วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

คิชฌชาดก

๑. คิชฌชาดก
ผู้ไม่ทำตามคำสอนย่อมพินาศ
             [๑๒๐๗] ทางบนคิชฌบรรพตชื่อว่า ปริสังกุปถะ เป็นของเก่าแก่ แร้งเลี้ยงดู                           มารดาบิดาผู้ชราอยู่ที่ทางนั้น.              [๑๒๐๘] โดยมากไปเที่ยวหามันข้นงูเหลือมมาให้มารดาบิดาเหล่านั้นกิน ฝ่ายบิดา                           รู้ว่าแร้งสุปัตผู้ลูกมีปีกแข็งแล้ว กล้าหาญ มักร่อนขึ้นไปสูง เที่ยวไป                           ไกลๆ จึงได้กล่าวสอนลูกว่า.              [๑๒๐๙] ลูกเอ๋ย เมื่อใด เจ้ารู้ว่าแผ่นดินอันทะเลล้อมรอบ กลมดังกงจักร ลอย                           อยู่บนน้ำเหมือนใบบัว เมื่อนั้น เจ้าจงกลับเสียจากที่นั้น อย่าบินต่อ                           จากนั้นไปอีกเลย.              [๑๒๑๐] แร้งสุปัตเป็นสัตว์มีกำลังมาก ปีกแข็ง ร่างกายสมบูรณ์ บินขึ้นไปถึง                           อากาศเบื้องบนโดยกำลังเร็ว เมื่อเหลียวกลับมาแลดูภูเขา และป่าไม้                           ทั้งหลาย ฯ              [๑๒๑๑] ก็ได้แลเห็นแผ่นดินอันทะเลล้อมรอบ กลมดังกงจักร เหมือนกับคำที่ตน                           ได้ฟังมาจากสำนักแร้งผู้บิดา ฉะนั้น.              [๑๒๑๒] แร้งสุปัตนั้น ได้บินล่วงเลยที่นั้นขึ้นไปเบื้องหน้าอีก ยอดลมแรงได้                           ประหารแร้งสุปัตผู้มีกำลังมากนั้นให้เป็นจุรณ.              [๑๒๑๓] แร้งสุปัตบินเกินไป ไม่สามารถจะกลับจากที่นั้นได้อีก ตกอยู่ในอำนาจ                           ของลมเวรัพภาวาต ถึงความพินาศแล้ว.              [๑๒๑๔] เมื่อแร้งสุปัตไม่ทำตามโอวาทของบิดา บุตรภรรยา และแร้งอื่นๆ ที่                           อาศัยเลี้ยงชีพ ก็พากันถึงความพินาศไปด้วยทั้งหมด.              [๑๒๑๕] แม้ในศาสนานี้ก็เหมือนกัน ภิกษุใดไม่เชื่อถ้อยฟังคำของผู้ใหญ่ ภิกษุ                           นั้นเป็นผู้ชื่อว่าล่วงศาสนา ดุจแร้งล่วงเขตแดน ฉะนั้น ผู้ไม่ทำตามคำ                           สอนของท่านผู้ใหญ่ ย่อมถึงความพินาศทั้งหมด.
จบ คิชฌชาดกที่ ๑.
๒. โกสัมพิยชาดก
อยู่คนเดียวดีกว่าร่วมกับคนพาล
             [๑๒๑๖] คนพาลมีเสียงอื้ออึงเหมือนกันหมด สักคนหนึ่งก็ไม่รู้สึกตนว่าเป็นคน                           พาล เมื่อสงฆ์แตกกัน ก็ไม่รู้เหตุอื่นโดยยิ่งกว่าสงฆ์แตกกันเพราะเรา.              [๑๒๑๗] เพราะเป็นคนมีสติหลงลืม ยังพูดว่าตนเป็นบัณฑิต มีวาจาเป็นโคจร ช่าง                           พูด ย่อมปรารถนาจะให้เสียงออกจากปากอยู่เพียงใด ก็พูดไปเพียงนั้น                           เขาถูกความทะเลาะนำไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าการทะเลาะนั้นเป็นโทษ.              [๑๒๑๘] ก็ชนเหล่าใดเข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้นได้ตี                           เรา คนโน้นได้ชำนะเรา คนโน้นได้ลักของๆ เรา เวรของชนเหล่านั้น                           ย่อมไม่ระงับเลย.              [๑๒๑๙] ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้น                           ได้ตีเรา คนโน้นได้ชำนะเรา คนโน้นได้ลักของๆ เรา เวรของชน                           เหล่านั้นย่อมระงับไป.              [๑๒๒๐] ในกาลไหนๆ เวรในโลกนี้ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับ                           เพราะความไม่มีเวร ธรรมนี้เป็นของเก่า.              [๑๒๒๑] ก็ชนเหล่าอื่นย่อมไม่รู้สึกว่า พวกเราจะพากันยุบยับในท่ามกลางสงฆ์นี้                           ฝ่ายชนเหล่าใดในหมู่นั้นย่อมรู้สึกได้ ความหมายมั่นกันย่อมสงบระงับ                           ไป เพราะการทำไว้ในใจโดยแยบคายของชนเหล่านั้น.              [๑๒๒๒] คนที่ปล้นแว่นแคว้น ชิงทรัพย์สมบัติตัดกระดูกกัน ปลงชีวิตกัน ก็                           ยังกลับสามัคคีกันได้ เหตุไรเธอทั้งหลายจึงไม่สามัคคีกันเล่า?              [๑๒๒๓] ถ้าจะพึงได้สหายผู้มีปัญญา เป็นนักปราชญ์เที่ยวไปร่วมกัน ผู้มีปกติ                           อยู่ด้วยกรรมดี พึงครอบงำอันตรายทั้งปวงเสีย แล้วดีใจ มีสติเที่ยวไป                           กับสหายนั้น.              [๑๒๒๔] ถ้าไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญา เป็นนักปราชญ์เที่ยวไปร่วมกัน ผู้มีปกติ                           อยู่ด้วยกรรมดี พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เหมือนพระราชาทรงสละ                           แว่นแคว้นเสด็จไปแต่พระองค์เดียว หรือเหมือนช้างมาตังคะเที่ยวไปใน                           ป่าแต่เชือกเดียว ฉะนั้น.              [๑๒๒๕] การเที่ยวไปผู้เดียวประเสริฐกว่า เพราะคุณเครื่องความเป็นสหายย่อมไม่                           มีในคนพาล ควรเที่ยวไปแต่ผู้เดียวแต่ไม่ควรทำบาป เหมือนช้างมาตังคะ                           มีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปในป่า ไม่ทำกรรมชั่ว ฉะนั้น.
