๑. กุณฑลิกชาดก เปรียบนารีด้วยท่าน้ำ [๖๖๒] บรรดานารีทั้งหลาย เป็นคนหลายใจ ไม่มีใครสามารถจะข่มได้ ทำความ ยั่วยวนให้แก่ชายทั้งหลาย ถ้าหากว่า นารีทั้งหลายแม้จะทำให้เกิดความ ปีติได้โดยประการทั้งปวง ก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะว่า นารีทั้งหลายเปรียบ ด้วยท่าน้ำ. [๖๖๓] บัณฑิตได้พบเห็นเหตุคลายกำหนัด ของกินนรและนางกินนรีทั้งหลาย แล้ว ก็พึงรู้เสียเถิดว่า หญิงทุกคน ย่อมไม่ยินดีในเรือนของตน ภรรยา ได้ทอดทิ้งสามีผู้เช่นนั้นได้ เพราะไปพบเห็นบุรุษอื่นแม้เป็นง่อยเปลี้ย. [๖๖๔] พระมเหสีของพระเจ้าพกะ และพระเจ้าพาวริกะ ผู้หมกมุ่นอยู่ในกาม เกินส่วน ยังประพฤติล่วงกับชาวประมงคนใช้ผู้ใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจ หญิงจะไม่ประพฤติล่วงบุรุษอื่นนอกจากคนนั้นอีก มีอยู่หรือ? [๖๖๕] นางปิงคิยานี พระอัครมเหสีที่รักของพระเจ้าพรหมทัตต์ผู้เป็นอิสระแห่ง มวลโลก ได้ประพฤติล่วงกับคนเลี้ยงม้าผู้เป็นคนใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจ นางผู้ใคร่กามนั้น ไม่ได้ประสบผลแม้ทั้งสองอย่าง.จบ กุณฑลิกชาดกที่ ๑. ๒. วานรชาดก ผู้รู้เท่าถึงเหตุการณ์เอาตัวรอดได้ [๖๖๖] ดูกรจระเข้ เราสามารถยกตนขึ้นจากน้ำสู่บกได้แล้ว บัดนี้ เราจะไม่ตกอยู่ ในอำนาจของท่านอีกต่อไป. [๖๖๗] เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนทั้งหลาย เราจะต้อง ข้ามฝั่งแม่น้ำไปบริโภคผลมะเดื่อของเราดีกว่า. [๖๖๘] ผู้ใด ไม่รู้เท่าถึงเหตุการณ์ อันบังเกิดขึ้นแล้วโดยฉับพลัน ผู้นั้น จะต้อง ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู และต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง. [๖๖๙] ส่วนผู้ใด รู้เท่าถึงเหตุการณ์ ที่บังเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้น ย่อมพ้น จากความคับขันอันเกิดแต่ศัตรู และไม่ต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง.จบ วานรชาดกที่ ๒. ๓. กุนตินีชาดก ว่าด้วยการเชื่อมมิตรภาพ [๖๗๐] หม่อมฉันได้อาศัย อยู่ในพระราชนิเวศของพระองค์ พระองค์ทรงอุปถัมภ์ บำรุงมาเป็นอย่างดีมิได้ขาด มาบัดนี้ พระองค์ผู้เดียวได้ก่อเหตุขึ้น ข้าแต่ พระราชา มิฉะนั้น หม่อมฉันจะขอทูลลาไปป่าหิมพานต์. [๖๗๑] ผู้ใดแล เมื่อคนอื่นทำกรรมอันชั่วร้ายให้แก่ตนแล้ว และตนก็ได้ทำตอบ แทนแล้ว ย่อมรู้สึกได้ว่า เราได้ทำตอบแก่เขาแล้ว เวรของผู้นั้น ย่อม สงบไปด้วยอาการเพียงเท่านี้ ดูกรนางนกกระเรียน ท่านจงอยู่ก่อนเถิด อย่าเพิ่งไปเลย. [๖๗๒] มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย ย่อมเชื่อมกันไม่ติดอีก ใจของ หม่อมฉันไม่ยอมให้อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันขอทูลลาไป. [๖๗๓] มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย ย่อมกลับเชื่อมติดกันได้อีก เฉพาะพวกบัณฑิตด้วยกัน ย่อมเชื่อมกันไม่ติดอีก เฉพาะพวกชนพาล ดูกรนางนกกระเรียน ท่านจงอยู่ก่อนเถิด อย่าเพิ่งไปเลย.