๑. โกกาลิกชาดก ว่าด้วยพูดในกาลที่ควรพูด [๖๒๒] เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด ผู้ใด พูดเกินกาลไป ผู้นั้น ย่อมถูกทำร้าย ดุจลูกนกดุเหว่า ฉะนั้น. [๖๒๓] มีดที่ลับคมดีแล้ว ดุจยาพิษอันร้ายแรง หาทำให้ตกไปทันทีทันใด เหมือน วาจาทุพภาษิตไม่. [๖๒๔] เพราะฉะนั้น บัณฑิตควรรักษาวาจาไว้ ทั้งในกาลควรพูด และไม่ควร ไม่ควรพูดให้ล่วงเวลา แม้ในบุคคลผู้เสมอกับตน. [๖๒๕] ผู้ใด มีความคิดเห็นเป็นเบื้องหน้า มีปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นประจักษ์ พูดพอเหมาะในกาลที่ควรพูด ผู้นั้น ย่อมจับศัตรูได้ทั้งหมด ดุจครุฑจับ นาคได้ ฉะนั้น.จบ โกกาลิกชาดกที่ ๑. ๒. รถลัฏฐิชาดก ว่าด้วยใคร่ครวญก่อนแล้วทำ [๖๒๖] ข้าแต่พระราชา บุคคลทำร้ายตนเอง กลับกล่าวหาว่า คนอื่นทำร้าย ดังนี้ ก็มีโกงเขาแล้ว กลับกล่าวหาว่า เขาโกง ดังนี้ก็มี ไม่ควรเชื่อคำของ โจทก์ฝ่ายเดียว. [๖๒๗] เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เป็นเชื้อชาติบัณฑิต ควรฟังคำแม้ของฝ่ายจำเลย เมื่อฟังคำของโจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายแล้ว พึงปฏิบัติตามธรรม. [๖๒๘] คฤหัสถ์ผู้บริโภคกามคุณ เกียจคร้าน ไม่ดี บรรพชิตผู้ไม่สำรวม ไม่งาม พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วทำไป ไม่งาม บัณฑิตมีความ โกรธเป็นเจ้าเรือน ก็ไม่งาม. [๖๒๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งทิศ พระมหากษัตริย์ทรงใคร่ครวญเสียก่อน แล้วจึงปฏิบัติ ไม่ทรงใคร่ครวญเสียก่อน ไม่ควรปฏิบัติ อิสริยยศ บริวารยศ และเกียรติคุณของพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงใคร่ครวญแล้วจึงทรง ปฏิบัติ ย่อมมีแต่เจริญขึ้น.จบ รถลัฏฐิชาดกที่ ๒. ๓. โคธชาดก เขารักก็รักมั่ง เขาชังก็ชังตอบ [๖๓๐] หม่อมฉันทราบว่า พระองค์ผู้ทรงดำรงรัฐจะไม่ทรงอาลัยใยดีต่อหม่อมฉัน ตั้งแต่ครั้งเมื่อพระองค์ทรงพระภูษาเปลือกไม้ เหน็บพระแสงขรรค์ ทรง ผูกสอดเครื่องครบ ประทับอยู่กลางป่า เหี้ยย่างได้หนีไปจากกิ่งไม้ อัสสัตถะแล้ว. [๖๓๑] พึงอ่อนน้อมต่อผู้ที่อ่อนน้อม พึงคบผู้ที่เขาพอใจจะคบด้วย พึงทำกิจแก่ผู้ที่ ช่วยทำกิจ ไม่พึงทำความเจริญให้แก่ผู้ที่ใคร่ความเสื่อม อนึ่ง ไม่พึงคบ หาสมาคมกับผู้ที่เขาไม่พอใจจะคบหาสมาคมด้วย. [๖๓๒] พึงละทิ้งผู้ที่เขาละทิ้ง ไม่พึงทำความสิเนหาในผู้เลิกลากัน ไม่พึงสมาคม กับผู้มีจิตคิดออกห่าง