จบ โกสัมพิยชาดกที่ ๒.
๓. มหาสุวราชชาดก
ว่าด้วยสหายย่อมไม่ละทิ้งสหาย
             [๑๒๒๖] เมื่อใด ต้นไม้มีผลบริบูรณ์ เมื่อนั้น ฝูงนกย่อมพากันมามั่วสุมบริโภค                           ผลไม้ต้นนั้น ครั้นรู้ว่าต้นไม้นั้นสิ้นผลแล้ว ฝูงนกก็พากันจากต้นไม้นั้น                           บินไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่.              [๑๒๒๗] ดูกรนกแขกเต้าผู้มีจะงอยปากแดง ท่านจงเที่ยวจาริกไปเถิด อย่ามาตาย                           เสียเลย ทำไมท่านจึงซบเซาอยู่ที่ต้นไม้แห้ง แน่ะนกแขกเต้าผู้มีขนเขียว                           ดังไพรสณฑ์ในฤดูฝน ขอเชิญท่านบอกเถิด เหตุไรท่านจึงไม่ทิ้งต้นไม้                           แห้งไป?              [๑๒๒๘] ดูกรพญาหงส์ ชนเหล่าใดเป็นเพื่อนของเพื่อนทั้งหลาย ในคราวร่วม                           สุขทุกข์จนตลอดชีวิต ชนเหล่านั้นเป็นสัตบุรุษ ระลึกถึงธรรมของ                           สัตบุรุษ ย่อมละทิ้งสหายผู้สิ้นทรัพย์ หรือยังไม่สิ้นทรัพย์ไปไม่ได้เลย.              [๑๒๒๙] ดูกรพญาหงส์ เราก็เป็นผู้หนึ่งในบรรดาสัตบุรุษทั้งหลาย ต้นไม้นี้เป็น                           ทั้งญาติเป็นทั้งเพื่อนของเรา เราต้องการเพียงเพื่อเป็นอยู่ จึงไม่อาจละทิ้ง                           ต้นไม้นั้นไปได้ การที่จะละทิ้งไปเพราะมารู้ว่าต้นไม้นั้นสิ้นผลแล้ว ไม่                           ยุติธรรมเลย.              [๑๒๓๐] ดูกรปักษี ความเป็นสหาย ความไมตรี ความสนิทสนมกัน ท่านทำ                           ได้เป็นอย่างดีแล้ว ถ้าท่านชอบธรรมนี้ ท่านก็เป็นผู้ควรที่วิญญูชนทั้ง                           หลายพึงสรรเสริญ.              [๑๒๓๑] ดูกรนกแขกเต้าผู้มีปีกเป็นยาน มีคอโค้งเป็นสง่า เราจะให้พรแก่ท่าน                           ท่านจงเลือกเอาพรตามใจปรารถนาเถิด.              [๑๒๓๒] ดูกรพญาหงส์ ถ้าท่านจะให้พรแก่เรา ขอต้นไม้นี้พึงได้มีอายุต่อไป                           ต้นไม้นั้นจงมีกิ่งมีผลงอกงามดี มีผลมีรสหวาน เหมือนน้ำผึ้งตั้งอยู่อย่าง                           งามสง่าเถิด.              [๑๒๓๓] ดูกรสหาย ท่านจงดูต้นไม้นั้นมีผลมากมาย ขอให้ท่านได้อยู่ร่วมกับต้นมะ                           เดื่อของท่าน ขอให้ต้นมะเดื่อนั้นจงมีกิ่งก้านมีผลงอกงามดีมีผลมีรส                           หวานเหมือนน้ำผึ้งตั้งอยู่อย่างงามสง่า.              [๑๒๓๔] ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญสุขพร้อมกับพระญาติทั้ง                           ปวง เหมือนข้าพระบาทมีความสุข เพราะได้เห็นต้นไม้เผล็ดผลในวันนี้                           ฉะนั้นเถิด.              [๑๒๓๕] ท้าวสักกเทวราช ได้ฟังคำของนกแขกเต้า ทรงทำต้นไม้ให้มีผลแล้ว                           เสด็จกลับไปสู่เทพนันทวันพร้อมกับมเหสี.
