๑. อัพภันตรชาดก ว่าด้วยผลไม้ทิพย์ [๔๔๒] ผลของต้นไม้ชื่ออัพภันตระ เป็นผลไม้ทิพย์ นางนารีที่แพ้ท้อง บริโภค แล้ว จะประสูติพระราชโอรสเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. [๔๔๓] ดูกรนางผู้เจริญ แม้ท่านก็เป็นพระมเหสีผู้เลอโฉม และเป็นที่รักของ พระราชสวามี พระราชาจักทรงนำเอาผลไม้ชื่ออัพภันตระนี้มาให้แก่ท่าน. [๔๔๔] บุคคลผู้กล้าหาญ ยอมเสียสละตน กระทำความพากเพียรในประโยชน์ ของท่านที่ได้เลี้ยงตนมา ย่อมถึงฐานะอันใด ข้าพเจ้าเป็นผู้จะได้ฐานะ อันนั้น.จบ อัพภันตรชาดกที่ ๑. ๒. เสยยชาดก [๔๔๕] ผู้ใด คบหากับบุคคลผู้ประเสริฐ ผู้นั้นชื่อว่า เป็นผู้มีส่วนอันประเสริฐ ด้วย เราสมานไมตรีกับพระยาโจรคนเดียวก็ปลดเปลื้องท่านทั้งหลาย ผู้ต้องโทษได้ทั้งร้อยคน. [๔๔๖] เพราะฉะนั้น บุคคลคนเดียวสมานไมตรีกับโลกทั้งมวลสิ้นชีพแล้ว ก็ พึงเข้าถึงสวรรค์ ท่านชาวกาสิกรัฐทั้งหลาย จงฟังคำของเรานี้เถิด. [๔๔๗] พระเจ้ากังสมหาราช ครอบครองราชสมบัติเมืองพาราณสี ได้ตรัสพระ ราชดำรัสนี้แล้ว ก็ทรงสละทั้งธนู และลูกศรเสีย ทรงสมาทาน สำรวม ศีล.จบ เสยยชาดกที่ ๒. ๓. วัฑฒกีสูกรชาดก ว่าด้วยหมูสู้เสือได้ด้วยสามัคคีกัน [๔๔๘] ดูกรเสือโคร่ง วันก่อนๆ ท่านเคยย่ำยีหมูทั้งหลายในประเทศนี้ แล้ว นำเอาหมูตัวอ้วนๆ มา บัดนี้ ท่านเดินซบเซามาแต่ผู้เดียว ดูกรเสือโคร่ง ก็วันนี้ กำลังกายของท่านไม่มีหรือ? [๔๔๙] ได้ยินว่า วันก่อนๆ หมูเหล่านี้ เห็นข้าพเจ้าเข้าแล้วก็กลัวต่างก็บ่ายหน้า หนีไปหาที่ซ่อนเร้นคนละทิศละทาง บัดนี้ หมูเหล่านั้น มาประชุมรวมกัน เป็นหมวดเป็นหมู่ อยู่ในที่ชัยภูมิดี ยากที่ข้าพเจ้าจะย่ำยีได้. [๔๕๐] ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่หมู่หมูที่มาประชุมกัน ข้าพเจ้าได้เห็นมิตรภาพอัน น่าอัศจรรย์ ควรสรรเสริญแล้ว จึงขอกล่าวสรรเสริญไว้ หมูทั้งหลายผู้มี เขี้ยวเป็นกำลัง ได้ชนะเสือโคร่งด้วยสามัคคีอันใด ก็พากันพ้นมรณภัย ด้วยความสามัคคีอันนั้น.