จบ กุนตินีชาดกที่ ๓. ๔. อัมพชาดก ว่าด้วยหญิงขโมยมะม่วง [๖๗๔] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น จงตกอยู่ใต้อำนาจ ของช่างย้อมผม และผู้เดือดร้อนเพราะแหนบ. [๖๗๕] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น ถึงจะมีอายุตั้ง ๒๐ ปี ๒๕ ปี หรือไม่ถึง ๓๐ ปี ตั้งแต่เกิดมา อย่าได้ผัวเช่นนั้นเลย. [๖๗๖] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น ถึงจะกระเสือก กระสนเที่ยวหาผัว เดินไปสู่หนทางไกลแสนไกลแต่ลำพังคนเดียว ถึง จะได้นัดแนะกันไว้แล้ว ก็ขออย่าได้พบได้เห็นผัวเลย. [๖๗๗] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น ถึงจะมีที่อยู่สะอาด ตบแต่งร่างกายทัดทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ก็จงนอนอยู่บน ที่นอนแต่เพียงคนเดียวเถิด.จบ อัมพชาดกที่ ๔. ๕. คชกุมภชาดก ช้าๆ จะได้พร้าสองเล่มงาม [๖๗๘] ดูกรเจ้าตัวคืบ ไฟไหม้ป่า คราวใด คราวนั้น เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าเป็น สัตว์มีความบากบั่นอ่อนแออย่างนี้? [๖๗๙] โพรงไม้ และระแหงแผ่นดิน มีอยู่เป็นอันมาก ถ้าพวกข้าพเจ้าไปไม่ทัน ถึงโพรงไม้ และระแหงแผ่นดินเหล่านั้น พวกข้าพเจ้าก็ต้องตาย. [๖๘๐] ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ ผู้ใด รีบด่วนทำเสียเร็ว ในเวลาที่จะต้องรีบด่วน ทำกลับทำช้าไป ผู้นั้น ย่อมตัดรอนประโยชน์ของตนเอง เหมือนคน เหยียบใบตาลแห้งแหลกละเอียดไป ฉะนั้น. [๖๘๑] ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ ผู้ใด ทำช้า และในเวลาที่จะต้องรีบทำด่วนก็รีบ ด่วนทำเสีย ประโยชน์ของผู้นั้น ย่อมบริบูรณ์เหมือนดวงจันทร์ส่องแสง สว่างในกลางคืน ฉะนั้น.จบ คชกุมภชาดกที่ ๕. ๖. เกสวชาดก ความคุ้นเคยเป็นรสอันยอดเยี่ยม [๖๘๒] เป็นอย่างไรหนอ เกสวะดาบสผู้ควรบูชาของข้าพเจ้าทั้งหลายจึงละความ เป็นพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นจอมมนุษย์ ซึ่งสามารถให้สำเร็จประสงค์ทุก อย่างทุกประการ แล้วมายินดีอยู่ในอาศรมของกัปปดาบส? [๖๘๓] ดูกรนารทอำมาตย์ หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ใจ มีอยู่ ถ้อยคำของกัปปดาบส เป็นสุภาษิต ไพเราะ น่ารื่นรมย์ใจ ยังอาตมาให้ยินดี. [๖๘๔] พระคุณเจ้าบริโภคข้าวสุกสาลีที่ปรุงด้วยเนื้อสะอาด ไฉนข้าวฟ่างและ ลูกเดือยอันหารสมิได้เลย จึงทำให้พระคุณเจ้ายินดีได้เล่า. [๖๘๕] ของบริโภคจะดีหรือไม่ดีก็ตาม จะน้อยหรือมากก็ตาม บุคคลใดคุ้นเคย กันแล้ว จะพึงบริโภค ณ ที่ใด การบริโภค ณ ที่นั้นแหละดี เพราะรส ทั้งหลาย มีความคุ้นเคยกันเป็นยอดเยี่ยม.จบ เกสวชาดกที่ ๖. ๗. อยกูฏชาดก ว่าด้วยยักษ์ถือกระบองเหล็กใหญ่ [๖๘๖] ท่านผู้ใด ยืนถือกระบองเหล็กอันใหญ่โตเหลือขนาดอยู่บนอากาศ ท่าน ผู้นั้น มาสถิตอยู่เพื่อจะคุ้มครองข้าพเจ้าในวันนี้หรือ หรือจะพยายามมา ฆ่า ข้าพเจ้า? [๖๘๗] ดูกรพระราชา เราเป็นทูตของพวกยักษ์ ถูกพวกยักษ์เหล่านั้นส่งมา ณ ที่นี้ เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ แต่ท้าวสักรินทร์เทวราชคุ้มครอง พระองค์อยู่ เพราะเหตุนั้น เราจึงผ่าพระเศียรของพระองค์ไม่ได้. [๖๘๘] ก็ถ้าท้าวมัฆวาฬเทวราชผู้เป็นจอมทวยเทพ พระสวามีของนางสุชาดา คุ้มครองข้าพเจ้าอยู่ มิฉะนั้น พวกปีศาจก็คงคุกคามเหล่าสัตว์ทั้งหลาย เป็นแน่ ข้าพเจ้าไม่ได้สะดุ้งกลัวต่อพวกยักษ์เลย. [๖๘๙] พวกกุมภัณฑ์ และพวกปีศาจทั้งมวญจะคร่ำครวญกันไปก็ตามเถิด พวกมันคงไม่อาจจะต่อยุทธกับข้าพเจ้า กิริยาที่หลอกหลอนของพวกยักษ์ ซึ่งทำให้น่ากลัวต่างๆ นั้น มีอยู่เป็นอันมาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว.จบ อยกูฏชาดกที่ ๗. ๘. อรัญญชาดก ว่าด้วยการเลือกคบคน [๖๙๐] คุณพ่อ ผมออกจากป่าไปสู่บ้านแล้ว จะพึงคบคนที่มีศีลอย่างไร มีวัตร อย่างไร ผมถามแล้ว ขอคุณพ่อจงบอกข้อนั้นแก่ผมด้วย? [๖๙๑] ลูกเอ๋ย ผู้ใด พึงคุ้นเคยกะเจ้าก็ดี พึงอดทนความคุ้นเคยของเจ้าได้ก็ดี เชื่อถือคำพูดของเจ้าก็ดี งดโทษให้เจ้าก็ดี เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงคบหาผู้นั้น เถิด. [๖๙๒] ผู้ใด ไม่มีกรรมชั่วด้วยกาย วาจาและใจ เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงคบหาผู้นั้น ทำตนให้เหมือนบุตรผู้เกิดจากอกของผู้นั้นเถิด. [๖๙๓] ลูกเอ๋ย คนที่มีจิตเหมือนน้ำย้อมขมิ้น มีจิตกลับกลอก รักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าอย่าคบหาคนเช่นนั้นเลย ถึงหากว่า พื้นชมพูทวีปทั้งหมดจะไม่มี มนุษย์ก็ตาม.จบ อรัญญชาดกที่ ๘. ๙. สันธิเภทชาดก ว่าด้วยโทษที่เชื่อถือคำส่อเสียด [๖๙๔] ดูกรนายสารถี สัตว์ทั้ง ๒ นี้ ไม่ได้มีความเสมอกันเพราะสตรีทั้งหลาย เลย ไม่ได้มีความเสมอกันเพราะอาหารเลย ภายหลัง เมื่อสุนัขจิ้งจอก ยุยงทำลายความสนิทสนมกันเสียจนถึงให้ตาย ท่านจงเห็นเหตุนั้นซึ่ง ฉันคิดไว้ถูกต้องแล้ว. [๖๙๕] พวกสุนัขจิ้งจอกพากันกัดกินโค และราชสีห์ เพราะคำส่อเสียดใด คำส่อเสียดนั้น ย่อมเป็นไปถึงตัดมิตรภาพเพราะเนื้อ ดุจดาบคม ฉะนั้น. [๖๙๖] ดูกรนายสารถี ท่านจงดูการนอนตายของสัตว์ทั้ง ๒ นี้ ผู้ใด เชื่อถือถ้อยคำของ คนส่อเสียด ผู้มุ่งทำลายความสนิทสนม ผู้นั้น จะต้องนอนตายอย่างนี้. [๖๙๗] ดูกรนายสารถี นรชนเหล่าใด ไม่เชื่อถือถ้อยคำของคนส่อเสียด ผู้มุ่ง ทำลายความสนิทสนม นรชนเหล่านั้น ย่อมได้ประสบความสุขเหมือน คนไปสวรรค์ ฉะนั้น.จบ สันธิเภทชาดกที่ ๙. ๑๐. เทวตาปัญหาชาดก ว่าด้วยปัญหาของเทวดา [๖๙๘] ดูกรพระราชา บุคคลประหารผู้อื่นด้วยมือทั้ง ๒ ด้วยเท้าทั้ง ๒ แล้วเอามือ ประหารปากผู้อื่น บุคคลนั้น กลับเป็นที่รักของผู้ถูกประหาร เพราะเหตุ นั้น พระองค์ทรงเห็นผู้ที่ถูกประหารนั้นว่า ได้แก่ใคร? [๖๙๙] ดูกรพระราชา บุคคลด่าผู้อื่นตามความพอใจ แต่ไม่ปรารถนาให้ผู้ที่ถูกด่า นั้นได้รับภัยอันตราย บุคคลนั้น กลับเป็นที่รักของผู้ด่า เพราะเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นผู้ด่านั้นว่า ได้แก่ใคร? [๗๐๐] ดูกรพระราชา บุคคลกล่าวตู่ด้วยถ้อยคำไม่เป็นจริง และท้วงติงด้วยคำ อันเหลาะแหละ บุคคลนั้น กลับเป็นที่รักแห่งกันและกัน เพราะเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นผู้นั้นว่า ได้แก่ใคร? [๗๐๑] ดูกรพระราชา บุคคลผู้นำเอาข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะไป (ชื่อว่าผู้นำ เอาไปมีอยู่โดยแท้) บุคคลเหล่านั้น กลับเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ เพราะเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นผู้นั้นว่า ได้แก่ใคร?จบ เทวตาปัญหาชาดกที่ ๑๐.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
กุณฑลิกชาดก
ป้ายกำกับ:
กุณฑลิกชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น