จบ มหาสุวราชชาดกที่ ๓.
๔. จุลลสุวกราชชาดก
ว่าด้วยผู้รักษาไมตรี
             [๑๒๓๖] ต้นไม้ทั้งหลายมีใบเขียว มีผลดก มีอยู่เป็นอันมาก เหตุไรพญานก                           แขกเต้าจึงมีใจยินดีในไม้แห้งผุเล่า?              [๑๒๓๗] เราได้กินผลแห่งต้นไม้นี้นับได้หลายปีมาแล้ว ถึงเราจะรู้ว่าต้นไม้นั้นไม่มี                           ผลแล้ว ก็ต้องรักษาไมตรีให้เหมือนในกาลก่อน.              [๑๒๓๘] นกทั้งหลายย่อมละทิ้งต้นไม้แห้งผุ ไม่มีใบ ไม่มีผลไป แน่ะนกแขกเต้า                           ท่านเห็นโทษอะไรหรือ?              [๑๒๓๙] นกเหล่าใด คบหากันเพราะต้องการผลไม้ ครั้นรู้ว่าต้นไม้นี้ไม่มีผลแล้ว                           ก็ละทิ้งต้นไม้นั้นไปเสีย นกเหล่านั้นโง่เขลา มีความรู้เพื่อประโยชน์                           ของตนเท่านั้น มักทำฝักใฝ่แห่งมิตรภาพให้ตกไป.              [๑๒๔๐] ดูกรปักษี ความเป็นสหาย ความไมตรี ความสนิทสนมกัน ท่านทำ                           ไว้เป็นอย่างดีแล้ว ถ้าท่านชอบธรรมนี้ ท่านก็เป็นผู้ควรที่วิญญูชน                           ทั้งหลายพึงสรรเสริญ.              [๑๒๔๑] ดูกรนกแขกเต้าผู้มีปีกเป็นยาน มีคอโค้งเป็นสง่า เราจะให้พรแก่ท่าน                           ท่านจงเลือกเอาพรตามใจปรารถนาเถิด.              [๑๒๔๒] ไฉนข้าพเจ้าจะพึงได้เห็นต้นไม้นั้นกลับมีใบมีผลอีกเล่า ข้าพเจ้าจะยินดี                           ที่สุด เหมือนคนจนได้ขุมทรัพย์ ฉะนั้น.              [๑๒๔๓] ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงวักน้ำอมฤตมาประพรมต้นไม้นั้น กิ่งก้าน                           แห่งต้นไม้นั้นก็งอกงาม มีร่มเงาชุ่มชื่นน่ารื่นรมย์ใจ.              [๑๒๔๔] ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช ขอพระองค์ทรงพระเจริญสุขพร้อมด้วยพระญาติ                           ทั้งปวง เหมือนข้าพระบาทมีความสุข เพราะได้เห็นต้นไม้เผล็ดผลใน                           วันนี้ ฉะนั้นเถิด.              [๑๒๔๕] ท้าวสักกเทวราชได้ทรงฟังคำของนกแขกเต้า ทรงทำต้นไม้ให้มีผล แล้ว                           เสด็จกลับไปสู่เทพนันทวันพร้อมกับพระมเหสี.
จบ จุลลสุวกราชชาดกที่ ๔.
๕. หริตจชาดก
ว่าด้วยกิเลสที่มีกำลังกล้า
             [๑๒๔๖] ข้าแต่มหาพราหมณ์ โยมได้ยินเขาพูดกันว่า หาริตดาบสบริโภคกาม คำนี้                           ไม่เป็นจริงกระมัง ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แลหรือ?              [๑๒๔๗] ขอถวายพระพรมหาบพิตร คำที่พระองค์ทรงสดับมาแล้วอย่างใด คำนั้น                           ก็เป็นจริงอย่างนั้น อาตมภาพเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่ง                           ความหลง เดินทางผิดแล้ว.              [๑๒๔๘] ปัญญาอันละเอียด คิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นเครื่องให้ใจบรรเทา                           ราคะที่เกิดแล้วของท่าน มีไว้เพื่อประโยชน์อะไร?              [๑๒๔๙] ขอถวายพระพรมหาบพิตร กิเลส ๔ อย่างนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มทะ                           เป็นของมีกำลังกล้าหยาบคายในโลก เมื่อกิเลสเหล่าใดรึงรัดแล้ว ปัญญา                           ก็ย่อมหยั่งไม่ถึง.              [๑๒๕๐] โยมได้ยกย่องท่านแล้วว่า หาริตดาบสเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์ด้วย                           ศีล ประพฤติบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต มีปัญญา.              [๑๒๕๑] ขอถวายพระพรมหาบพิตร วิตกอันลามก เป็นไปด้วยการยึดถือนิมิต                           ว่างาม ประกอบด้วยราคะ ย่อมเบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญายินดีแล้วใน                           คุณธรรมของฤาษี.              [๑๒๕๒] ราคะนี้เกิดขึ้นในสรีระ เกิดขึ้นมาแล้วเป็นของทำลายวรรณะ ท่านจงละ                           ราคะนั้นเสีย โยมขอนอบน้อมท่าน ท่านเป็นผู้อันชนหมู่มากยกย่อง                           แล้วว่าเป็นคนมีปัญญา.              [๑๒๕๓] กามเหล่านั้นทำแต่ความมืดให้ มีทุกข์มาก มีพิษใหญ่หลวง อาตมภาพจัก                           ค้นหามูลรากแห่งกามเหล่านั้น จักตัดราคะพร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย.              [๑๒๕๔] ครั้นหาริตฤาษีกล่าวอย่างนี้แล้ว มีความบากบั่นอย่างแท้จริง คลายกาม                           ราคะได้แล้ว ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.