นกรู้ว่า ต้นไม้มีผลหมดแล้ว ย่อมบินไปสู่ต้นอื่นที่ เต็มไปด้วยผล ฉันใด คนก็ฉันนั้น รู้ว่า เขาหมดความอาลัยแล้ว ก็ควร จะเลือกหาคนอื่นที่เขาผู้สมัครรักใคร่ เพราะว่า โลกใหญ่พอ. [๖๓๓] ฉันเป็นกษัตริย์มุ่งความกตัญญู จะทำตอบแทนแก่เธอตามสติกำลัง อนึ่ง ฉันจะมอบอำนาจให้แก่เธอทั้งหมด เธอต้องการสิ่งใด ฉันจะให้สิ่งนั้น แก่เธอ.จบ โคธชาดกที่ ๓. ![]()
๔. ราโชวาทชาดก ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้นำ [๖๓๔] ถ้าเมื่อโคทั้งหลาย ว่ายข้ามแม่น้ำไป โคหัวหน้าฝูงว่ายคด เมื่อโคผู้นำ- ฝูงว่ายคดอย่างนี้ โคทั้งหมดก็ย่อมว่ายคดไปตามกัน. [๖๓๕] ในมนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ผู้ใด ได้รับสมมติแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้น ประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนนอกนี้ก็ประพฤติไม่เป็นธรรม โดยแท้ ถ้าพระราชาผู้เป็นใหญ่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม รัฐก็ย่อมอยู่ไม่เป็นสุข ทั่วกัน. [๖๓๖] ถ้าเมื่อโคทั้งหลาย ว่ายข้ามแม่น้ำไป โคหัวหน้าฝูงว่ายข้ามตรง เมื่อมีโค ผู้นำฝูงว่ายข้ามตรงอย่างนั้น โคทั้งหมดก็ย่อมว่ายข้ามตรงไปตามกัน. [๖๓๗] ในหมู่มนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ผู้ใด ได้รับสมมติแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้น ประพฤติเป็นธรรม ประชาชนนอกนี้ก็ย่อมประพฤติเป็นธรรมไป ตามโดยแท้ ถ้าพระราชา ผู้เป็นใหญ่ตั้งอยู่ในธรรม รัฐก็ย่อมอยู่เป็นสุขทั่วกัน.จบ ราโชวาทชาดกที่ ๔. ๕. ชัมพุกชาดก ว่าด้วยโทษที่ไม่รู้ประมาณตน [๖๓๘] ดูกรสุนัขจิ้งจอก ช้างนั้น ตัวใหญ่ ร่างกายสูง งาก็ยาว ตัวท่านไม่ได้เกิด ในตระกูลสัตว์ที่จะจับมันได้. [๖๓๙] ผู้ใด มิใช่ราชสีห์ ยกตนเพราะสำคัญว่า เป็นราชสีห์ ผู้นั้น ย่อมเป็น เหมือนสุนัขจิ้งจอกถูกช้างเหยียบ นอนหายใจแขม่วๆ อยู่บนแผ่นดิน. [๖๔๐] ผู้ใด ไม่รู้จักกำลังกาย กำลังความคิด และชาติของผู้มียศ เป็นชนชั้นสูง มีข้อลำล่ำสันกำลังมาก ผู้นั้น ย่อมเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกถูกช้างเหยียบ นอนตายอยู่นี้. [๖๔๑] ส่วนผู้ใด ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำการงาน รู้จักกำลังกาย และกำลัง ความคิดของตน กำหนดด้วยคำพูดอันประกอบด้วยปัญญา เป็นวาจา สุภาษิต ผู้นั้น ย่อมมีชัยอย่างไพบูลย์.