมาแล้ว แม้ หนทางที่มีหลักตอ บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติท่องเที่ยวไปด้วยการรับจ้าง การ ฟ้อนรำขับร้องร่วมกับคนฟ้อนทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติมา ถึงการ รบกันด้วยท่อนไม้ในท่ามกลางมหรสพ บุรุษนี้นี้ก็ได้เคยรบมาแล้ว. [๑๓๑๗] นกทั้งหลายบุรุษนี้ก็ได้ดักมาแล้ว การตวงข้าวเปลือกด้วยเครื่องตวง บุรุษ นี้ก็ได้ตวงมาแล้ว สกาบุรุษนี้ก็ได้ชนะมาแล้ว ความสำรวมระวังบุรุษนี้ ก็ก้าวล่วงเสีย เลือดที่ไหลออกมาตั้งครึ่งคืนบุรุษนี้ก็คัดให้หยุดได้ มือ ทั้งสองของบุรุษนี้มีความร้อนในเวลารับก้อนข้าว. [๑๓๑๘] เราได้ฟังเหตุทั้งหลาย อันเกี่ยวเนื่องด้วยการกระทำของบุรุษนี้ ในความ ประพฤติเลี้ยงชีวิตของบุรุษนี้มาดังนี้ว่า กลุ่มขนนกกระทาก็ยังปรากฏอยู่ บนชฎาของบุรุษนี้ วัวทั้งหลายบุรุษนี้ก็ได้ฆ่ากินแล้ว ไฉนจะไม่ฆ่านก กระทากินเล่า.จบ ทัททรชาดกที่ ๑๒.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
คิชฌชาดก
ป้ายกำกับ:
คิชฌชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น