๑. จตุทวารชาดก ว่าด้วยจักรกรดพัดบนศีรษะ [๑๓๑๙] เมืองนี้มีประตู ๔ ประตู มีกำแพงมั่นคงล้วนแล้วไปด้วยเหล็กแดง ข้าพเจ้า ถูกล้อมไว้ด้วยกำแพง ข้าพเจ้าได้ทำบาปอะไรไว้? [๑๓๒๐] ประตูทั้งหมดจึงปิดแน่น ข้าพเจ้าถูกขังเหมือนนก ข้าแต่เทวดา เหตุ เป็นมาอย่างไร ข้าพเจ้าจึงลูกจักรกรดพัดศีรษะ? [๑๓๒๑] ท่านได้ทรัพย์มากมายถึงสองล้านแล้ว มิได้ทำตามคำชอบของญาติ ทั้งหลายผู้เอ็นดู. [๑๓๒๒] ท่านแล่นเรือไปสู่สมุทรซึ่งอาจยังเรือให้โลดขึ้นได้ เป็นสาครมีสิทธิ์น้อย ได้ประสบนางเวมานิกเปรต ๔ นาง จาก ๔ นางเป็น ๘ นาง จาก ๘ นางเป็น ๑๖ นาง. [๑๓๒๓] ถึงจะได้ประสบนางเวมานิกเปรตจาก ๑๖ นางเป็น ๓๒ นาง ก็ยังปรารถนา ยิ่งไปกว่านั้น จึงได้ประสบจักรนี้ จักรกรดย่อมพัดผันบนศีรษะของ คนผู้ถูกความอยากครอบงำ. [๑๓๒๔] ความอยากเป็นของสูงใหญ่ไพศาล ยากที่จะให้เต็มได้ มักให้ถึงความ วิบัติ ชนเหล่าใดย่อมยินดีไปตามความอยาก ชนเหล่านั้นต้องเป็นผู้ทรง จักรกรดไว้. [๑๓๒๕] อนึ่ง ชนเหล่าใดละทิ้งสิ่งของมากมายเสีย ไม่พิจารณาหนทางให้ถ่องแท้ ไม่ใคร่ครวญเหตุนั้นให้ถี่ถ้วน ชนเหล่านั้นต้องเป็นผู้ทรงจักรกรดไว้. [๑๓๒๖] ผู้ใดพึงพิจารณาถึงการงาน และโภคะอันไพบูลย์ ไม่ส้องเสพความอยาก อันประกอบด้วยความฉิบหาย ทำตามถ้อยคำของผู้เอ็นดูทั้งหลาย ผู้เช่น นั้นไม่พึงถูกจักรกรดพัดผัน. [๑๓๒๗] ข้าแต่เทวดา จักรกรดจักตั้งอยู่บนศีรษะของข้าพเจ้านานสักเท่าไรหนอ สักกี่พันปี ข้าพเจ้าขอถามความนั้น ขอท่านได้โปรดบอกแก่ข้าพเจ้า เถิด? [๑๓๒๘] ดูกรมิตตวินทุกะ ท่านจงฟังเรา ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนาน จักรกรดจะพัดผันอยู่บนศีรษะของท่าน เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ จะพ้น จักรกรดนั้นไปไม่ได้.จบ จตุทวารชาดกที่ ๑. ๒. กัณหชาดก ว่าด้วยขอพร [๑๓๒๙] บุรุษนี้ดำจริงหนอ บริโภคโภชนะก็ดำ อยู่ในภูมิประเทศก็ดำ ไม่เป็น ที่ชอบใจของเราเลย. [๑๓๓๐] คนไม่ชื่อว่าเป็นคนดำเพราะผิวหนัง เพราะคนที่มีแก่นภายในจึงชื่อว่าเป็น พราหมณ์ ผู้ใดมีบาปกรรม ผู้นั้นแหละชื่อว่าเป็นคนดำ นะท้าวสุชัมบดี. [๑๓๓๑] ดูกรท่านพราหมณ์ คำนั้นท่านกล่าวดีแล้ว สมควรเป็นสุภาษิต ข้าพเจ้าจะ ให้พรแก่ท่านอย่างหนึ่ง ตามแต่ใจท่านปรารถนา. [๑๓๓๒] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง ถ้าจะโปรดประทานพรแก่ ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาให้ความประพฤติของตน อย่าให้มี ความโกรธ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้มีความโลภ อย่าให้มีความสิเนหา ขอได้ทรงโปรดประทานพร ๔ ประการนี้แก่ข้าพระองค์เถิด. [๑๓๓๓] ดูกรท่านพราหมณ์ ท่านเห็นโทษในความโกรธ ในโทสะ ในโลภะ และในสิเนหาเป็นอย่างไรหรือ ข้าพเจ้าขอถามความนั้น ขอท่านจงบอก แก่ข้าพเจ้าเถิด? [๑๓๓๔] ความโกรธเกิดแต่ความไม่อดทน ทีแรกเป็นของน้อย แต่ภายหลังเป็น ของมาก ย่อมเจริญขึ้นโดยลำดับ ความโกรธมักทำความเกี่ยวข้อง มี ความคับแค้นมาก เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ชอบใจความโกรธ. [๑๓๓๕] วาจาของผู้ประกอบด้วยโทสะ เป็นวาจาหยาบคาย ถัดจากนั้นก็เกิด ปรามาสถูกต้องกัน ต่อจากนั้นก็ชกต่อยกันด้วยมือ ต่อไปก็หยิบท่อน ไม้เข้าทุบตีกัน จนถึงจับศาตราเข้าฟันแทงกันเป็นที่สุด โทสะเกิดแต่ ความโกรธ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ชอบใจโทสะ. [๑๓๓๖] ความโลภเป็นอาการหยาบ เป็นเหตุให้เที่ยวปล้นขู่เอาสิ่งของแสดงของ ปลอมเปลี่ยนเอาของคนอื่น ทำอุบายล่อลวง บาปธรรมทั้งหลายนี้ มี ปรากฏอยู่เพราะโลภธรรม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ชอบใจโลภะ. [๑๓๓๗] กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย อันสิเนหาผูกรัดเข้าอีก เป็นของสำเร็จด้วย ใจ นอนเนื่องอยู่เป็นอันมาก ย่อมทำให้บุคคลเดือดร้อนยิ่งนัก เพราะ ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ชอบใจความสิเนหา. [๑๓๓๘] ดูกรท่านพราหมณ์ คำนั้นท่านกล่าวดีแล้ว สมควรเป็นสุภาษิต ข้าพเจ้า จะให้พรแก่ท่านอย่างหนึ่ง ตามแต่ใจท่านปรารถนา. [๑๓๓๙] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง ถ้าจะโปรดประทานพรแก่ ข้าพระองค์ ขออาพาธทั้งหลายอันเป็นของร้ายแรง ซึ่งจะทำอันตรายตบะ กรรมได้ อย่าพึงบังเกิดแก่ข้าพระองค์ผู้อยู่ในป่า ซึ่งอยู่แต่ผู้เดียว เป็นนิตย์. [๑๓๔๐] ดูกรท่านพราหมณ์ คำนั้นท่านกล่าวดีแล้ว สมควรเป็นสุภาษิต ข้าพเจ้า จะให้พรแก่ท่านอย่างหนึ่ง ตามแต่ใจท่านปรารถนา. [๑๓๔๑] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง ถ้าจะโปรดประทานพรแก่ข้า พระองค์ ขอใจหรือร่างกายของข้าพระองค์ อย่าเข้าไปกระทบกระทั่ง ใครๆ ในกาลไหนๆ เลย ขอได้ทรงโปรดประทานพรนี้เถิด.