จบ วัฑฒกีสูกรชาดกที่ ๓. ๔. สิริชาดก ว่าด้วยโภคะเกิดแก่ผู้มีบุญ [๔๕๑] ผู้ไม่มีบุญ จะเป็นผู้มีศิลปะหรือไม่ก็ตาม ย่อมขวนขวายรวบรวมทรัพย์ไว้ เป็นอันมาก ผู้มีบุญย่อมใช้สอยทรัพย์เหล่านั้น. [๔๕๒] โภคะเป็นอันมาก ย่อมล่วงเลยสัตว์เหล่าอื่นไปเสีย เกิดขึ้นในที่ทั้งปวง เทียว สำหรับผู้มีบุญอันกระทำไว้ ใช่แต่เท่านั้น รัตนะทั้งหลายก็บังเกิด ขึ้นแม้ในที่มิใช่บ่อเกิด. [๔๕๓] ไก่ แก้วมณี ไม้เท้า และหญิงชื่อว่า บุญญลักขณาเทวี ย่อมเกิดขึ้น แก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้ไม่มีบาป มีบุญอันกระทำไว้แล้ว.จบ สิริชาดกที่ ๔. ๕. มณิสูกรชาดก ว่าด้วยของดีใครทำลายไม่ได้ [๔๕๔] พวกข้าพเจ้าประมาณ ๓๐ ตัว อาศัยอยู่ในถ้ำแก้วมณี ๗ ปี ได้ปรึกษา กันว่า จะช่วยกันกำจัดแสงแก้วมณีให้เศร้าหมอง. [๔๕๕] พวกข้าพเจ้าช่วยกันเสียดสีแก้วมณี แก้วมณีกลับมีสีสุกใสขึ้นกว่าเก่า บัดนี้ พวกข้าพเจ้าขอถามท่านถึงเหตุนั้น ท่านย่อมสำคัญกิจในเรื่องนี้ อย่างไร? [๔๕๖] ดูกรหมูทั้งหลาย แก้วไพฑูรย์นี้ เป็นของแข็ง งามผ่องใส ใครๆ ไม่ สามารถจะกำจัดแก้วไพฑูรย์นั้นให้เศร้าหมองได้เลย ท่านทั้งหลายจงพา กันหลีกหนีไปอยู่ที่อื่นเสียเถิด.จบ มณิสูกรชาดกที่ ๕. ๖. สาลุกชาดก ว่าด้วยอุบายไม่ให้ถูกฆ่า [๔๕๗] ท่านอย่าปรารถนาอาหารอย่างหมูชื่อสาลุกะเลย เพราะว่า หมูชื่อว่าสาลุกะ นี้ บริโภคอาหารเป็นเครื่องเดือดร้อน ท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวาย น้อย เคี้ยวกินแต่ข้าวลีบนี้เถิด นี้เป็นลักษณะแห่งความอายุยืน. [๔๕๘] ในไม่ช้า ราชบุรุษผู้มีบริวารมากนั้น ก็จะเป็นแขกมาประชุมกัน ณ สถานที่นี้ ในกาลนั้น ท่านก็จะได้เห็นหมูสาลุกะตัวนี้ อันเจ้าของให้ทุบ ด้วยไม้ฆ้อนนอนตายอยู่. [๔๕๙] วัวชราทั้งสองตัว พอเห็นหมูสาลุกะผู้กล้าหาญ อันเจ้าของให้ทุบด้วยไม้ ฆ้อนนอนตายอยู่ ก็คิดร่วมกันว่า ข้าวลีบเท่านั้น เป็นอาหารอย่างสูงสุด ของเรา.จบ สาลุกชาดกที่ ๖. ๗. ลาภครหิกชาดก ว่าด้วยวิธีการหลอกลวง [๔๖๐] ไม่ใช่คนบ้า ทำเป็นเหมือนคนบ้า ไม่ใช่คนส่อเสียด ก็ทำเป็นเหมือนคน ส่อเสียด ไม่ใช่นักฟ้อนรำ ก็ทำเป็นเหมือนนักฟ้อนรำ ไม่ใช่คนตื่นข่าว ก็ทำเป็นเหมือนคนตื่นข่าว ย่อมจะได้ลาภในคนผู้หลงใหลทั้งหลาย นี้ เป็นคำสั่งสอนแก่ท่าน. [๔๖๑] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ น่าติเตียนความประพฤติอัตตวินิบาตกรรม การประ- พฤติอธรรม การได้ยศ และได้ทรัพย์. [๔๖๒] อนึ่ง ถ้าบุคคลจะถือเอาบาตรออกไปบวชเสีย ความเป็นอยู่นี้แล ประเสริฐกว่าการแสวงหาโดยอธรรม.