จบ หริตจชาดกที่ ๕.
๖. ปทกุศลมาณวชาดก
ว่าด้วยภัยที่เกิดแต่ที่พึ่งอาศัย
             [๑๒๕๕] แม่น้ำคงคา ย่อมพัดพาเอามาณพชื่อปาฏลีผู้มีถ้อยคำอันไพเราะ ได้ศึกษา                           มามาก ให้ลอยไป ข้าแต่นายผู้ถูกน้ำพัดไป ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน                           ขอท่านจงให้เพลงขับบทน้อยๆ แก่ข้าพเจ้าสักบทหนึ่งเถิด.              [๑๒๕๖] ชนทั้งหลายย่อมรดบุคคล ผู้ที่ได้รับความทุกข์ด้วยน้ำใด ชนทั้งหลาย                           ย่อมรดบุคคลผู้เร่าร้อนด้วยน้ำใด เราก็จักตายในท่ามกลางน้ำนั้น ภัย                           เกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.              [๑๒๕๗] พืชทั้งหลายงอกงามขึ้นได้บนแผ่นดินใด สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้บน                           แผ่นดินใด แผ่นดินนั้นก็ทำลายศีรษะของเราแตก ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่ง                           อาศัยแล้ว.              [๑๒๕๘] ชนทั้งหลายย่อมหุงข้าวด้วยไฟใด และกำจัดความหนาวด้วยไฟใด ไฟ                           นั้นก็มาลวกตัวของเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.              [๑๒๕๙] พราหมณ์และกษัตริย์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ย่อมเลี้ยงชีพด้วยข้าวสุก                           ใด ข้าวสุกที่เรากินแล้ว ก็มาทำเราให้ถึงความพินาศ ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่ง                           อาศัยแล้ว.              [๑๒๖๐] บัณฑิตทั้งหลายย่อมปรารถนาลมในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน ลมนั้นมาพัด                           ประหารตัวเรา ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.              [๑๒๖๑] นกทั้งหลายพากันอาศัยต้นไม้ใด ต้นไม้นั้นก็พ่นไฟออกมา นกทั้งหลาย                           พากันหลบหนีไป ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.              [๑๒๖๒] เรานำเอาหญิงใดผู้มีความโสมนัส ผู้ทัดทรงดอกไม้ มีกายอันประพรม                           ด้วยจันทน์เหลืองมา หญิงนั้นขับไล่เราให้ออกจากเรือน ภัยเกิดขึ้นแต่                           ที่พึ่งอาศัยแล้ว.              [๑๒๖๓] เราชื่นชมยินดีด้วยบุตรใด และเราปรารถนาความเจริญให้แก่บุตรใด บุตร                           นั้นก็มาขับไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.              [๑๒๖๔] ชาวชนบท และชาวนิคมผู้มาประชุมกันแล้วขอจงฟังข้าพเจ้า น้ำมีในที่                           ใด ไฟก็มีในที่นั้น ความเกษมสำราญบังเกิดขึ้นแต่ที่ใด ภัยก็บังเกิด                           ขึ้นแต่ที่นั้น พระราชา และพราหมณ์ปุโรหิต ย่อมพากันปล้นรัฐเสีย                           เอง ท่านทั้งหลายจงพากันรักษาตนของตนอยู่เถิด ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่ง                           อาศัยแล้ว.
จบ ปทกุศลมาณวชาดกที่ ๖.
