๑. ขุรปุตตชาดก ว่าด้วยทำตนให้ไร้ประโยชน์ [๙๐๕] เป็นความจริงทีเดียว ที่บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า แพะเป็นสัตว์โง่เขลา ดูเถิด แพะโง่เขลา มิได้รู้จักกรรมที่ควรทำในที่ลับและที่แจ้ง. [๙๐๖] แน่ะม้าผู้เป็นสหาย ท่านจงรู้เถิดว่า ท่านเป็นสัตว์โง่เขลา เพราะท่าน นั่นแหละถูกเขาผูกด้วยเชือก มีปากคดถูกปิดหน้า. [๙๐๗] แน่ะสหาย ความโง่ของเจ้ายังมีอยู่อีก เจ้าเขาแก้ออกแล้วไม่หนีไปเสีย นั่นและชื่อว่า เจ้ายังมีโง่อยู่อีก แน่ะสหาย พระเจ้าเสนกะที่เจ้าพา ไปนั้นยังโง่ไปกว่าเจ้าเสียอีก. [๙๐๘] ดูกรพระยาแพะผู้สหาย ได้ยินว่า ท่านรู้ว่า เราเป็นสัตว์โง่เขลา แต่ พระเจ้าเสนกะ โง่เขลากว่า เพราะเหตุไรเล่า ขอเจ้าจงบอกเหตุที่เราถาม นั้นเถิด? [๙๐๙] พระเจ้าเสนกะได้มนต์วิเศษชื่อว่า สัพพรุทชานนมนต์ แล้วประทาน มนต์นั้นแก่พระอัครมเหสี ทรงยอมสละพระองค์ ด้วยเหตุนั้น พระ- อัครมเหสีนั้น จักไม่เป็นพระเทวีของพระเจ้าเสนกะ เพราะฉะนั้น พระเจ้าเสนกะจึงทรงโง่เขลากว่าท่าน. [๙๑๐] ข้าแต่จอมประชาชน บุคคลผู้เช่นกับพระองค์ ทำตนให้ไร้ประโยชน์ ด้วยคิดว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา ชื่อว่า ไม่ซ่องเสพสิ่งที่เป็นที่รัก ทั้งหลาย ตนเท่านั้น ประเสริฐกว่าสิ่งที่ประเสริฐอย่างอื่น ภรรยาผู้เป็นที่ รักอันบุรุษผู้มีตนอันเจริญแล้วอาจจะได้ในภายหลัง.จบ ขุรปุตตชาดกที่ ๑. ๒. สูจิชาดก ว่าด้วยเข็ม [๙๑๑] ใครต้องการจะซื้อเข็มอันไม่ขรุขระ ไม่หยาบ ชุบแก่กล้า มีรูอันเรียบร้อย ละเอียด มีปลายคมบ้าง? [๙๑๒] ใครต้องการจะซื้อเข็มอันเกลี้ยงเกลา เจาะรูเรียบร้อย สนได้คล่อง แข็งแกร่ง อาจแทงทั่งให้ทะลุได้บ้าง? [๙๑๓] เวลานี้ เข็มและเบ็ดทั้งหลาย ย่อมแพร่หลายออกไปจากบ้านช่างทองนี้ ทั้งนั้น ใครเล่าจะปรารถนามาขายเข็มในบ้านช่างทอง? [๙๑๔] ศาตราทั้งหลายก็แพร่หลายออกมาจากบ้านช่างทองนี้ แม้การงานเป็น อันมาก ย่อมดำเนินไปด้วยเครื่องอุปกรณ์ที่ได้มาจากบ้านช่างทองนี้ทั้งนั้น ใครเล่าจะปรารถนามาขายเข็มในบ้านช่างทอง? [๙๑๕] คนฉลาดควรจะขายเข็มในบ้านช่างทอง อาจารย์ทั้งหลาย ย่อมรู้กรรมที่ บุคคลทำดี และทำชั่วได้ดี. [๙๑๖] ดูกรนางผู้เจริญ ถ้าบิดาของท่าน จะพึงรู้เข็มที่ข้าพเจ้าทำนี้ จะต้องยกท่าน ให้ข้าพเจ้า พร้อมด้วยทรัพย์อย่างอื่นที่มีอยู่ในเรือน.