จบ ลาภครหิกชาดกที่ ๗. ๘. มัจฉทานชาดก ว่าด้วยบุญที่ให้ทานแก่ปลา [๔๖๓] ปลาทั้งหลาย มีราคาถึงหนึ่งพันกหาปณะกับ ๗ มาสก ย่อมจะไม่มีผู้ใดผู้ หนึ่งเชื่อถือเลย และในที่นี้ เราก็มี ๗ มาสกเท่านั้น แต่เราก็ซื้อปลาตัว นั้นได้. [๔๖๔] ท่านได้ให้โภชนะแก่ปลาทั้งหลาย แล้วอุทิศส่วนบุญให้แก่เรา เรา ระลึกถึงส่วนบุญอันนั้น และความนอบน้อมที่ท่านได้กระทำแล้ว จึง รักษาทรัพย์ของท่านนี้ไว้. [๔๖๕] บุคคลผู้มีจิตคิดประทุษร้าย ย่อมไม่มีความเจริญเลย ใช่แต่เท่านั้น เทวดาทั้งหลายก็ไม่บูชาผู้นั้น ผู้ใด ทำกรรมอันชั่วช้า ยักยอกเอาทรัพย์ มรดกของบิดา ไม่ต้องการจะให้พี่ชาย เทวดาทั้งหลาย ย่อมไม่บูชาผู้นั้น.จบ มัจฉทานชาดกที่ ๘. ๙. นานาฉันทชาดก ว่าด้วยต่างคนต่างใจ [๔๖๖] ข้าแต่มหาราช ข้าพระบาททั้งหลายอยู่ร่วมในเรือนหลังเดียวกัน แต่มี ฉันทะต่างกัน ข้าพระบาทอยากได้บ้านส่วย นางพราหมณีอยากได้โคนม สักร้อยหนึ่ง. [๔๖๗] ลูกชายอยากได้รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ลูกสะใภ้อยากได้กุณฑลแก้ว ฝ่ายนางปุณณทาสีผู้ชั่วช้าก็จำนงจะใคร่ได้ครก สาก และกระด้ง. [๔๖๘] ท่านทั้งหลาย จงให้บ้านส่วยแก่พราหมณ์ จงให้โคนมร้อยหนึ่งแก่นาง พราหมณี จงให้รถเทียมด้วยม้าอาชาไนยแก่ลูกชาย จงให้กุณฑลแก้ว แก่ลูกสะใภ้ และจงให้ครกตำข้าว สาก และกระด้งแก่นางปุณณทาสี ผู้ชั่วช้า.จบ นานาฉันทชาดกที่ ๙. ๑๐. สีลวีมังสชาดก ว่าด้วยอานิสงส์ของศีล [๔๖๙] ได้ทราบมาว่า ศีลเป็นความงาม ศีลเป็นเยี่ยมในโลก ท่านจงดูซิ งู ใหญ่มีพิษอันร้ายแรง ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยรู้สึกตัวว่า เป็นผู้มีศีล. [๔๗๐] เราจักสมาทานศีลที่บัณฑิตรับรองแล้วว่า เป็นความปลอดภัยในโลก เป็นคุณชาติเครื่องให้บัณฑิตเรียกบุคคลผู้ประพฤติตามข้อปฏิบัติของพระ- อริยะว่า เป็นผู้มีศีล. [๔๗๑] อนึ่ง บุคคลผู้มีศีล ย่อมเป็นที่รักของญาติทั้งหลาย และรุ่งเรืองในหมู่ มิตร เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติ.จบ สีลวีมังสชาดกที่ ๑๐.
วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557
อัพภันตรชาดก
ป้ายกำกับ:
อัพภันตรชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น