๗. โลมสกัสสปชาดก
ว่าด้วยตบะเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ
             [๑๒๖๕] ถ้าท่านนำเอาฤาษีชื่อโลมสกัสสปะมาบูชายัญได้ ท่านพึงได้เป็นพระราชา                           เสมอด้วยพระอินทร์ไม่รู้แก่ไม่รู้ตายเลย.              [๑๒๖๖] อาตมาไม่ปรารถนาแผ่นดินซึ่งมีสมุทรล้อมรอบ มีสาครเป็นขอบเขต                           พร้อมกับความนินทา ดูกรไสยหะ ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.              [๑๒๖๗] ดูกรพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ การได้ทรัพย์ และความประพฤติ                           อันไม่เป็นธรรม มีแต่จะให้ถึงความพินาศ.              [๑๒๖๘] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตต้องอุ้มบาตรหาเลี้ยงชีพ ความเป็นอยู่นั่นแหละดี                           กว่า การแสวงหาโดยไม่เป็นธรรมจะดีอะไร.              [๑๒๖๙] ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตต้องอุ้มบาตรหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น                           ความเป็นอยู่นั่นแหละประเสริฐกว่าความเป็นพระราชาในโลก.              [๑๒๗๐] พระจันทร์มีกำลัง พระอาทิตย์มีกำลัง สมณะและพราหมณ์มีกำลัง ฝั่ง                           แห่งสมุทรก็มีกำลัง หญิงก็มีกำลังยิ่งกว่ากำลังทั้งหลาย.              [๑๒๗๑] เพราะพระนางจันทวดีทำให้ฤาษีชื่อโลมสกัสสปะ ผู้มีตบะกล้ามาบูชายัญ                           เพื่อประโยชน์แก่พระราชบิดาได้.              [๑๒๗๒] กรรมที่บุคคลทำด้วยความโลภนั้น เป็นกรรมเผ็ดร้อน มีกามเป็นเหตุ                           เราจักค้นหามูลรากแห่งกรรมนั้น จักตัดราคะพร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย.              [๑๒๗๓] ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพติเตียนกามคุณทั้งหลายในโลกมากมาย ตบะ                           ธรรมเท่านั้นเป็นคุณธรรมอันประเสริฐกว่ากามคุณทั้งหลาย อาตมภาพจัก                           เลิกละกามคุณทั้งหลายเสียแล้ว บำเพ็ญตบะ รัฐก็ดี พระนางจันทวดี                           ก็ดี จงเป็นของพระองค์ตามเดิมเถิด.
จบ โลมสกัสสปชาดกที่ ๗.
๘. จักกวากชาดก
ว่าด้วยความเป็นอยู่ของนกจักรพราก
             [๑๒๗๔] ข้าพเจ้าขอถามนกทั้งหลาย ผู้มีสีดังคลุมด้วยผ้าย้อมน้ำฝาด มีใจเพลิด                           เพลินเที่ยวอยู่ นกทั้งหลายย่อมสรรเสริญชาติของนกอะไรในหมู่มนุษย์                           ทั้งหลาย ขอเชิญท่านทั้งสองบอกนกนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด?              [๑๒๗๕] ดูกรท่านผู้เบียดเบียนมนุษย์ ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย นกทั้งหลายย่อมกล่าว                           ถึงข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่านกจักรพราก ติดต่อกันมาว่า ในบรรดานกทั้งหลาย                           เขายกย่องกันว่า เราเป็นนกที่มีความงดงาม (เราเป็นนกมีรูปร่างงดงาม                           เที่ยวอยู่ที่สระ) เรามิได้ทำบาปแม้เพราะเหตุแห่งอาหาร.              [๑๒๗๖] ดูกรนกจักรพราก ท่านทั้งหลายกินผลไม้อะไรที่สระนี้ หรือว่าท่านกินเนื้อ                           ที่ไหน หรือว่าท่านกินโภชนาหารอะไร กำลังและวรรณะของท่านจึงไม่                           เสื่อมทรามผิดรูปไป?              [๑๒๗๗] ดูกรกา ที่สระนี้จะมีผลไม้ก็หาไม่ เนื้อที่นกจักรพรากจะกิน ก็มิได้มีที่                           ไหน เราจะกินแต่สาหร่ายกับน้ำ (เรามิได้ทำบาปแม้เพราะเหตุแห่งอาหาร)                           เราเป็นนกมีรูปร่างงดงามเที่ยวอยู่ที่สระนี้.              [๑๒๗๘] ดูกรนกจักรพราก อาหารที่ท่านกินนี้เราไม่ชอบใจ อาหารที่ท่านกินใน                           ภพนี้อย่างไร ท่านก็คล้ายกันกับอาหารนั้น ครั้งก่อนเราเคยเป็นอย่างนี้มา                           แล้ว แต่บัดนี้เรากลายเป็นอย่างอื่นไป ด้วยเหตุนี้แหละ เราจึงเกิด                           ความสงสัยในสีกายของท่าน.              [๑๒๗๙] แม้เราได้กินเนื้อ ผลไม้ และข้าวคลุกด้วยเกลือเจือด้วยน้ำมัน เรา                           ได้กินอาหารมีรสที่เขากินกันในหมู่มนุษย์ จึงได้กล้าหาญเข้าต่อสู่สงคราม                           ได้ ดูกรนกจักรพราก แต่สีสันวรรณะของเราหาได้เหมือนของท่านไม่.              [๑๒๘๐] ดูกรกา ท่านเป็นผู้กินอาหารไม่บริสุทธิ์ มักจะโฉบลงในขณะที่เขา                           พลั้งเผลอ จะได้กินข้าวน้ำก็โดยยาก ผลไม้ทั้งหลายท่านก็ไม่ชอบใจกิน                           หรือเนื้อในกลางป่าช้าท่านก็ไม่ชอบใจกิน.              [๑๒๘๑] ดูกรกา ผู้ใดอาศัยบริโภคโภคสมบัติด้วยกรรมอันสาหัส มักจะโฉบ                           ลงในขณะที่เขาพลั้งเผลอ ภายหลังสภาวธรรมก็ย่อมติเตียนผู้นั้น ผู้นั้น                           ถูกสภาวธรรมติเตียนแล้ว ก็ย่อมละทิ้งสีและกำลังเสีย.              [๑๒๘๒] ถ้าผู้ใดได้บริโภคอาหารแม้สักนิดหน่อย ซึ่งเป็นของเย็นไม่เบียดเบียน                           ผู้อื่นด้วยกรรมอันผลุนผลัน กำลังกายและวรรณะก็ย่อมมีแก่ผู้นั้น                           วรรณะทั้งปวงจะได้มีแก่ผู้นั้นด้วยอาหารมีประการต่างๆ เท่านั้นก็หาไม่.