จบ สูจิชาดกที่ ๒. ๓. ตุณฑิลชาดก ธรรมเหมือนน้ำ บาปธรรมเหมือนเหงื่อไคล [๙๑๗] วันนี้ มารดาให้ข้าวที่เทลงใหม่ๆ รางข้าวก็เต็ม มารดาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ รางข้าวนั้น ใช่แต่เท่านั้น ยังมีคนเป็นอันมากยืนถือบ่วงอยู่ ฉันไม่พอใจ จะบริโภคข้าวนั้นเลย. [๙๑๘] เจ้าสะดุ้งกลัวภัย หมุนไปมา ปรารถนาที่ซ่อนเร้น เป็นผู้ไร้ที่พึ่ง จะไป ไหนเล่า ดูกรน้องตุณฑิละ เจ้าจงมีความขวนขวายน้อยบริโภคอาหาร เสียเถิด เราทั้งสองมารดาเลี้ยงไว้ ก็เพื่อจะต้องการเนื้อ. [๙๑๙] เจ้าจงหยั่งลงยังห้วงน้ำที่ไม่มีเปือกตม แล้วชำระเหงื่อและมลทินทั้งปวง เสีย จงถือเอาเครื่องลูบไล้ใหม่ๆ ที่มีกลิ่นหอม ไม่รู้จักหายในกาล ไหนๆ เถิด. [๙๒๐] อะไรหนอ ที่ท่านกล่าวว่า ห้วงน้ำไม่มีเปือกตม อะไรเล่า ท่านกล่าวว่า เหงื่อไคลและมลทิน และอะไรเล่า ท่านกล่าวว่า เครื่องลูบไล้ใหม่ๆ ที่มีกลิ่นหอม ไม่รู้จักหายในกาลไหนๆ? [๙๒๑] ธรรมบัณฑิตกล่าวว่า เป็นห้วงน้ำไม่มีเปือกตม บาปธรรมบัณฑิตกล่าวว่า เหงื่อไคลและมลทิน และศีลบัณฑิตกล่าวว่า เป็นเครื่องลูบไล้ใหม่ที่มี กลิ่นหอม ไม่รู้จักหายในกาลไหนๆ. [๙๒๒] มนุษย์ทั้งหลาย ผู้โง่เขลา ฆ่าตัวเอง ย่อมพอใจทำบาป ส่วนสัตว์ผู้รักษาตัวเอง ย่อมไม่พอใจทำบาป สัตว์ทั้งหลาย รื่นเริงในเดือนมีพระจันทร์เต็มดวง ย่อมสละชีวิตได้.จบ ตุณฑิลชาดกที่ ๓. ๔. สุวรรณกักกฏกชาดก ว่าด้วยปูตัวฉลาด [๙๒๓] ปูมีก้ามเหมือนเขาแห่งมฤค ตายาว มีกระดูกเป็นหนัง อาศัยอยู่ในน้ำ ไม่มีขน เราถูกมันหนีบร้องไห้อยู่เหมือนคนกำพร้า ดูกรสหายผู้เจริญ เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงละทิ้งเราไปเสีย? [๙๒๔] งูเห่า เมื่อจะปลอบกาให้เบาใจ จึงแผ่แม่เบี้ยใหญ่เลื้อยไปใกล้ปู จะช่วยเหลือสหายของตนไว้ ปูจึงเอาก้ามอีกข้างหนีบคอไว้. [๙๒๕] ก็ปูเป็นสัตว์ต้องการอาหารแต่ไม่กินกา ไม่กินงู ดูกรท่านผู้มีตายาว เราขอถามท่าน เพราะเหตุไร ท่านจึงหนีบเราทั้งสองไว้? [๙๒๖] บุรุษใดปรารถนาประโยชน์แก่เรา จับเราไปปล่อยในน้ำ บุรุษนั้น เมื่อเขาตาย ความทุกข์จักมีแก่เราไม่น้อย เรากับบุรุษนั้นเป็นคนๆ เดียวกัน [๙๒๗] อนึ่ง คนทั้งปวงได้เห็นเราผู้มีกายอันเติบโตขึ้น ก็ปรารถนาจะเบียดเบียน เราผู้มีเนื้อดีและอ่อนนุ่ม แม้กาทั้งหลายเห็นเราแล้วก็พึงเบียดเบียนเรา. [๙๒๘] ถ้าท่านหนีบเราทั้งสองไว้ เพราะเหตุบุรุษนั้น ก็ขอให้บุรุษจงลุกขึ้นเถิด เราจะดูดพิษออกเสียให้หมด ขอท่านจงรีบปล่อยเรา และกาโดยเร็วเถิด ก่อนที่พิษจะแล่นเข้าไปสู่บุรุษรุนแรง ทำให้ตายเสีย. [๙๒๙] เราจะปล่อยงูไป แต่กาเรายังไม่ปล่อยก่อน เพราะว่า เราจะเอากาไว้เป็น ประกันก่อน เราเห็นบุรุษมีความสุข ปราศจากโรคแล้ว จึงจะปล่อย กาไป เหมือนกับงู. [๙๓๐] พระเทวทัตต์ในครั้งนั้น ได้เกิดเป็นกา ส่วนช้างเกิดเป็นงูเห่า พระอานนท์ ผู้เจริญเกิดเป็นปู เราผู้เป็นศาสดาในครั้งนั้น เกิดเป็นพราหมณ์.