จบ กัณหชาดกที่ ๒. ๓. จตุโปสถชาดก ว่าด้วยสมณะ [๑๓๔๒] ผู้ใด ไม่ทำความโกรธในบุคคลผู้ควรโกรธ ผู้นั้นเป็นสัตบุรุษ ย่อมไม่ โกรธ ณ ในกาลไหนๆ บุคคลนั้นแม้จะโกรธ ก็ไม่ทำความโกรธให้ ปรากฏ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก. [๑๓๔๓] นรชนใดมีท้องพร่อง ย่อมทนความหิวได้ นรชนนั้นเป็นผู้ฝึกตน แล้ว มีตบะ มีข้าวและน้ำพอประมาณ ย่อมไม่ทำบาปเพราะเหตุแห่ง อาหาร นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวนรชนนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก. [๑๓๔๔] บุคคลละการเล่นและความยินดีทั้งปวงได้เด็ดขาด ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ นิดหน่อยในโลก เว้นจากการแต่งเนื้อแต่งตัว และเว้นจากเมถุนธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก. [๑๓๔๕] บุคคลใด ละสิ่งที่เขาหวงแหน และโลภธรรมทั้งปวงเสีย ด้วยปัญญา เครื่องกำหนดรู้ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นแล ผู้ฝึกตนแล้ว มีจิตตั้งมั่น ไม่มีตัณหา ไม่มีความหวังว่า เป็นสมณะในโลก. [๑๓๔๖] ดูกรท่านผู้มีปัญญาสามารถจะรู้เหตุและมิใช่เหตุที่ควรทำ เราขอถามท่าน ความทุ่มเถียงกันในถ้อยคำทั้งหลาย บังเกิดมีแก่เราทั้งหลาย ขอท่าน โปรดช่วยตัดเสียซึ่งความสงสัยความเคลือบแคลงในวันนี้ ขอได้โปรด ช่วยเราทั้งหมดให้ข้ามพ้นความสงสัยนั้นในวันนี้? [๑๓๔๗] บัณฑิตเหล่าใดเป็นผู้สามารถเห็นเนื้อความ บัณฑิตเหล่านั้นจึงจะกล่าวได้ โดยแยบคายในกาลนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชานิกร ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลาย จะพึงวินิจฉัยเนื้อความแห่งถ้อยคำทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้กล่าว แล้วได้อย่างไรหนอ? [๑๓๔๘] พญานาคกล่าวอย่างไร พญาครุฑกล่าวอย่างไร ท้าวสักกะผู้เป็นพระราชา ของคนธรรพ์ตรัสอย่างไร และพระราชาผู้ประเสริฐของชาวกุรุรัฐตรัส อย่างไร? [๑๓๔๙] พญานาคกล่าวสรรเสริญขันติ พญาครุฑกล่าวยกย่องการไม่ประหาร ท้าว สักกะผู้เป็นพระราชาของคนธรรพ์ตรัสชมการละความยินดี พระราชา ผู้ประเสริฐของชาวกุรุรัฐ ตรัสสรรเสริญความไม่กังวล. [๑๓๕๐] คำเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสุภาษิต ในถ้อยคำของท่านทั้ง ๔ นี้ ไม่มีคำทุพภาษิต แม้นิดหน่อยเลย คุณทั้ง ๔ มีขันติเป็นต้นนี้ ตั้งมั่นอยู่ในผู้ใด ก็เปรียบ ได้กับกำรถ หยั่งเข้าเป็นอันดีที่ดุมรถ ฉะนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าว บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรม ๔ ประการนั้นแล ว่าเป็นสมณะในโลก. [๑๓๕๑] ท่านนั้นแลเป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นผู้ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม มีปัญญาดี พิจารณาปัญหาด้วยปัญญา เป็นนักปราชญ์ ตัดความสงสัย ความเคลือบแคลงทั้งหลายเสีย ได้ตัดความสงสัยความเคลือบแคลง ทั้งหลายสำเร็จแล้ว ดุจนายช่างงาตัดงาช้างด้วยเครื่องมืออันคมฉะนั้น [๑๓๕๒] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง ขอให้ผ้าผืนนี้ซึ่งมีสีสดใสดุจสีอุบลเขียว ไม่หม่นหมองหาค่ามิได้ มีสี เสมอด้วยควันไฟ เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน. [๑๓๕๓] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง ขอให้ดอกไม้ทองมีกลีบตั้งร้อยอันแย้มบาน มีเกสร ประดับด้วยรัตนะ จำนวนพัน เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน. [๑๓๕๔] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง ขอให้แก้วมณีอันหาค่ามิได้ งามผ่องใส คล้องอยู่ที่คอ เป็นแก้วมณี เครื่องประดับคอของข้าพเจ้า เพื่อเป็นธรรมบูชาแก่ท่าน. [๑๓๕๕] ดูกรท่านผู้เป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าพอใจด้วยการพยากรณ์ปัญหาของท่าน จึง ขอให้โคนม โคผู้ และช้าง อย่างละพัน รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ๑๐ คัน และบ้านส่วย ๑๖ ตำบลแก่ท่าน. [๑๓๕๖] พญานาคในกาลนั้น เป็นพระสารีบุตร พญาครุฑเป็นพระโมคคัลลานะ ท้าวสักกเทวราชเป็นพระอนุรุทธะ พระเจ้าโกรัพยะเป็นพระอานนท์ บัณฑิต วิธูรบัณฑิตเป็นพระโพธิสัตว์นั่นเอง ขอท่านทั้งหลายจงจำ ชาดกไว้อย่างนี้.จบ จตุโปสถชาดกที่ ๓. ๔. สังขชาดก ว่าด้วยอานิสงส์ถวายรองเท้า [๑๓๕๗] ข้าแต่สังขพราหมณ์ ท่านเป็นพหูสูต ได้ฟังธรรมมาแล้ว และสมณะ พราหมณ์ทั้งหลาย ท่านก็ได้เห็นมาแล้ว เหตุไร ท่านจึงแสดงคำพร่ำเพ้อ ในขณะอันไม่สมควร คนอื่นนอกจากข้าพเจ้า ใครเล่าที่จะมาเจรจากับ ท่านได้? [๑๓๕๘] นางเทพธิดามีหน้างาม เลอโฉม ประดับเครื่องประดับทอง ยกถาดทอง เต็มด้วยอาหารทิพย์ มาร้องเชิญให้ข้าพเจ้าบริโภค นางเป็นผู้มีศรัทธา และปลื้มใจ ข้าพเจ้าตอบกะนางว่า ไม่บริโภค. [๑๓๕๙] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ บุรุษผู้ปรารถนาความสุขได้พบเห็นเทวดาเช่นนั้นแล้ว ควรถามให้ได้ความ ขอท่านจงลุกขึ้นประนมมือ ถามเทวดานั้นว่า ท่าน เป็นเทวดาหรือมนุษย์? [๑๓๖๐] เพราะเหตุว่า ท่านมามองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาอันแสดงความรัก ร้อง เชิญให้ข้าพเจ้าบริโภคอาหาร ดูกรนางผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอถาม ท่าน ท่านเป็นเทวดาหรือมนุษย์? [๑๓๖๑] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้มีอานุภาพมากมาในกลาง สมุทรนี้ ก็เพราะเป็นผู้มีความเอ็นดู จะได้มีจิตประทุษร้ายก็หาไม่ ข้าพเจ้ามาในที่นี้เพื่อประโยชน์แก่ท่านนั่นเอง. [๑๓๖๒] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ในสมุทรนี้มีข้าวน้ำ ที่นอน ที่นั่ง และยาน พาหนะ มากมายหลายอย่าง ใจของท่านปรารถนาสิ่งใด ข้าพเจ้าจะให้ สิ่งนั้นทุกอย่างแก่ท่าน. [๑๓๖๓] ข้าแต่เทพธิดาผู้มีร่างกายสวยงาม