จบ จักกวากชาดกที่ ๘.
๙. หลิททราคชาดก
ว่าด้วยลักษณะของผู้ที่จะคบ
             [๑๒๘๓] ความอดทนด้วยดีอยู่ในป่า อันมีที่นอนและที่นั่งสงัดเงียบ จะมีผล                           ดีอะไร ส่วนชนเหล่าใดอดทนอยู่ในบ้าน ชนเหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ                           กว่าท่าน.              [๑๒๘๔] คุณพ่อครับ ผมออกจากป่าไปถึงบ้านแล้ว จะพึงคบหาบุรุษมีศีล                           อย่างไร มีวัตรอย่างไร ผมถามคุณพ่อแล้ว ขอคุณพ่อช่วยบอกข้อนั้น                           แก่ผมด้วย?              [๑๒๘๕] ลูกเอ๋ย ผู้ใดพึงคุ้นเคยกับเจ้า อดทนต่อความวิสาสะของเจ้าได้                           เป็นผู้ตั้งใจฟังคำพูดของเจ้า และอดทนต่อคำพูดของเจ้าได้ เจ้าไปจากที่                           นี้แล้วจงคบผู้นั้นเถิด.              [๑๒๘๖] ผู้ใดไม่มีกรรมชั่วด้วยกาย วาจา ใจ เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงตั้งตน                           เหมือนลูกที่เกิดแต่อกของผู้นั้น แล้วจงคบผู้นั้นเถิด.              [๑๒๘๗] อนึ่ง ผู้ใดย่อมประพฤติโดยธรรม แม้เมื่อประพฤติอยู่ก็ไม่ถือตัว เจ้า                           ไปจากที่นี้แล้วจงคบผู้นั้นผู้กระทำกรรมอันบริสุทธิ์มีปัญญาเถิด.              [๑๒๘๘] ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าคบบุรุษผู้มีจิตกลับกลอกดุจผ้าที่ย้อมด้วยน้ำขมิ้น รัก                           ง่ายหน่ายเร็ว ถึงแม้ว่าพื้นชมพูทวีปจะพึงไร้มนุษย์.              [๑๒๘๙] เจ้าจงเว้นคนเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล เหมือนบุคคลผู้ละเว้นอสรพิษ                           ที่ดุร้าย เหมือนบุคคลผู้ละเว้นหนทางที่เปื้อนคูถ และเหมือนบุคคลผู้ไป                           ด้วยยานละเว้นหนทางขรุขระ ฉะนั้น.              [๑๒๙๐] ลูกเอ๋ย ความฉิบหายย่อมเจริญแก่บุคคลผู้คบหาคนพาล เจ้าอย่า                           สมาคมกับคนพาลเลย การอยู่ร่วมกับคนพาล เป็นทุกข์ทุกเมื่อ ดังอยู่                           ร่วมกับศัตรู ฉะนั้น.              [๑๒๙๑] ลูกเอ๋ย เพราะเหตุนั้น พ่อจึงขอร้องเจ้า ขอเจ้าจงกระทำตามถ้อย                           คำของพ่อ เจ้าอย่าสมาคมกับคนพาลเลย เพราะการสมาคมกับคนพาล                           เป็นทุกข์.
จบ หลิททราคชาดกที่ ๙.