จบ สุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๔. ๕. มัยหสกุณชาดก ว่าด้วยการใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ [๙๓๑] นกชื่อว่ามัยหกะ เที่ยวไปตามไหล่เขาและซอกเขา บินไปสู่ต้นเลียบ อันมีผลสุก แล้วร้องว่า ของเราๆ. [๙๓๒] เมื่อนกมัยหกะนั้น รำพันเพ้ออยู่อย่างนั้น ฝูงนกทั้งหลายก็พากันบินมา จิกกินผลเลียบแล้วพากันบินไปต้นอื่น ส่วนนกมัยหกะนั้น ก็ร้องเพ้ออยู่ นั่นเอง. [๙๓๓] บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน รวบรวมทรัพย์ไว้มากมายแล้ว ตนเองก็ไม่ได้ใช้สอย ทั้งไม่แบ่งปันให้ญาติทั้งหลายตามส่วน. [๙๓๔] บุคคลนั้น ไม่ใช้เป็นค่าเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ อะไรๆ สักครั้งเดียวเลย ไม่สงเคราะห์ญาติทั้งหลาย. [๙๓๕] เมื่อบุคคลนั้นเฝ้ารำพันอยู่อย่างนี้ว่า ของเราๆ พระราชา โจร หรือ ทายาทที่ไม่ชอบพอกันย่อมมาถือเอาทรัพย์ไป บุคคลนั้น ก็รำพันเพ้ออยู่ นั่นเอง. [๙๓๖] นักปราชญ์อาศัยทรัพย์สมบัติแล้ว ย่อมสงเคราะห์ญาติ ย่อมได้เกียรติคุณ เพราะทรัพย์นั้น ละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์.จบ มัยหสกุณชาดกที่ ๕. ๖. ปัพพชิตวิเหฐกชาดก ว่าด้วยกราบไหว้ผู้ควรกราบไหว้ [๙๓๗] ท่านมีรูปงาม ประนมมือนอบน้อมสมณะผู้มีรูปร่างไม่น่าดู สมณะนั้น ประเสริฐกว่าท่าน หรือว่าเสมอกับท่าน ท่านจงบอกชื่อสมณะนั้นและ ชื่อของตนแก่เรา. [๙๓๘] ข้าแต่พระราชา เทวดาทั้งหลาย ย่อมไม่ถือเอานามและโคตรของ พระขีณาสพผู้พร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติตรงๆ ก็แต่ว่า หม่อมฉันจะบอก ชื่อของหม่อมฉันแก่พระองค์ หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมเทพชาว ไตรทศทั้งหลาย. [๙๓๙] ข้าแต่เทวราช หม่อมฉันขอถามเนื้อความนี้กะพระองค์ ผู้ใด เห็นภิกษุ ผู้ประกอบด้วยจรณะแล้วประนมมือนอบน้อม ผู้นั้น จุติจากมนุษยโลกนี้ ไปแล้ว จะได้ความสุขอะไร? [๙๔๐] ผู้ใด เห็นภิกษุผู้ประกอบด้วยจรณะแล้ว ประนมมือนอบน้อม ผู้นั้น ย่อมได้ความสรรเสริญในปัจจุบัน และเมื่อตายไปแล้ว ย่อม ไปสวรรค์. [๙๔๑] ปัญญารู้ผลแห่งกุศล และอกุศลเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันในวันนี้ หม่อมฉัน ได้เห็นท้าววาสวะผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่สัตว์ ข้าแต่ท้าวสักกะ หม่อมฉันได้ เห็นภิกษุและพระองค์แล้ว จักกระทำบุญไม่น้อย. [๙๔๒] บุคคลเหล่าใด มีปัญญา เป็นพหูสูต สามารถคิดเหตุการณ์ได้มาก บุคคลเหล่านั้น ควรคบหาโดยแท้เทียว ข้าแต่พระราชา พระองค์ได้ทรง เห็นภิกษุและหม่อมฉันแล้ว จงทรงกระทำบุญให้มากเถิด. [๙๔๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ หม่อมฉันจักเป็นผู้ไม่โกรธ มีจิตเลื่อมใส เป็นนิตย์ จักเป็นผู้ควรแก่การขอของแขกผู้มาทุกประเภท จักกำจัด มานะเสีย แล้วกราบไหว้ท่านผู้ควรกราบไหว้ เพราะได้ฟังคำที่พระองค์ ตรัสดีแล้ว.