ตะโพกผึ่งผาย คิ้วงาม เอวบางร่างน้อย ยัญ และการเซ่นสรวงของข้าพเจ้าอย่างใด อย่างหนึ่งที่มีอยู่ ท่านเป็น ผู้สามารถรู้วิบากแห่งกรรมของข้าพเจ้าทุกอย่าง การที่ข้าพเจ้าได้ที่พึ่งใน มหาสมุทรนี้ เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร? [๑๓๖๔] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ท่านได้ถวายรองเท้ากะพระภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เดิน กระโหย่งเท้า เดินสะดุ้งลำบากในหนทางอันร้อน ทักขิณานั้นอำนวยผล สิ่งที่น่าปรารถนาแก่ท่านในวันนี้. [๑๓๖๕] ขอเรือต่อด้วยแผ่นกระดาน น้ำไม่รั่ว มีใบสำหรับพาเรือให้แล่นไป จงบังเกิดมี เพราะในสมุทรนี้ ไม่มีพื้นที่สำหรับยานพาหนะอย่างอื่น ขอท่านได้ส่งข้าพเจ้าให้ถึงเมืองโมลินีในวันนี้เถิด. [๑๓๖๖] นางเทพธิดานั้น มีจิตชื่นชมโสมนัสปราโมทย์ นิรมิตเรืออันงดงามแล้ว พาสังขพราหมณ์กับบุรุษคนใช้มาส่งถึงเมืองอันเป็นที่รื่นรมย์ยินดีอย่างยิ่ง.จบ สังขชาดกที่ ๔. ๕. จุลลโพธิชาดก ว่าด้วยความโกรธ [๑๓๖๗] ดูกรพราหมณ์ ผู้ใดมาพาเอานางปริพาชิกาผู้มีนัยน์ตางามน่ารัก มีใบหน้า ยิ้มแย้มของท่านไปด้วยพลการ ท่านจะทำอย่างไร? [๑๓๖๘] ถ้าความโกรธบังเกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป เมื่อ อาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่หาย อาตมภาพจะห้ามกันเสียโดยพลันที เดียว ดังฝนห่าใหญ่ชำระล้างธุลี ฉะนั้น. [๑๓๖๙] ท่านกล่าวอวดอ้างไว้ในวันก่อนอย่างไรหนอ วันนี้เป็นเหมือนว่ามีกำลัง ทำเป็นไม่เห็น นั่งนิ่งเย็บสังฆาฏิอยู่ในบัดนี้. [๑๓๗๐] ความโกรธบังเกิดแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่ได้เสื่อมคลายไป เมื่อ อาตมภาพยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่หาย อาตมภาพจะห้ามกันเสียโดยพลันที เดียว ดังฝนห่าใหญ่ชำระล้างธุลี ฉะนั้น. [๑๓๗๑] ความโกรธบังเกิดขึ้นแก่ท่านแล้ว ยังไม่ได้เสื่อมคลายไปอย่างไร เมื่อ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ความโกรธยังไม่หายอย่างไร ท่านได้ห้ามความโกรธ ดัง ฝนห่าใหญ่ชำระล้างธุลี ฉะนั้น เป็นไฉน? [๑๓๗๒] เมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้ อื่น เมื่อความโกรธไม่เกิดขึ้น บุคคลย่อมเห็นได้ดี ความโกรธนั้นเกิด ขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธเป็นอารมณ์ของ คนไร้ปัญญา. [๑๓๗๓] ชนทั้งหลายย่อมยินดีด้วยความโกรธที่เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่าเป็นศัตรูหา ทุกข์ให้แก่ตนเอง ความโกรธนั้นเกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อม คลายไป ความโกรธเป็นอารมณ์ของคนไร้ปัญญา. [๑๓๗๔] อนึ่ง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น บุคคลไม่รู้จักประโยชน์ตน ความโกรธนั้น เกิดขึ้นแก่อาตมภาพแล้ว ยังไม่เสื่อมคลายไป ความโกรธเป็นอารมณ์ ของคนไร้ปัญญา. [๑๓๗๕] บุคคลถูกความโกรธครอบงำแล้ว ย่อมละทิ้งกุศลเสีย ย่อมซัดส่าย ประโยชน์แม้มากมายได้ เขาประกอบด้วยเสนา คือ กิเลสหมู่ใหญ่ที่ น่ากลัว มีกำลัง สามารถปราบผู้อื่นให้อยู่ในอำนาจได้ ความโกรธนั้น ยังไม่เสื่อมคลายไปจากอาตมภาพ ขอถวายพระพร. [๑๓๗๖] ธรรมดาไฟย่อมเกิดขึ้นที่ไม้สีไฟอันบุคคลสีอยู่ ไฟเกิดขึ้นแต่ไม้ใด ย่อม เผาไม้นั้นเองให้ไหม้. [๑๓๗๗] ความโกรธย่อมเกิดขึ้นแก่คนโง่เขลา เบาปัญญา ไม่รู้จริง เพราะความ แข่งดี แม้เขาก็ถูกความโกรธนั้นแหละเผาลน. [๑๓๗๘] ความโกรธย่อมเจริญขึ้นแก่ผู้ใด ดุจไฟเจริญขึ้นในกองหญ้าและไม้ ฉะนั้น ยศของบุคคลนั้นย่อมเสื่อมไป เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น. [๑๓๗๙] ความโกรธของผู้ใดย่อมสงบลง เหมือนไฟหมดเชื้อ ฉะนั้น ยศของผู้นั้น ย่อมเต็มเปี่ยม เหมือนพระจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น.จบ จุลลโพธิชาดกที่ ๕. ๖. มัณฑัพยชาดก ว่าด้วยความรักที่มีต่อบุตร [๑๓๘๐] เราเป็นผู้ต้องการบุญ ได้มีจิตเลื่อมใสประพฤติพรหมจรรย์อยู่เพียง ๗ วัน เท่านั้น ต่อจากนั้นมา แม้เราจะไม่มีความใคร่บรรพชา ก็ได้ประพฤติ พรหมจรรย์ของเราอยู่ได้ถึง ๕๐ ปีกว่า ด้วยความสัจนี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ยัญญทัตตกุมาร พิษจงคลาย ยัญญทัตตกุมาร จงรอดชีวิตเถิด. [๑๓๘๑] เพราะเหตุที่เราเห็นแขกในเวลาที่มาถึงบ้าน เพื่อจะพักอยู่ บางครั้งไม่ พอใจจะให้เลย แม้สมณพราหมณ์ผู้เป็นพหูสูต ก็ไม่ทราบความไม่พอใจ ของเรา แม้เราไม่ประสงค์จะให้ก็ให้ได้ ด้วยความสัจนี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ยัญญทัตตกุมาร พิษจงคลาย ยัญญทัตตกุมาร จงรอดชีวิตเถิด. [๑๓๘๒] ลูกรัก อสรพิษที่ออกจากโพรงกัดเจ้านั้น มีเดชมาก ไม่เป็นที่รักของ แม่ในวันนี้เลย อสรพิษนั้นกับบิดาของเจ้า ไม่แปลกอะไรกันเลย ด้วย ความสัจนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ยัญญทัตตกุมาร พิษจงคลาย ยัญญ- ทัตตกุมาร จงรอดชีวิตเถิด. [๑๓๘๓] ก็นักพรตทั้งหลายเป็นผู้สงบระงับ ฝึกฝนตนแล้ว ย่อมเว้นรอบ นอก จากท่านกัณหะแล้วที่จะเป็นผู้ทนฝืนใจ ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีเลย ดูกรท่านทีปายนะ ท่านเกลียดชังอะไร จึงสู่ฝืนใจประพฤติพรหมจรรย์ อยู่ได้. [๑๓๘๔] บุคคลออกบวชด้วยศรัทธาแล้ว กลับเข้าบ้านอีก เป็นคนเหลวไหล เป็นคนกลับกลอก เราเกลียดต่อถ้อยคำเช่นนี้ จึงสู้ฝืนใจ ประพฤติ พรหมจรรย์อยู่ นี้เป็นฐานะที่วิญญูชนสรรเสริญ และเป็นฐานะของ สัตบุรุษทั้งหลาย เราเป็นผู้กระทำบุญด้วยเหตุนี้แหละ. [๑๓๘๕] ท่านเลี้ยงสมณะ พราหมณ์และคนเดินทาง ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าว และน้ำ เรือนของท่าน บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำเป็นเหมือนบ่อน้ำ เออ ก็ท่านเกลียดต่อถ้อยคำอะไร แม้ไม่ประสงค์ ก็ให้ทานนี้ได้? [๑๓๘๖] มารดาบิดาและปู่ย่าตายายของดิฉัน เป็นผู้มีศรัทธา เป็นทานบดี รู้ความ ประสงค์ของผู้ขอ ดิฉันอนุวัตรตามธรรมเนียมของตระกูลนั้น กำหนดใจ ไว้ว่า อย่าได้เป็นคนตัดธรรมเนียมแห่งตระกูลนี้เสียเลย ดิฉันเกลียด ถ้อยคำเช่นนี้ แม้ไม่ประสงค์ก็ให้ทานนี้ได้. [๑๓๘๗] ดูกรนางผู้มีร่างกายงาม เรานำเจ้าผู้ยังเป็นสาวน้อย ฯ ยังไม่มีปัญญา สามารถที่จะจับจ่ายมาแต่ตระกูลญาติ แม้เจ้าไม่ได้แสดงความไม่รักใคร่เรา เจ้าปฏิบัติเราเว้นจากความรักใคร่ เออก็นางผู้เจริญ การที่เจ้าอยู่ร่วมกับ เราเห็นปานนี้ได้ เพราะเหตุอะไร? [๑๓๘๘] ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อันภรรยาที่มีสามีบ่อยๆ มิได้มีอยู่ในตระกูลนี้ ดิฉันได้อนุวัตรตามธรรมเนียมของตระกูลนั้น กำหนดใจไว้ว่า ขออย่า ให้เป็นคนตัดธรรมเนียมของตระกูลในภายหลังเลย ดิฉันเกลียดต่อถ้อย คำเช่นนี้ แม้ไม่ประสงค์ก็ปฏิบัติท่านได้. [๑๓๘๙] ดูกรท่านมัณฑัพยะ วันนี้ดิฉันพูดถ้อยคำที่ไม่ควรจะพูด ขอท่านจงอด โทษถ้อยคำนั้นให้แก่ดิฉัน เพราะเหตุแห่งบุตรเถิด สิ่งอื่นอะไรๆ ใน โลกนี้ ที่จะรักยิ่งไปกว่าบุตรมิได้มี ยัญญทัตตกุมารของเรานี้รอดชีวิตแล้ว.จบ มัณฑัพยชาดกที่ ๖. ๗. นิโครธชาดก ว่าด้วยการคบคนดี [๑๓๙๐] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่านิโครธ ท่านสาขะเสนาบดีพูดว่า เราไม่ รู้จักคนนี้เลยว่าเป็นใครกัน หรือเป็นเพื่อนของใคร พระองค์จะทรงเข้า พระทัยอย่างไร? [๑๓๙๑] ลำดับนั้น บุรุษผู้ทำตามคำของท่านสาขะเสนาบดี เข้าจับคอตบหน้าข้า พระองค์ ขับไสออกไป. [๑๓๙๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร กรรมอันไม่ประเสริฐเช่นนี้ อัน ท่านสาขะเสนาบดี ผู้เป็นเพื่อนเก่าของพระองค์ เป็นคนมีความคิดทราม เป็นคนอกตัญญู ประทุษร้ายมิตรได้ทำแล้ว. [๑๓๙๓] ดูกรสหาย เรื่องนี้เราไม่รู้เลย ใครก็ไม่ได้บอกแก่เรา ท่านมาบอกแก่ เราว่า ท่านสาขะเสนาบดีฉุดคร่าท่าน. [๑๓๙๔] ท่านเป็นคนทำเพื่อให้มีชีวิตอยู่สบายดี ท่านเป็นคนให้อิศริยยศ คือ ความเป็นใหญ่ ในหมู่มนุษย์แก่เราและสาขะเสนาบดีทั้งสองคน เราได้ รับความสำเร็จเพราะท่านในเรื่องนี้ เราไม่มีความสงสัยเลย. [๑๓๙๕] กรรมที่บุคคลทำในอสัตบุรุษ ย่อมฉิบหายไม่งอกงาม เหมือนพืชที่ บุคคลหว่านลงในไฟ ย่อมถูกไฟไหม้ ไม่งอกงามฉะนั้น. [๑๓๙๖] ส่วนกรรมที่บุคคลทำในคนกตัญญู มีศีล มีความประพฤติประเสริฐ ย่อม ไม่ฉิบหายไป เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดีฉะนั้น. [๑๓๙๗] ราชบุรุษทั้งหลาย จงฆ่าสาขะเสนาบดีผู้ชั่วช้า มักหลอกลวง มีความคิด อย่างอสัตบุรุษคนนี้เสีย ด้วยหอกทั้งหลาย เราไม่ปรารถนาให้เขามี ชีวิตอยู่เลย. [๑๓๙๘] ข้าแต่พระมหาราชา ขอพระองค์ได้โปรดอดโทษให้แก่เขาเถิด ชีวิตของ คนตายแล้วไม่อาจจะนำกลับคืนมาได้ ขอได้ทรงโปรดอดโทษ แก่ อสัตบุรุษเถิด พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทไม่ปรารถนาให้ฆ่าเขา. [๑๓๙๙] ควรคบหาแต่นิโครธเท่านั้น ไม่ควรเข้าไปอาศัยเจ้าสาขะอยู่ ความตาย ในสำนักท่านนิโครธประเสริฐกว่า ความเป็นอยู่ในสำนักเจ้าสาขะจะ ประเสริฐอะไร.จบ นิโครธชาดกที่ ๗. ๘. ตักกลชาดก ว่าด้วยการเลี้ยงดูบิดามารดา [๑๔๐๐] พ่อจ๋า มันนก มันเทศ มันมือเสือ ผักทอดยอด ก็มิได้มี พ่อต้องการ อะไร จึงขุดหลุม อยู่คนเดียวในป่ากลางป่าช้าเช่นนี้เล่า? [๑๔๐๑] ลูกเอ๋ย ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว ถูกกองทุกข์อันเกิดจากโรคภัย หลายอย่างเบียดเบียน วันนี้พ่อจะฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม เพราะ พ่อไม่ปรารถนา จะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างลำบากเลย ลูกเอ๋ย. [๑๔๐๒] พ่อได้ความดำริอันลามกนี้แล้ว ได้กระทำกรรมที่หยาบช้า อันล่วงเสีย ซึ่งประโยชน์ พ่อจ๋า แม้เมื่อพ่อแก่ลงแล้ว ก็จักได้รับกรรมเช่นนี้เพราะ ลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามธรรมเนียมของตระกูลนั้น จักฝังพ่อ เสียในหลุมบ้าง. [๑๔๐๓] ลูกเอ๋ย เจ้ามากล่าวกระทบกระเทียบขู่เข็ญพ่อ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เจ้าเป็นลูกเกิดแต่อกของพ่อ แต่หามีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อไม่. [๑๔๐๔] พ่อจ๋า มิใช่ฉันจะไม่มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อ ฉันเป็นผู้มีความ อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อ แต่เพราะฉันไม่กล้าพอที่จะห้ามพ่อ ผู้ทำบาป กรรมโดยตรงได้ จึงได้พูดกระทบกระเทียบเช่นนั้น. [๑๔๐๕] พ่อจ๋า ผู้ใดเป็นคนมีธรรมอันลามก เบียดเบียนมารดาหรือบิดาผู้ไม่ประทุษ ร้าย ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ต้องเข้าถึงนรกโดยไม่ต้องสงสัย. [๑๔๐๖] พ่อจ๋า ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาด้วยข้าวน้ำ ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ย่อมเข้าถึงสุคติ โดยไม่ต้องสงสัย. [๑๔๐๗] ลูกเอ๋ย เจ้าจะเป็นผู้ไม่เกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อก็หาไม่ เจ้าชื่อว่าเป็นผู้ เกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อ แต่พ่อถูกแม่ของเจ้าว่ากล่าว จึงได้กระทำกรรม อันหยาบช้าเช่นนี้. [๑๔๐๘] หญิงชั่วเป็นภรรยาของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของฉัน พ่อจงขับไล่ไป เสียจากเรือนของตน เพราะแม่จะนำทุกข์อย่างอื่นมาให้พ่ออีก. [๑๔๐๙] หญิงชั่วผู้เป็นภรรยาของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของฉัน เป็นหญิงมี บาปธรรม ถูกทรมาน ดังช้างพัง ที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจแล้ว จงกลับมาเรือนเถิด.จบ ตักกลชาดกที่ ๘. ๙. มหาธรรมปาลชาดก ว่าด้วยเหตุที่ไม่ตายในวัยหนุ่ม [๑๔๑๐] อะไรเป็นวัตรของท่าน อะไรเป็นพรหมจรรย์ของท่าน การที่คนหนุ่มๆ ในตระกูลของท่านไม่ตายนี้ เป็นผลของกรรมอะไรที่ท่านได้ประพฤติมา เป็นอย่างดีแล้ว ดูกรพราหมณ์ ขอท่านช่วยบอกเนื้อความนี้แก่เรา เหตุไรหนอคนหนุ่มๆ ของท่านจึงไม่ตาย? [๑๔๑๑] พวกเราประพฤติธรรม ไม่กล่าวมุสา งดเว้นกรรมชั่ว งดเว้นกรรมอัน ไม่ประเสริฐทั้งปวง เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ ตาย. [๑๔๑๒] พวกเราได้ฟังธรรมของอสัตบุรุษ และสัตบุรุษแล้ว ไม่ชอบใจธรรมของ อสัตบุรุษเลย ละทิ้งอสัตบุรุษเสีย แต่ไม่ละทิ้งสัตบุรุษ เพราะเหตุนี้ แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. [๑๔๑๓] ก่อนจะให้ทาน พวกเราก็เป็นผู้ตั้งใจดี แม้กำลังให้ก็ชื่นชมยินดี ครั้น ให้แล้วก็ไม่เดือดร้อน ในภายหลัง เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของ พวกเราจึงไม่ตาย. [๑๔๑๔] พวกเราเลี้ยงดูสมณะ พราหมณ์ คนเดินทาง วณิพก ยาจก และคน ขัดสนทั้งหลาย ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. [๑๔๑๕] พวกเราไม่นอกใจภรรยา ถึงภรรยาก็ไม่นอกใจพวกเรา พวกเราประพฤติ พรหมจรรย์นอกจากภรรยาของตน เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของ พวกเราจึงไม่ตาย. [๑๔๑๖] เราทุกคนงดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นสิ่งที่เขาไม่ให้ในโลก ไม่กล่าว มุสา ไม่ดื่มน้ำเมา เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ ตาย. [๑๔๑๗] บุตรของพวกเราเกิดในหญิงที่ดีเหล่านั้น เป็นผู้ฉลาดเฉลียว มีปัญญามาก เป็นพหูสูต เรียนจบไตรเพท เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของ พวกเราจึงไม่ตาย. [๑๔๑๘] มารดาบิดา พี่น้องหญิงชาย บุตรภรรยา และเราทุกคนประพฤติธรรม เพราะเหตุแห่งโลกหน้า เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึง ไม่ตาย. [๑๔๑๙] ทาส ทาสี คนอาศัยเลี้ยงชีพ คนใช้ และกรรมกรทั้งหมด ก็ประพฤติ ธรรมเพราะเหตุแห่งโลกหน้า เพราะเหตุนี้แหละ คนหนุ่มๆ ของพวก เราจึงไม่ตาย. [๑๔๒๐] ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อม นำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ. [๑๔๒๑] ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เหมือนร่มใหญ่ในฤดูฝนฉะนั้น ธรรม ปาละบุตรของเรา อันธรรมคุ้มครองแล้ว กระดูกที่ท่านนำเอามานี้เป็น กระดูกสัตว์อื่น บุตรของเรายังมีความสุข.จบ มหาธรรมปาลชาดกที่ ๙. ๑๐. กุกกุฏชาดก ว่าด้วยพ้นศัตรูเพราะรู้เท่าทัน [๑๔๒๒] บุคคลไม่พึงคุ้นเคยในคนทำบาป คนมักพูดเหลาะแหละ คนมีปัญญาคิด แต่ประโยชน์ตน และคนทำเป็นสงบแต่ภายนอก. [๑๔๒๓] มีบุรุษพวกหนึ่ง มีปกติเหมือนโคกระหายน้ำ ทำทีเหมือนจะกล้ำกลืน มิตรด้วยวาจา แต่ไม่ใช้ด้วยการงาน ไม่ควรคุ้นเคยในคนเช่นนั้น. [๑๔๒๔] บุรุษพวกหนึ่ง เป็นคนชูมือเปล่า พัวพันอยู่ แต่ด้วยวาจาเป็นมนุษย์ กระพี้ ไม่มีความกตัญญู ไม่ควรคุ้นเคยในคนเช่นนั้น. [๑๔๒๕] บุคคลไม่ควรคุ้นเคยต่อหญิง หรือบุรุษ ผู้มีจิตกลับกลอก ไม่ทำความ ข้องเกี่ยวให้แจ้งชัด. [๑๔๒๖] ไม่ควรคุ้นเคยกับบุคคลผู้หยั่งลงสู่กรรม อันไม่ประเสริฐ เป็นคนไม่แน่ นอน กำจัดคนไม่เลือก เหมือนดาบที่เขาลับแล้วปกปิดไว้ ฉะนั้น. [๑๔๒๗] คนบางพวกในโลกนี้ คอยเพ่งโทษ เข้าไปหาด้วยอุบายต่างๆ ด้วยคำ พูดอันคมคายซึ่งไม่ตรงกับน้ำใจ ด้วยสามารถแห่งมิตรเทียม แม้คนเช่น นี้ ก็ไม่ควรคุ้นเคย. [๑๔๒๘] คนมีปัญญาทรามเช่นนั้น พบเห็นอามิส หรือทรัพย์เข้า ณ ที่ใด ย่อม คิดประทุษร้าย และย่อมละทิ้งเพื่อนนั้นไป แม้คนเช่นนั้น ก็ไม่ควร คุ้นเคย. [๑๔๒๙] มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ปลอมเป็นมิตรคบหา บุคคลพึงละบุรุษชั่วเหล่า นั้นเสีย เหมือนไก่ละเหยี่ยว ฉะนั้น. [๑๔๓๐] อนึ่ง บุคคลใดไม่รู้เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นได้ฉับพลัน หลงไปตามอำนาจ ศัตรู บุคคลนั้น ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง. [๑๔๓๑] ส่วนบุคคลใดรู้เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นได้ ฉับพลัน บุคคลนั้นย่อมพ้นจาก ความเบียดเบียนของศัตรู เหมือนไก่พ้นจากเหยี่ยว ฉะนั้น. [๑๔๓๒] นรชนผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณา ควรละเว้นบุคคลผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม มัก ทำการกำจัดอยู่เป็นนิตย์ ดังแร้วที่เขาดักไว้ในป่าเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล เหมือนไก่ในป่าไผ่ละเว้นเหยี่ยว ฉะนั้น.