วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

กุณฑลิกชาดก

๑. กุณฑลิกชาดก
เปรียบนารีด้วยท่าน้ำ
             [๖๖๒] บรรดานารีทั้งหลาย เป็นคนหลายใจ ไม่มีใครสามารถจะข่มได้ ทำความ                           ยั่วยวนให้แก่ชายทั้งหลาย ถ้าหากว่า นารีทั้งหลายแม้จะทำให้เกิดความ                           ปีติได้โดยประการทั้งปวง ก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะว่า นารีทั้งหลายเปรียบ                           ด้วยท่าน้ำ.              [๖๖๓] บัณฑิตได้พบเห็นเหตุคลายกำหนัด ของกินนรและนางกินนรีทั้งหลาย                           แล้ว ก็พึงรู้เสียเถิดว่า หญิงทุกคน ย่อมไม่ยินดีในเรือนของตน ภรรยา                           ได้ทอดทิ้งสามีผู้เช่นนั้นได้ เพราะไปพบเห็นบุรุษอื่นแม้เป็นง่อยเปลี้ย.              [๖๖๔] พระมเหสีของพระเจ้าพกะ และพระเจ้าพาวริกะ ผู้หมกมุ่นอยู่ในกาม                           เกินส่วน ยังประพฤติล่วงกับชาวประมงคนใช้ผู้ใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจ                           หญิงจะไม่ประพฤติล่วงบุรุษอื่นนอกจากคนนั้นอีก มีอยู่หรือ?              [๖๖๕] นางปิงคิยานี พระอัครมเหสีที่รักของพระเจ้าพรหมทัตต์ผู้เป็นอิสระแห่ง                           มวลโลก ได้ประพฤติล่วงกับคนเลี้ยงม้าผู้เป็นคนใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจ                           นางผู้ใคร่กามนั้น ไม่ได้ประสบผลแม้ทั้งสองอย่าง.
จบ กุณฑลิกชาดกที่ ๑.
๒. วานรชาดก
ผู้รู้เท่าถึงเหตุการณ์เอาตัวรอดได้
             [๖๖๖] ดูกรจระเข้ เราสามารถยกตนขึ้นจากน้ำสู่บกได้แล้ว บัดนี้ เราจะไม่ตกอยู่                           ในอำนาจของท่านอีกต่อไป.              [๖๖๗] เราไม่ต้องการด้วยผลมะม่วง ผลหว้า และผลขนุนทั้งหลาย เราจะต้อง                           ข้ามฝั่งแม่น้ำไปบริโภคผลมะเดื่อของเราดีกว่า.              [๖๖๘] ผู้ใด ไม่รู้เท่าถึงเหตุการณ์ อันบังเกิดขึ้นแล้วโดยฉับพลัน ผู้นั้น จะต้อง                           ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู และต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง.              [๖๖๙] ส่วนผู้ใด รู้เท่าถึงเหตุการณ์ ที่บังเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้น ย่อมพ้น                           จากความคับขันอันเกิดแต่ศัตรู และไม่ต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง.
จบ วานรชาดกที่ ๒.
๓. กุนตินีชาดก
ว่าด้วยการเชื่อมมิตรภาพ
             [๖๗๐] หม่อมฉันได้อาศัย อยู่ในพระราชนิเวศของพระองค์ พระองค์ทรงอุปถัมภ์                           บำรุงมาเป็นอย่างดีมิได้ขาด มาบัดนี้ พระองค์ผู้เดียวได้ก่อเหตุขึ้น ข้าแต่                           พระราชา มิฉะนั้น หม่อมฉันจะขอทูลลาไปป่าหิมพานต์.              [๖๗๑] ผู้ใดแล เมื่อคนอื่นทำกรรมอันชั่วร้ายให้แก่ตนแล้ว และตนก็ได้ทำตอบ                           แทนแล้ว ย่อมรู้สึกได้ว่า เราได้ทำตอบแก่เขาแล้ว เวรของผู้นั้น ย่อม                           สงบไปด้วยอาการเพียงเท่านี้ ดูกรนางนกกระเรียน ท่านจงอยู่ก่อนเถิด                           อย่าเพิ่งไปเลย.              [๖๗๒] มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย ย่อมเชื่อมกันไม่ติดอีก ใจของ                           หม่อมฉันไม่ยอมให้อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เพราะเหตุนั้น                           หม่อมฉันขอทูลลาไป.              [๖๗๓] มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย ย่อมกลับเชื่อมติดกันได้อีก                           เฉพาะพวกบัณฑิตด้วยกัน ย่อมเชื่อมกันไม่ติดอีก เฉพาะพวกชนพาล                           ดูกรนางนกกระเรียน ท่านจงอยู่ก่อนเถิด อย่าเพิ่งไปเลย.