จบ ปัพพชิตวิเหฐกชาดกที่ ๖. ๗. อุปสิงฆปุปผกชาดก ว่าด้วยคนดีไม่ควรทำชั่วแม้นิดหน่อย [๙๔๔] การที่ท่านเข้าไปสูดดมกลิ่นดอกบัวที่เขายังมิได้ให้ นี้เป็นส่วนแห่งการ ขโมยอย่างหนึ่ง ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ท่านชื่อว่า เป็นผู้ขโมยกลิ่น. [๙๔๕] เราไม่ได้นำเอาไป ไม่ได้บริโภค เรายืนดมดอกบัวอยู่ในที่ไกล เมื่อเป็น เช่นนั้น เหตุไฉน ท่านจึงกล่าวว่า เราเป็นผู้ขโมยกลิ่นดอกบัวเล่า? [๙๔๖] บุรุษใด มาขุดเหง้าบัวทั้งหลาย เด็ดเอาดอกบัวไป เพราะเหตุไร ท่านจึง ไม่ว่ากล่าวบุรุษนั้น ผู้ทำกรรมหยาบช้าอย่างนี้เล่า? [๙๔๗] บุรุษผู้หยาบช้า โหดร้าย แปดเปื้อนไปด้วยบาป เหมือนผ้านุ่งของ แม่นม ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ว่ากล่าวบุรุษนั้น แต่ข้าพเจ้า ปรารถนาจะว่ากล่าวท่าน ผู้ทำกรรมไม่สมควร. [๙๔๘] บาปเพียงเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏแก่บุรุษผู้ไม่มีโทษเหมือนท่าน แสวงหาความสะอาดอยู่เป็นนิตย์ เหมือนเท่ามหาเมฆ ฉะนั้น. [๙๔๙] ดูกรเทวดา ท่านรู้จักเรา และอนุเคราะห์เราโดยแท้ ท่านเห็นโทษเช่นนี้ ของเรา เมื่อใด ขอท่านจงตักเตือนเราแม้อีก เมื่อนั้น. [๙๕๐] ข้าพเจ้าไม่ได้อาศัยท่านเลี้ยงชีพ และไม่เป็นลูกจ้างของท่าน ดูกรภิกษุ ท่านนั้นแล พึงรู้การกระทำอันเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติจบ อุปสิงฆปุปผกชาดกที่ ๗. ๘. วิฆาสาทชาดก ว่าด้วยการกินของที่เป็นเดน [๙๕๑] ชนเหล่าใด บริโภคอาหารที่เป็นเดน ชนเหล่านั้น ย่อมเป็นอยู่ สบายดีหนอ เป็นผู้ได้รับความสรรเสริญในปัจจุบัน และมีสุคติใน โลกหน้า. [๙๕๒] เมื่อนกแขกเต้าพูดอยู่ ท่านทั้งหลายผู้เป็นบัณฑิต ไม่ได้ฟังท่านทั้งหลาย ผู้ร่วมอุทรกันมา จงฟังคำของนกนั้น นกแขกเต้าตัวนี้กำลังสรรเสริญ พวกเราอยู่เป็นแน่. [๙๕๓] ข้าพเจ้าไม่ได้สรรเสริญท่านทั้งหลาย ดูกรท่านทั้งหลาย ผู้กินซากศพ ท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายกินของเดนทิ้ง ไม่ใช่ผู้กิน เดนเหลือ. [๙๕๔] เราออกบวช กระหมวดมวยผม เลี้ยงชีพด้วยของเป็นเดนเหลืออยู่ กลางป่า ตลอด ๗ ปี ผิว่า ท่านผู้เจริญ พึงติเตียนเราทั้งหลาย ก็ใคร เล่าที่ท่านผู้เจริญจะพึงสรรเสริญ? [๙๕๕] ท่านทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยของเป็นเดนทิ้ง ของราชสีห์ เสือและเนื้อ ทั้งหลาย ยังสำคัญว่า เป็นผู้กินเดนเหลือ. [๙๕๖] ชนเหล่าใด บริโภคอาหารซึ่งเหลือจากที่เขาให้แก่สมณะ พราหมณ์ และ วณิพกอื่น ชนเหล่านั้นชื่อว่า เป็นคนกินเดนเหลือ.