จบ กุกกุฏชาดกที่ ๑๐. ๑๑. มัฏฐกุณฑลิชาดก คนร้องไห้ถึงคนตายเป็นคนโง่เขลา [๑๔๓๓] ท่านประดับแล้วด้วยอาภรณ์ต่างๆ มีต่างหูเกลี้ยงเกลา ทัดทรงระเบียบ ดอกไม้ ลูบไล้กระแจะจันทน์สีเหลือง ท่านมีทุกข์อะไรหรือ จึงมากอด อกคร่ำครวญอยู่ในกลางป่า? [๑๔๓๔] เรือนรถงามแพรวพราวแล้วไปด้วยทองคำ ของเรามีอยู่แล้ว เราหาล้อ ทั้งสองของรถนั้นยังไม่ได้ ด้วยความทุกข์อันนี้ เราจะตายเป็นแน่ๆ. [๑๔๓๕] ท่านต้องการรถชนิดไร รถทำด้วยทองคำ แก้วมณี โลหะ หรือรูปิยะ จงบอกรถชนิดนั้นแก่เราเถิด เราจักทำให้ท่าน จะหาล้อทั้งคู่ให้ท่าน? [๑๔๓๖] ลำดับนั้น มาณพจึงบอกแก่พราหมณ์นั้นว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์ ย่อมงามผ่องใสอยู่ในวิถีทั้งสอง รถทองของเราย่อมจะงามด้วยพระจันทร์ และพระอาทิตย์นั้น อันเป็นล้อทั้งคู่. [๑๔๓๗] ดูกรมาณพ ท่านเป็นคนพาลแท้ เพราะท่านปรารถนาสิ่งที่เขาไม่พึง ปรารถนากัน เราสำคัญว่าท่านจักตายเสียเปล่า ท่านจักไม่ได้พระจันทร์ พระอาทิตย์เลย. [๑๔๓๘] แม้ความอุทัยและอัสดงของพระจันทร์และพระอาทิตย์นั้น ก็ยังปรากฏ อยู่ สีสรรวรรณะ และวิถีทางของพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ก็ ยังปรากฏอยู่ ส่วนบุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว ย่อมไม่ปรากฏเลย เราทั้งสอง ผู้คร่ำครวญอยู่ ใครเล่าหนอจะเป็นคนโง่เขลายิ่งกว่ากัน? [๑๔๓๙] ดูกรมาณพ ท่านพูดจริง บรรดาเราทั้งสองผู้คร่ำครวญอยู่ เรานี่แหละ คนโง่เขลายิ่งกว่าท่าน เราปรารถนาผู้ตายไปยังปรโลกแล้ว เหมือนเด็ก ร้องไห้อยากได้พระจันทร์ฉะนั้น. [๑๔๔๐] ท่านมารดาเราผู้เร่าร้อนให้สงบระงับ ดับความกระวนกระวายทั้งปวงได้ เหมือนบุคคลดับไฟ ที่ติดเปรียงด้วยน้ำฉะนั้น. [๑๔๔๑] ท่านได้ถอนลูกศรที่เสียบแทงหทัยของเรา ออกไปแล้ว ได้บรรเทาความ โศกถึงบุตรของเรา ผู้ถูกความโศกครอบงำแล้วหนอ. [๑๔๔๒] ดูกรมาณพ เราเป็นผู้ถอนลูกศรได้แล้ว ปราศจากความโศก ไม่มีความ ขุ่นมัว เราจะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยคำของท่าน.จบ มัฏฐกุณฑลิชาดกที่ ๑๑. ๑๒. พิลารโกสิยชาดก ให้ทานไม่ได้เพราะเหตุ ๒ อย่าง [๑๔๔๓] สัตบุรุษทั้งหลายแม้ไม่หุงกินเอง ได้โภชนะมาแล้ว ย่อมปรารถนาจะให้ ท่านหุงโภชนะ ไว้มิใช่หรือ ไม่พึงให้โภชนะนั้น ไม่สมควรแก่ท่าน. [๑๔๔๔] บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ ๒ อย่างคือ ความตระหนี่ ๑ ความประมาท ๑ บัณฑิตผู้รู้แจ้ง เมื่อต้องการบุญพึงให้ทานแท้. [๑๔๔๕] คนผู้ตระหนี่กลัวยากจน ย่อมไม่ให้อะไรๆ แก่ผู้ใดเลย ความกลัวจน นั่นแลจะเป็นภัยแก่คนผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัวความอยากข้าว อยากน้ำ ความกลัวนั้นแหละ จะกลับมาถูกต้องคนพาลทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า. [๑๔๔๖] เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงครอบงำมลทิน กำจัดตระหนี่เสียแล้ว พึงให้ ทานเถิด เพราะบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า. [๑๔๔๗] ทานผู้ให้ได้ยาก เพราะต้องครอบงำความตระหนี่ก่อน แล้วจึงให้ได้ อสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่ทำทานตามที่สัตบุรุษทำแล้ว ธรรมของ สัตบุรุษอันคนอื่นรู้ได้ยาก. [๑๔๔๘] เพราะเหตุนั้น คติจากโลกนี้ของสัตบุรุษ กับอสัตบุรุษจึงต่างกัน อสัตบุรุษย่อมไปนรก สัตบุรุษย่อมไปสวรรค์. [๑๔๔๙] บัณฑิตพวกหนึ่ง ย่อมให้ไทยธรรมแม้มีส่วนเล็กน้อยได้ สัตว์พวกหนึ่ง แม้มีไทยธรรมมาก ก็ให้ไม่ได้ ทักขิณาทานที่บุคคลให้จากของเล็กน้อย ก็นับว่าเสมอด้วยการให้จำนวนพัน. [๑๔๕๐] แม้ผู้ใดเที่ยวไปขออาหารมา ผู้นั้นชื่อว่า ประพฤติธรรม อนึ่ง บุคคล ผู้เลี้ยงบุตรและภรรยาของตน เมื่อไทยธรรมมีน้อยก็เฉลี่ย ให้แก่สมณะ และพราหมณ์ บุคคลนั้นชื่อว่า ประพฤติธรรม ยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์ มาบูชาแก่คนผู้ควรบูชาจำนวนพัน ยัญของคนเช่นนั้น ย่อมไม่ถึงแม้ เสี้ยวแห่งผลทาน ของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบให้อยู่. [๑๔๕๑] เพราะเหตุไร ยัญนี้ก็ไพบูลย์ มีค่ามาก จึงไม่เท่าค่าแห่งผลทานของ บุคคลที่ให้โดยชอบธรรมเล่า ไฉนยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์มาบูชา แก่ แก่คนที่ควรบูชาจำนวนพันๆ จึงไม่เท่าแม้ส่วนเสี้ยวแห่งผลทาน ของ คนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรม ให้เกิดโดยชอบให้อยู่? [๑๔๕๒] เพราะว่า คนบางพวกตั้งอยู่ในกายกรรมเป็นต้น อันไม่เสมอกัน ทำสัตว์ให้ลำบากบ้าง ฆ่าให้ตายบ้าง ทำให้เศร้าโศกบ้าง แล้วจึงให้ทาน ทักขิณาทานนั้น มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา พร้อมทั้งอาชญา จึงไม่เท่าถึง ส่วนเสี้ยวแห่งผลทานที่บุคคลให้แล้วโดยชอบธรรม เพราะอย่างนี้ ยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์มาบูชายัญ แก่คนที่ควรบูชาจำนวนพันๆ จึงไม่ เท่าถึงส่วนเสี้ยวแห่งผลทาน ของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบ ให้อยู่.