๑๐. สมุคคชาดก
เปรียบหญิงมีอาการคล้ายก้นเหว
             [๑๒๙๒] ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านทั้งสามคนพากันมาจากที่ไหนหนอ ท่าน                           ทั้งหลายมาดีแล้ว เชิญมานั่งที่อาสนะนี้เถิด ท่านผู้เจริญทั้งหลายเห็นจะ                           จะสุขสบายดี ไม่มีความป่วยไข้กระมัง นานมาแล้ว ท่านทั้งหลายพึ่ง                           มาในที่นี้?              [๑๒๙๓] เราคนเดียวเท่านั้นมาถึงที่นี้ในวันนี้เอง อนึ่ง ใครที่จะเป็นคนที่สอง                           ของเราก็ไม่มี ข้าแต่พระฤาษี คำที่ท่านกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เจริญ ท่าน                           ทั้งสามคนพากันมาจากที่ไหนหนอ ดังนี้ หมายถึงอะไร?              [๑๒๙๔] ท่านคนหนึ่ง และภรรยาที่รักของท่านที่ท่านใส่ไว้ในสมุคคนหนึ่ง ภรรยา                           ที่ท่านรักษาไว้ในท้องของท่านทุกเมื่อ ยินดีอยู่กับวิชาธรชื่อว่าวายุบุตร                           ภายในท้องของท่านนั้นอีกคนหนึ่ง.              [๑๒๙๕] อสูรนั้นอันฤาษีชี้แจงให้ฟังแล้ว ก็เกิดความสลดใจ จึงคายสมุค                           ออกมา ณ ที่นั้น ได้เห็นภรรยาผู้ทัดทรงดอกไม้อันสะอาด ยินดีอยู่กับ                           วิชาธรชื่อว่าวายุบุตร ในสมุคที่อยู่ในท้องของตนนั้น.              [๑๒๙๖] เหตุอันนี้ ท่านผู้ประพฤติตบะชั้นสูงเห็นดีแล้ว นรชนเหล่าใดเป็น                           คนเลวทราม ตกอยู่ในอำนาจแห่งความชื่นชมยินดี นรชนเหล่านั้นได้                           แก่ตัวเราเอง เพราะว่าภรรยาที่เรารักษาไว้ในท้องเพียงดังชีวิต กลับมา                           ประทุษร้ายเรา ไปชื่นชมยินดีกะบุรุษอื่น.              [๑๒๙๗] ภรรยานั้นเราบำรุงบำเรอทั้งกลางวันกลางคืน ดุจไฟอันโชติช่วงที่ดาบสผู้มี                           ตบะอยู่ในป่าบำเรอฉะนั้น ภรรยานั้นก้าวล่วงธรรมมาประพฤติสิ่งที่ไม่                           เป็นธรรม กายเชยชิดสนิทสนมกับภรรยาผู้ร่าเริง เราไม่ควรทำเลย.              [๑๒๙๘] เรามาสำคัญเสียว่า ภรรยาอยู่ในท่ามกลางสรีระ และมาสำคัญหญิง                           ผู้ไม่มีความสงบไม่สำรวมว่า หญิงนี้เป็นภรรยาของเรา ภรรยาของเรานั้น                           ก้าวล่วงธรรมมาประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม การเชยชิดสนิทสนมกับภรรยา                           ผู้ร่าเริง เราไม่ควรทำเลย.              [๑๒๙๙] บัณฑิตจะพึงวางใจอย่างไรได้ว่า หญิงนี้เรารักษาไว้ดีแล้ว วิธีที่จะ                           ป้องกันรักษาหญิงผู้มีหลายใจ ไม่พึงมีโดยแท้ เพราะว่าหญิงเหล่านั้นมี                           อาการคล้ายก้นเหวที่เรียกกันว่าบาดาล บุรุษผู้ประมาทในหญิงเหล่านั้น                           ย่อมถึงความพินาศทั้งนั้น.              [๑๓๐๐] เพราะเหตุนั้นแหละ ชนเหล่าใดไม่เที่ยวคลุกคลีกับมาตุคาม ชนเหล่า                           นั้นมีความสุขปราศจากความโศก ความประพฤติไม่คลุกคลีกับมาตุคามนี้                           เป็นคุณนำความสุขมาให้ บุคคลผู้ปรารถนาความเกษมอันอุดม ไม่พึงทำ                           ความเชยชิดสนิทสนมกับมาตุคามเลย.
จบ สมุคคชาดกที่ ๑๐.
๑๑. ปูติมังสชาดก
โทษของการมองในเวลาที่ไม่ควรมอง
             [๑๓๐๑] ดูกรสหาย การมองดูของสุนัขจิ้งจอกชื่อว่าปูติมังสะ เราไม่พอใจ                           เสียเลย พึงละเว้นจากสหายเช่นนี้เสียให้ห่างไกล.              [๑๓๐๒] นางสุนัขจิ้งจอกชื่อว่าเวนินี้เป็นบ้าไปได้ ย่อมพรรณนาถึงนางแพะ                           ผู้เป็นสหายให้ผัวฟัง ครั้นนางแพะถอยหลังกลับไปไม่มา ก็นั่งซบเซา                           ถึงนางแพะผู้มาแล้วถอยหลังกลับไปเสีย.              [๑๓๐๓] ดูกรสหาย ท่านนั้นแหละบ้า มีปัญญาทราม ไม่มีปัญญาเครื่องใคร่                           ครวญ ท่านทำอุบายล่อลวงว่าตาย ย่อมมองดูโดยกาลอันไม่ควร.              [๑๓๐๔] บัณฑิตไม่ควรมองดูในกาลอันไม่ควร ควรมองดูแต่ในกาลอันควร ผู้ใด                           มองดูในกาลอันไม่ควร ผู้นั้นย่อมซบเซา ดังสุนัขจิ้งจอกชื่อปูติมังสะ                           ฉะนั้น.              [๑๓๐๕] ดูกรสหาย ฉันมีความรัก ท่านจงให้ความอิ่มแก่ฉัน สามีของฉัน                           กลับฟื้นขึ้น ถ้าท่านรักฉันจงมาไปกับฉันเถิด.              [๑๓๐๖] ดูกรสหาย ท่านมีความรักฉันจริง ฉันจะให้ความอิ่มเอิบแก่ท่าน                           ฉันจักมาพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ท่านจงจัดแจงโภชนาหารไว้เถิด.              [๑๓๐๗] บริวารของท่านเช่นไร ฉันจักจัดแจงโภชนาหารเพื่อบริวารเหล่าใด ก็                           บริวารเหล่านั้นทั้งหมดมีชื่อว่าอย่างไร ฉันถามท่านถึงบริวารท่าน จงบอก                           ฉันไปเถิด.              [๑๓๐๘] บริวารของฉันเช่นนี้ คือ สุนัขชื่อมาลิยะ ๑ ชื่อจตุรักขะ ๑ ชื่อปิงคิยะ                           ๑ ชื่อชัมพุกะ ๑ ท่านจงจัดแจงโภชนาหารไว้เพื่อบริวารเหล่านั้นเถิด.              [๑๓๐๙] เมื่อท่านออกจากเรือนไป แม้สิ่งของก็จักพินาศหมด คำพูดของสหาย                           มิได้มีความรังเกียจ ท่านจงอยู่ในที่นี้เถิด อย่าไปเลย.