จบ วิฆาสาทชาดกที่ ๘. ๙. วัฏฏกชาดก ว่าด้วยการทำให้เกิดความสุข [๙๕๗] พ่อลุงกา ท่านบริโภคอาหารของมนุษย์อย่างประณีต คือ เนยใส และ น้ำมัน เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงซูบผอม. [๙๕๘] เมื่อกาอยู่ในท่ามกลางศัตรู แสวงหาเหยื่ออยู่ในที่นั้นๆ มีใจหวาด สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ที่ไหนจะอ้วนเล่า. [๙๕๙] พวกกามีใจหวาดสะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ได้อาหารมาด้วยกรรมเป็นบาปจึง ไม่อิ่ม ดูกรนกกระจาบ เราซูบผอม เพราะเหตุนั้น. [๙๖๐] ดูกรนกกระจาบ ท่านกินพืชหญ้าหยาบๆ มีโอชาน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงอ้วนพีหนอ. [๙๖๑] ดูกรกา เราเลี้ยงชีพด้วยความปรารถนาน้อยในอาหาร ๑ ด้วยความคิด แต่น้อย ๑ ด้วยไม่แสวงหาในที่ไกล ๑ ด้วยอาหารตามมีตามได้ ๑ เราเป็นผู้อ้วนพี เพราะเหตุ ๔ อย่างนั้น. [๙๖๒] เป็นความจริง ความเป็นไปของบุรุษผู้มีความปรารถนาน้อย คิดถึง ความสุขแต่น้อย และถือเอาประมาณในอาหารพอดี สามารถจะให้เกิด ความสุขได้.จบ วัฏฏกชาดกที่ ๙. ๑๐. มณิชาดก ว่าด้วยแก้วมณี [๙๖๓] นานมาแล้วหนอ เราเพิ่งเห็นสหายประดับแก้วมณี เพื่อนของเราแต่ง หนวดเสียเรียบร้อยงดงามจริงหนอ. [๙๖๔] เรามัวยุ่งอยู่ในราชการ หาโอกาสไม่ได้ จึงมีเล็บและขนปีกยาวรุงรัง เป็นเวลานานแล้ว เราเพิ่งได้ช่างกัลบกในวันนี้ จึงให้ถอนขนออก จนหมด. [๙๖๕] ท่านได้ช่างกัลบกที่หาได้ยาก แล้วให้ถอนขนออกเช่นนี้ ท่านชอบใจ เราจะให้เขาทำให้บ้าง ดูกรสหาย เออก็อะไรเล่า แขวนอยู่ที่คอของท่าน. [๙๖๖] แก้วมณีของมนุษย์ผู้สุขุมาลชาติห้อยอยู่ที่คอเรา เราสำเหนียกตามอย่าง ของมนุษย์ผู้สุขุมาลชาติเหล่านั้น ท่านอย่าสำคัญว่า เราทำเล่น. [๙๖๗] ดูกรสหาย ถ้าแม้ท่านปรารถนาจะให้แต่งหนวดให้เรียบร้อยเหมือน อย่างเรา เราก็จะให้เขาทำให้แก่ท่าน แก้วมณีเราก็จะให้แก่ท่านด้วย. [๙๖๘] ท่านผู้เดียวเท่านั้น สมควรแก่แก้วมณีและหนวดที่เขาแต่งดีแล้วด้วย การที่ได้พบเห็นท่านเป็นที่พอใจของเรา เพราะฉะนั้น เราขอลาท่าน ไปก่อน.จบ มณิชาดกที่ ๑๐.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ขุรปุตตชาดก
ป้ายกำกับ:
ขุรปุตตชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น