จบ พิลารโกสิยชาดกที่ ๑๒. ๑๓. จักกวากชาดก ว่าด้วยนกจักรพราก [๑๔๕๓] ดูกรนกจักรพราก ท่านมีสีสวย รูปงาม ร่างกายแน่นแฟ้น มีสีแดงดัง ทอง ทรวดทรงงาม ใบหน้าผุดผ่อง. [๑๔๕๔] ท่านจับอยู่ที่ฝั่งคงคา เห็นจะได้กินอาหารอย่างนี้ คือ ปลากา ปลากะบอก ปลาหมอ ปลาเค้า ปลาตะเพียน กระมัง? [๑๔๕๕] ดูกรสหาย นอกจากสาหร่ายและแหนแล้ว เรามิได้ถือเอาเนื้อสัตว์บก หรือสัตว์น้ำมากินเป็นอาหารเลย นั่นเป็นอาหารของเรา. [๑๔๕๖] เราไม่เชื่อว่า นกจักรพรากกินอาหารอย่างนั้นเลย เพื่อนเอ๋ย แม้เรากิน อาหารที่คลุกเคล้าด้วยเกลือและน้ำมันในบ้าน. [๑๔๕๗] ปรุงด้วยเนื้ออันสะอาด ซึ่งเขาทำกินกันในหมู่มนุษย์ ดูกรนกจักรพราก ถึงกระนั้น สีของเราก็ไม่เหมือนท่าน. [๑๔๕๘] ท่านเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย จึงต้องคอยมองดูผู้ที่ผูกเวรในตน แม้จะ กินก็สะดุ้งกลัว เพราะเหตุนั้น สีกายของท่านจึงเป็นเช่นนี้. [๑๔๕๙] ดูกรกา ท่านเป็นผู้ถูกคนทั่วโลกโกรธเคือง อาหารที่ท่านได้มาด้วยกรรม อันลามก ก็หาอิ่มท้องไม่ เพราะเหตุนั้น สีกายของท่าน จึงเป็นเช่น นี้. [๑๔๖๐] ดูกรสหาย ส่วนเรามิได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวงมากิน มีความขวนขวาย น้อย ไม่มีใครรังเกียจ ใจไม่ห่อเหี่ยว ภัยแต่ที่ไหนๆ ก็มิได้มี. [๑๔๖๑] ท่านนั้นจงทำอานุภาพ ละปกติคือความทุศีลของตนเสีย ไม่เบียดเบียน ใครเที่ยวไปในโลก จักเป็นที่รักใคร่ของสัตว์โลกเหมือนเรา ฉะนั้น. [๑๔๖๒] ผู้ใดไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ทำทรัพย์ให้เสื่อมเอง ไม่ใช้ผู้อื่น ทำให้เสื่อม มีเมตตาจิตในสัตว์ทั่วไป ผู้นั้นย่อมไม่มีเวรกับใคร.จบ จักกวากชาดกที่ ๑๓. ๑๔. ภูริปัญหาชาดก ว่าด้วยคนไม่ดี ๔ จำพวก [๑๔๖๓] ดูกรท่านผู้มีปัญญากว้างขวาง ได้ยินว่า คำที่ท่านอาจารย์เสนกะกล่าวนั้น เป็นความจริง ท่านเป็นผู้มีปัญญา มีศิริ มีความเพียร มีความคิดมั่นคง แม้ท่านเป็นผู้มีปัญญา มีศิริ มีความเพียร มีความคิดมั่นคงเช่นนั้น ก็ป้องกันความเข้าถึงอำนาจแห่งความฉิบหายไม่ได้ ท่านจึงต้องกินข้าว แดงไม่มีแกง. [๑๔๖๔] เราทำความสุขเดิมของเราให้เจริญได้ด้วยความยาก เมื่อพิจารณากาล อันควรและไม่ควร จึงหลบอยู่ตามความพอใจ เปิดช่องประโยชน์ให้แก่ตน ด้วยเหตุนั้น เราได้ยินดีด้วยข้าวแดง. [๑๔๖๕] ก็เรารู้จักกาลเพื่อกระทำความเพียร ยังประโยชน์ให้เจริญด้วยความรู้ของ ตนเอง อาจอยู่ เหมือนความองอาจแห่งราชสีห์ ฉะนั้น ท่านจักได้เห็น เราพร้อมด้วยความสำเร็จนั้นอีก. [๑๔๖๖] ก็บุคคลบางพวก แม้จะมีความสุขก็ไม่ทำบาป บุคคลอีกพวกหนึ่งไม่ ทำบาป เพราะเกรงกลัวต่อการเกี่ยวข้องด้วยความติเตียน ท่านเป็นคน สามารถ มีความคิดกว้างขวาง เหตุไร จึงไม่ทำทุกข์ให้เกิดแก่เรา? [๑๔๖๗] บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ประพฤติกรรมอันเป็นบาป เพราะเหตุแห่งความสุข ของตน ถูกทุกข์กระทบแล้ว แม้จะพลาดพลั้งลงไปก็สงบอยู่ได้ ไม่ ละทิ้งธรรมเพราะความรักและความชัง. [๑๔๖๘] บุคคลควรถอนตนผู้เข็ญใจขึ้น ด้วยเพศที่อ่อนแอหรือแข็งแรงอย่างใด อย่างหนึ่ง ภายหลังจึงประพฤติธรรม. [๑๔๖๙] บุคคลนอน หรือนั่งที่ร่มเงาแห่งต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งแห่งต้นไม้ นั้น เพราะบุคคลผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนชั่วช้า. [๑๔๗๐] บุรุษรู้แจ้งธรรมแต่สำนักอาจารย์ใด อนึ่ง การที่สัตบุรุษทั้งหลาย กำจัด ความสงสัยของบุรุษนั้นนั่นและ ชื่อว่าเป็นดังเกาะหรือเป็นที่พึ่งพา ของ บุรุษนั้น คนมีปัญญาไม่พึงละมิตรภาพ กับอาจารย์เช่นนั้น. [๑๔๗๑] คฤหัสถ์ผู้บริโภคกามคุณ เป็นคนเกียจคร้าน ไม่ดี บรรพชิต ผู้ไม่สำรวม ระวัง ไม่ดี พระราชาไม่ทรงพิจารณาเสียก่อน แล้วประกอบราชกิจ ไม่ดี บัณฑิตมักโกรธ ก็ไม่ดี. [๑๔๗๒] ข้าแต่พระราชา กษัตริย์ควรพิจารณาก่อน แล้วจึงค่อยประกอบราชกิจ ไม่พิจารณาก่อนไม่ควรประกอบราชกิจ พระยศและพระเกียรติ ย่อม เจริญแก่พระราชาผู้ทรงพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงประกอบราชกิจ.จบ ภูริปัญหาชาดกที่ ๑๔. ๑๕. มหามังคลชาดก ว่าด้วยมงคล [๑๔๗๓] นรชนรู้วิชาอะไรก็ดี รู้สุตะทั้งหลายอะไรก็ดี กระซิบถามกันว่า อะไร เป็นมงคล ในเวลาปรารถนามงคล นรชนนั้นจะทำอย่างไร จึงจะเป็นผู้ อันความสวัสดีคุ้มครองแล้ว ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าฯ [๑๔๗๔] เทวดาและพรหมทั้งปวง ทีฆชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย บุคคลใด อ่อนน้อมอยู่เป็นนิตย์ ด้วยเมตตา บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวเมตตา ของ บุคคลนั้นแลว่า เป็นสวัสดิมงคลในสัตว์ทั้งหลาย. [๑๔๗๕] ผู้ใดประพฤติถ่อมตนแก่สัตว์โลกทั้งปวง แก่หญิงและชาย พร้อมทั้งเด็ก เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำชั่วร้าย ไม่กล่าวลำเลิกถึงเรื่องเก่าๆ บัณฑิต ทั้งหลายกล่าวความอดกลั้น ของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคล. [๑๔๗๖] ผู้ใดเป็นผู้มีปัญญาดี มีความรู้ปรุโปร่งในเมื่อเหตุเกิดขึ้น ไม่ดูหมิ่น มิตรสหายทั้งหลายด้วย ศิลป สกุล ทรัพย์ และด้วยชาติ บัณฑิต ทั้งหลายกล่าวการไม่ดูหมิ่นสหายของผู้นั้นว่า เป็นสวัสดิมงคลในสหาย ทั้งหลาย. [๑๔๗๗] สัตบุรุษทั้งหลายเป็นผู้ชอบพอคุ้นเคยกัน เป็นมิตรแท้ของผู้ใด ผู้มีคำพูด มั่นคง อนึ่ง ผู้ใดเป็นผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร แบ่งปันทรัพย์ของตน ให้ แก่มิตร บัณฑิตทั้งหลายกล่าวการได้ประโยชน์เพราะอาศัยมิตร และการ แบ่งปันของผู้นั้นว่า เป็นความสวัสดิมงคลในมิตรทั้งหลาย. [๑๔๗๘] ภรรยาของผู้ใดมีวัยเสมอกัน อยู่รวมกันด้วยความปรองดอง ประพฤติ ตามใจกัน เป็นคนใคร่ธรรม ไม่เป็นหญิงหมัน มีศีลโดยสมควรแก่สกุล รู้จักปรนนิบัติสามี บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวคุณความดีในภรรยาของผู้นั้น ว่าเป็นสวัสดิมงคลในภรรยาทั้งหลาย. [๑๔๗๙] พระราชาเป็นเจ้าแผ่นดิน ทรงพระอิศริยยศใหญ่ ทรงทราบความสะอาด และความขยันหมั่นเพียรของราชเสวกคนใด และทรงทราบราชเสวก คนใด ด้วยความเป็นผู้ไม่ร้าวรานกับพระองค์ และทรงทราบราชเสวก คนใดว่ามีใจจงรักภักดีต่อเรา บัณฑิตทั้งหลายกล่าวคุณความดีของราช เสวกนั้นๆ ว่าเป็นสวัสดิมงคล ในพระราชาทั้งหลาย. [๑๔๘๐] บุคคลใดมีศรัทธาให้ข้าวน้ำ ให้ดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้ มีจิต เลื่อมใสอนุโมทนา บัณฑิตทั้งหลายกล่าวคุณข้อนั้นของบุคคลนั้นแล ว่าเป็นความสวัสดีในสวรรค์ทั้งหลาย. [๑๔๘๑] สัตบุรุษทั้งหลายผู้รู้แจ้งด้วยญาณ ผู้ยินดีแล้ว ในสัมมาปฏิบัติ เป็น พหูสูต แสวงหาคุณ เป็นผู้มีศีล ยังบุคคลใดให้บริสุทธิ์ด้วยอริยธรรม บัณฑิตทั้งหลายยกย่องคุณความดีของสัตบุรุษนั้น ว่าเป็นความสวัสดีใน ท่ามกลางพระอรหันต์. [๑๔๘๒] ความสวัสดีเหล่านี้แล ผู้รู้สรรเสริญแล้ว มีสุขเป็นผลกำไรในโลก นรชน ผู้มีปัญญา พึงเสพความสวัสดีเหล่านั้นไว้ในโลกนี้ ก็ในมงคลมีประเภท คือ ทิฏฐมงคล สุตมงคล และมุตมงคล มงคลสักนิดหนึ่งที่จะเป็น มงคลจริงๆ ไม่มีเลย.จบ มหามังคลชาดกที่ ๑๕. ๑๖. ฆตปัณฑิตชาดก ว่าด้วยความดับความโศก [๑๔๘๓] ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ เชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้นเถิด จะมัวทรง บรรทมอยู่ทำไม ความเจริญอะไรจะมีแก่พระองค์ด้วยพระสุบินเล่า พระภาดาของพระองค์แม้ใด เสมอด้วยพระหทัย และเสมอด้วย พระเนตรข้างขวา ลมกระทบดวงหทัยของพระภาดานั้น ข้าแต่พระเจ้า เกสวะ ฆตบัณฑิตทรงเพ้อไป. [๑๔๘๔] พระเจ้าเกสวะทรงสดับคำของโรหิเณยยอำมาตย์ นั้นแล้ว อัดอั้น พระหฤทัยด้วยความเศร้าโศก ถึงพระภาดา มีพระวรกายกระสับกระส่าย เสด็จลุกขึ้น. [๑๔๘๕] เหตุไรหนอ เจ้าจึงเป็นเหมือนคนบ้า เที่ยวบ่นเพ้ออยู่ทั่วนครทวาราวดี นี้ว่า กระต่าย กระต่าย ใครมาลักเอากระต่ายของเจ้าไปหรือ? [๑๔๘๖] เจ้าปรารถนากระต่ายทอง กระต่ายเงิน กระต่ายแก้วมณี กระต่าย สังขสิลา หรือกระต่ายแก้วประพาฬประการใด จงบอกแก่เรา เรา จะให้เขาทำให้เจ้า. ถ้าแม้เจ้าไม่ชอบกระต่ายเหล่านี้ แม้กระต่ายอื่นๆ มีอยู่ในป่า เราจะให้เขานำเอากระต่ายเหล่านั้นมาให้ เจ้าต้องการ กระต่ายชนิดใดเล่า? [๑๔๘๗] ข้าแต่พระเจ้าเกสวะ กระต่ายเหล่าใดที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน หม่อมฉัน ไม่ปรารถนากระต่ายเหล่านั้น หม่อมฉันปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดสอยกระต่ายนั้นมาให้หม่อมฉันเถิด. [๑๔๘๘] น้องรัก เจ้าปรารถนาสิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนากัน อยากได้กระต่ายจาก ดวงจันทร์ จะละชีวิตไปเสียเป็นแน่. [๑๔๘๙] ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ ถ้าพระองค์ทรงทราบและตรัสสอนผู้อื่น อย่างนี้ เหตุไรพระองค์จึงทรงเศร้าโศกถึงพระราชโอรส ผู้สิ้นพระชนม์ ไปแล้ว ในกาลก่อน จนกระทั่งถึงวันนี้เล่า? [๑๔๙๐] มนุษย์ หรือเทวดาไม่พึงได้ฐานะอันใด คือความมุ่งหวังว่า บุตรของเรา ที่เกิดมาแล้วอย่าตายเลย พระองค์ทรงปรารถนาข้า ฐานะนั้นอยู่ จะพึง ทรงได้ฐานะที่ไม่ควรได้แต่ที่ไหน ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ พระองค์ ทรงเศร้าโศกถึงพระโอรสองค์ใด ผู้ไปรโลกแล้ว พระองค์ก็ไม่สามารถ จะนำพระโอรสนั้นมาได้ด้วยมนต์ ยารากไม้ โอสถ หรือ พระราชทรัพย์ เลย. [๑๔๙๑] บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเช่นนี้ เป็นอำมาตย์ ของพระราชาพระองค์ใด พระ ราชาพระองค์นั้น จะมีความโศกมาแต่ไหน เหมือนฆตบัณฑิต ดับความ โศกของเราในวันนี้. ฆตบัณฑิตได้รดเรา ผู้เร่าร้อนให้สงบระงับ ดับความกระวนกระวายทั้งปวงได้ เหมือนบุคคลดับไฟที่ติดเปรียง ด้วยน้ำ ฉะนั้น. ฆตบัณฑิตได้ถอนลูกศรที่เสียบแทงหทัยของเราออกแล้ว ได้บรรเทาความโศก ถึงบุตรของเราผู้ถูกความเศร้าโศกครอบงำแล้วหนอ. เราเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจากความโศก ไม่ขุ่นมัว จะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังคำของเจ้า นะน้องชาย. [๑๔๙๒] ผู้มีปัญญา มีใจกรุณา ย่อมทำผู้ที่เศร้าโศก ให้หลุดพ้นจากความเศร้าโศก ได้ เหมือนฆตบัณฑิตทำพระเชฏฐาผู้เศร้าโศก ให้หลุดพ้นจากความ เศร้าโศก ฉะนั้น.จบ ฆตปัณฑิตชาดกที่ ๑๖.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
จตุทวารชาดก
ป้ายกำกับ:
จตุทวารชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น