จบ ปูติมังสชาดกที่ ๑๑.
๑๒. ทัททรชาดก
คนอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น
             [๑๓๑๐] ผู้ใดเจ้าให้ข้าวหุงกิน กลับกินลูกทั้งสองของเจ้าซึ่งมิได้มีความผิดเลย                           เจ้าจงวางเขี้ยวลงบนผู้นั้น อย่าปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปเลย.              [๑๓๑๑] บุรุษผู้มีความหยาบช้าร้ายแรง ผู้ลบหลู่ชิ้นผ้าที่ตนนุ่งอยู่ ฉันไม่ขอเห็น                           มันเลย ฉันจะวางเขี้ยวลงในบุรุษใดเล่า?              [๑๓๑๒] อันบุรุษผู้อกตัญญู มักคอยแสวงหาโอกาสอยู่เป็นนิตย์ ถึงจะพึงให้แผ่น                           ดินทั้งปวง ก็ไม่พึงทำให้บุรุษนั้นชื่นชมยินดีได้เลย.              [๑๓๑๓] ดูกรเสือโคร่งชื่อสุพาหุ เพราะเหตุไรหนอท่านจึงรีบด่วนกลับมาพร้อมกับ                           มาณพ กิจที่เป็นประโยชน์อะไรของท่านมีอยู่ในที่นี้ เราขอถามท่านถึง                           กิจอันเป็นประโยชน์นั้น ท่านจงบอกแก่เรา?              [๑๓๑๔] นกกระทาผู้มีรูปงามตัวใด ซึ่งเป็นสหายของท่าน เราสงสัยว่านกกระทา                           ตัวนั้นจะถูกฆ่าเสียแล้วในวันนี้ เราได้ฟังเหตุอันเกี่ยวเนื่องด้วยการ                           กระทำของบุรุษนั้น จึงมิได้สำคัญว่านกกระทาตัวนั้นจะอยู่เป็นสุขในวันนี้.              [๑๓๑๕] ท่านได้ฟังเหตุอะไรอันเกี่ยวเนื่องด้วยการกระทำของบุรุษนี้ ในความ                           ประพฤติเลี้ยงชีพของบุรุษนี้ หรือท่านได้ฟังคำปฏิญาณอะไรของบุรุษนี้                           จึงสงสัยว่า นกกระทาถูกมาณพนี้ ฆ่าเสียแล้ว              [๑๓๑๖] การค้าขายอันเป็นของชาวเมืองกลิงครัฐ บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติมาแล้ว แม้                           หนทางที่มีหลักตอ บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติท่องเที่ยวไปด้วยการรับจ้าง การ                           ฟ้อนรำขับร้องร่วมกับคนฟ้อนทั้งหลาย บุรุษนี้ก็ได้ประพฤติมา ถึงการ                           รบกันด้วยท่อนไม้ในท่ามกลางมหรสพ บุรุษนี้นี้ก็ได้เคยรบมาแล้ว.              [๑๓๑๗] นกทั้งหลายบุรุษนี้ก็ได้ดักมาแล้ว การตวงข้าวเปลือกด้วยเครื่องตวง บุรุษ                           นี้ก็ได้ตวงมาแล้ว สกาบุรุษนี้ก็ได้ชนะมาแล้ว ความสำรวมระวังบุรุษนี้                           ก็ก้าวล่วงเสีย เลือดที่ไหลออกมาตั้งครึ่งคืนบุรุษนี้ก็คัดให้หยุดได้ มือ                           ทั้งสองของบุรุษนี้มีความร้อนในเวลารับก้อนข้าว.              [๑๓๑๘] เราได้ฟังเหตุทั้งหลาย อันเกี่ยวเนื่องด้วยการกระทำของบุรุษนี้ ในความ                           ประพฤติเลี้ยงชีวิตของบุรุษนี้มาดังนี้ว่า กลุ่มขนนกกระทาก็ยังปรากฏอยู่                           บนชฎาของบุรุษนี้ วัวทั้งหลายบุรุษนี้ก็ได้ฆ่ากินแล้ว ไฉนจะไม่ฆ่านก                           กระทากินเล่า.
จบ ทัททรชาดกที่ ๑๒.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น