จบ กุนตินีชาดกที่ ๓.
๔. อัมพชาดก
ว่าด้วยหญิงขโมยมะม่วง
             [๖๗๔] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น จงตกอยู่ใต้อำนาจ                           ของช่างย้อมผม และผู้เดือดร้อนเพราะแหนบ.              [๖๗๕] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น ถึงจะมีอายุตั้ง                           ๒๐ ปี ๒๕ ปี หรือไม่ถึง ๓๐ ปี ตั้งแต่เกิดมา อย่าได้ผัวเช่นนั้นเลย.              [๖๗๖] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น ถึงจะกระเสือก                           กระสนเที่ยวหาผัว เดินไปสู่หนทางไกลแสนไกลแต่ลำพังคนเดียว ถึง                           จะได้นัดแนะกันไว้แล้ว ก็ขออย่าได้พบได้เห็นผัวเลย.              [๖๗๗] หญิงคนใด ลักมะม่วงทั้งหลายของท่าน หญิงคนนั้น ถึงจะมีที่อยู่สะอาด                           ตบแต่งร่างกายทัดทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ก็จงนอนอยู่บน                           ที่นอนแต่เพียงคนเดียวเถิด.
จบ อัมพชาดกที่ ๔.
๕. คชกุมภชาดก
ช้าๆ จะได้พร้าสองเล่มงาม
             [๖๗๘] ดูกรเจ้าตัวคืบ ไฟไหม้ป่า คราวใด คราวนั้น เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าเป็น                           สัตว์มีความบากบั่นอ่อนแออย่างนี้?              [๖๗๙] โพรงไม้ และระแหงแผ่นดิน มีอยู่เป็นอันมาก ถ้าพวกข้าพเจ้าไปไม่ทัน                           ถึงโพรงไม้ และระแหงแผ่นดินเหล่านั้น พวกข้าพเจ้าก็ต้องตาย.              [๖๘๐] ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ ผู้ใด รีบด่วนทำเสียเร็ว ในเวลาที่จะต้องรีบด่วน                           ทำกลับทำช้าไป ผู้นั้น ย่อมตัดรอนประโยชน์ของตนเอง เหมือนคน                           เหยียบใบตาลแห้งแหลกละเอียดไป ฉะนั้น.              [๖๘๑] ในเวลาที่จะต้องทำช้าๆ ผู้ใด ทำช้า และในเวลาที่จะต้องรีบทำด่วนก็รีบ                           ด่วนทำเสีย ประโยชน์ของผู้นั้น ย่อมบริบูรณ์เหมือนดวงจันทร์ส่องแสง                           สว่างในกลางคืน ฉะนั้น.
จบ คชกุมภชาดกที่ ๕.
๖. เกสวชาดก
ความคุ้นเคยเป็นรสอันยอดเยี่ยม
             [๖๘๒] เป็นอย่างไรหนอ เกสวะดาบสผู้ควรบูชาของข้าพเจ้าทั้งหลายจึงละความ                           เป็นพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นจอมมนุษย์ ซึ่งสามารถให้สำเร็จประสงค์ทุก                           อย่างทุกประการ แล้วมายินดีอยู่ในอาศรมของกัปปดาบส?              [๖๘๓] ดูกรนารทอำมาตย์ หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ใจ มีอยู่ ถ้อยคำของกัปปดาบส                           เป็นสุภาษิต ไพเราะ น่ารื่นรมย์ใจ ยังอาตมาให้ยินดี.              [๖๘๔] พระคุณเจ้าบริโภคข้าวสุกสาลีที่ปรุงด้วยเนื้อสะอาด ไฉนข้าวฟ่างและ                           ลูกเดือยอันหารสมิได้เลย จึงทำให้พระคุณเจ้ายินดีได้เล่า.              [๖๘๕] ของบริโภคจะดีหรือไม่ดีก็ตาม จะน้อยหรือมากก็ตาม บุคคลใดคุ้นเคย                           กันแล้ว จะพึงบริโภค ณ ที่ใด การบริโภค ณ ที่นั้นแหละดี เพราะรส                           ทั้งหลาย มีความคุ้นเคยกันเป็นยอดเยี่ยม.
จบ เกสวชาดกที่ ๖.
๗. อยกูฏชาดก
ว่าด้วยยักษ์ถือกระบองเหล็กใหญ่
             [๖๘๖] ท่านผู้ใด ยืนถือกระบองเหล็กอันใหญ่โตเหลือขนาดอยู่บนอากาศ ท่าน                           ผู้นั้น มาสถิตอยู่เพื่อจะคุ้มครองข้าพเจ้าในวันนี้หรือ หรือจะพยายามมา                           ฆ่า ข้าพเจ้า?              [๖๘๗] ดูกรพระราชา เราเป็นทูตของพวกยักษ์ ถูกพวกยักษ์เหล่านั้นส่งมา                           ณ ที่นี้ เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ แต่ท้าวสักรินทร์เทวราชคุ้มครอง                           พระองค์อยู่ เพราะเหตุนั้น เราจึงผ่าพระเศียรของพระองค์ไม่ได้.              [๖๘๘] ก็ถ้าท้าวมัฆวาฬเทวราชผู้เป็นจอมทวยเทพ พระสวามีของนางสุชาดา                           คุ้มครองข้าพเจ้าอยู่ มิฉะนั้น พวกปีศาจก็คงคุกคามเหล่าสัตว์ทั้งหลาย                           เป็นแน่ ข้าพเจ้าไม่ได้สะดุ้งกลัวต่อพวกยักษ์เลย.              [๖๘๙] พวกกุมภัณฑ์ และพวกปีศาจทั้งมวญจะคร่ำครวญกันไปก็ตามเถิด                           พวกมันคงไม่อาจจะต่อยุทธกับข้าพเจ้า กิริยาที่หลอกหลอนของพวกยักษ์                           ซึ่งทำให้น่ากลัวต่างๆ นั้น มีอยู่เป็นอันมาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว.
จบ อยกูฏชาดกที่ ๗.
๘. อรัญญชาดก
ว่าด้วยการเลือกคบคน
             [๖๙๐] คุณพ่อ ผมออกจากป่าไปสู่บ้านแล้ว จะพึงคบคนที่มีศีลอย่างไร มีวัตร                           อย่างไร ผมถามแล้ว ขอคุณพ่อจงบอกข้อนั้นแก่ผมด้วย?              [๖๙๑] ลูกเอ๋ย ผู้ใด พึงคุ้นเคยกะเจ้าก็ดี พึงอดทนความคุ้นเคยของเจ้าได้ก็ดี                           เชื่อถือคำพูดของเจ้าก็ดี งดโทษให้เจ้าก็ดี เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงคบหาผู้นั้น                           เถิด.              [๖๙๒] ผู้ใด ไม่มีกรรมชั่วด้วยกาย วาจาและใจ เจ้าไปจากที่นี้แล้วจงคบหาผู้นั้น                           ทำตนให้เหมือนบุตรผู้เกิดจากอกของผู้นั้นเถิด.              [๖๙๓] ลูกเอ๋ย คนที่มีจิตเหมือนน้ำย้อมขมิ้น มีจิตกลับกลอก รักง่ายหน่ายเร็ว                           เจ้าอย่าคบหาคนเช่นนั้นเลย ถึงหากว่า พื้นชมพูทวีปทั้งหมดจะไม่มี                           มนุษย์ก็ตาม.
จบ อรัญญชาดกที่ ๘.
๙. สันธิเภทชาดก
ว่าด้วยโทษที่เชื่อถือคำส่อเสียด
             [๖๙๔] ดูกรนายสารถี สัตว์ทั้ง ๒ นี้ ไม่ได้มีความเสมอกันเพราะสตรีทั้งหลาย                           เลย ไม่ได้มีความเสมอกันเพราะอาหารเลย ภายหลัง เมื่อสุนัขจิ้งจอก                           ยุยงทำลายความสนิทสนมกันเสียจนถึงให้ตาย ท่านจงเห็นเหตุนั้นซึ่ง                           ฉันคิดไว้ถูกต้องแล้ว.              [๖๙๕] พวกสุนัขจิ้งจอกพากันกัดกินโค และราชสีห์ เพราะคำส่อเสียดใด                           คำส่อเสียดนั้น ย่อมเป็นไปถึงตัดมิตรภาพเพราะเนื้อ ดุจดาบคม ฉะนั้น.              [๖๙๖] ดูกรนายสารถี ท่านจงดูการนอนตายของสัตว์ทั้ง ๒ นี้ ผู้ใด เชื่อถือถ้อยคำของ                           คนส่อเสียด ผู้มุ่งทำลายความสนิทสนม ผู้นั้น จะต้องนอนตายอย่างนี้.              [๖๙๗] ดูกรนายสารถี นรชนเหล่าใด ไม่เชื่อถือถ้อยคำของคนส่อเสียด ผู้มุ่ง                           ทำลายความสนิทสนม นรชนเหล่านั้น ย่อมได้ประสบความสุขเหมือน                           คนไปสวรรค์ ฉะนั้น.
จบ สันธิเภทชาดกที่ ๙.
๑๐. เทวตาปัญหาชาดก
ว่าด้วยปัญหาของเทวดา
             [๖๙๘] ดูกรพระราชา บุคคลประหารผู้อื่นด้วยมือทั้ง ๒ ด้วยเท้าทั้ง ๒ แล้วเอามือ                           ประหารปากผู้อื่น บุคคลนั้น กลับเป็นที่รักของผู้ถูกประหาร เพราะเหตุ                           นั้น พระองค์ทรงเห็นผู้ที่ถูกประหารนั้นว่า ได้แก่ใคร?              [๖๙๙] ดูกรพระราชา บุคคลด่าผู้อื่นตามความพอใจ แต่ไม่ปรารถนาให้ผู้ที่ถูกด่า                           นั้นได้รับภัยอันตราย บุคคลนั้น กลับเป็นที่รักของผู้ด่า เพราะเหตุนั้น                           พระองค์ทรงเห็นผู้ด่านั้นว่า ได้แก่ใคร?              [๗๐๐] ดูกรพระราชา บุคคลกล่าวตู่ด้วยถ้อยคำไม่เป็นจริง และท้วงติงด้วยคำ                           อันเหลาะแหละ บุคคลนั้น กลับเป็นที่รักแห่งกันและกัน เพราะเหตุนั้น                           พระองค์ทรงเห็นผู้นั้นว่า ได้แก่ใคร?              [๗๐๑] ดูกรพระราชา บุคคลผู้นำเอาข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะไป (ชื่อว่าผู้นำ                           เอาไปมีอยู่โดยแท้) บุคคลเหล่านั้น กลับเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ                           เพราะเหตุนั้น พระองค์ทรงเห็นผู้นั้นว่า ได้แก่ใคร?
จบ เทวตาปัญหาชาดกที่ ๑๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น