จบ ชัมพุกชาดกที่ ๕. ๖. พรหาฉัตตชาดก เอาของน้อยแลกของมาก [๖๔๒] พระองค์ตรัสเพ้ออยู่ว่า หญ้าๆ ใครหนอ นำเอาหญ้ามาถวายพระองค์ พระองค์มีกิจด้วยหญ้าหรือหนอ พระองค์จึงตรัสถึงแต่หญ้าเท่านั้น? [๖๔๓] ฉัตตฤาษีผู้มีร่างกายสูงใหญ่ เป็นพรหมจารี เป็นพหูสูต มาอยู่ ณ ที่นี้ เขาลักเอาทรัพย์ของเราจนหมดสิ้นแล้ว ยังใส่หญ้าไว้ในตุ่มแล้วหนีไป. [๖๔๔] การถือเอาทรัพย์ของตนไปหมด และการไม่ถือเอาหญ้า เป็นกิจที่ผู้ ปรารถนาของน้อยแลกเอาของมาก พึงกระทำอย่างนั้น ฉัตตฤาษีใส่หญ้า ไว้ในตุ่มหนีไปแล้ว การปริเวทนาเพราะเรื่องนั้น จะมีประโยชน์อะไร. [๖๔๕] ผู้มีศีลทั้งหลาย ย่อมไม่ทำอย่างนั้น คนพาล ย่อมกระทำอนาจารอย่างนี้ ความเป็นบัณฑิตจักทำคนทุศีล มีศีลไม่ยั่งยืน ให้เป็นคนอย่างไร?จบ พรหาฉัตตชาดกที่ ๖. ๗. ปีฐชาดก ว่าด้วยธรรมในสกุล [๖๔๖] เราทั้งหลายไม่ได้ให้ตั่ง น้ำดื่ม และโภชนาหารแก่ท่าน ขอท่านผู้เป็น พรหมจารี จงอดโทษให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นโทษนี้. [๖๔๗] อาตมภาพไม่ได้ข้องเกี่ยว และไม่ได้นึกโกรธเคืองเลย แม้ความไม่ชอบใจ อะไรๆ ของอาตมภาพก็ไม่มีเลย แท้ที่จริง อาตมภาพยังมีความวิตกอยู่ใน ใจว่า ธรรมของสกุลนี้ จักเป็นเช่นนี้แน่. [๖๔๘] ที่นั่ง น้ำล้างเท้า น้ำมันทาเท้า ข้าพเจ้าให้อยู่เป็นนิจทุกอย่าง นี้เป็นธรรม ในสกุล เนื่องมาจาก ปู่ ย่า ตา ยาย ของข้าพเจ้าทุกเมื่อ. [๖๔๙] ข้าพเจ้าบำรุงสมณพราหมณ์โดยเคารพดุจญาติที่สูงสุด นี้เป็นธรรมในสกุล เนื่องมาจากปู่ ย่า ตา ยาย ของข้าพเจ้าทุกเมื่อ.จบ ปีฐชาดกที่ ๗. ๘. ถุสชาดก ว่าด้วยรู้จักแกลบหรือข้าวสารในที่มืด [๖๕๐] แกลบปรากฏโดยความเป็นแกลบแก่หนูทั้งหลาย และข้าวสารก็ปรากฏ โดยความเป็นข้าวสารแก่พวกมัน แม้ในที่มืด พวกมันเว้นแกลบเสีย เลือกกินแต่ข้าวสาร. [๖๕๑] การปรึกษาในป่าก็ดี การพูดกระซิบกันในบ้านก็ดี และการคิดหาโอกาส ด่าเราในบัดนี้ก็ดี เรารู้หมดแล้ว. [๖๕๒] ได้ยินว่า ลิงตัวที่เป็นพ่อมันเอาฟันกัดภาวะบุรุษของลูกผู้เกิดตามสภาพ เสียแต่ยังเยาว์ทีเดียว. [๖๕๓] การที่เจ้าดิ้นรนอยู่เหมือนแพะตาบอดในไร่ผักกาดก็ดี นอนอยู่ภายใต้ ที่นอนก็ดี เรารู้หมดสิ้นแล้ว.จบ ถุสชาดกที่ ๘. ๙. พาเวรุชาดก ว่าด้วยพวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ [๖๕๔] เพราะยังไม่เห็นนกยูงซึ่งมีหงอน มีเสียงไพเราะ ชนทั้งหลายจึงพากัน บูชากาในที่นั้น ด้วยเนื้อ และผลไม้. [๖๕๕] แต่เมื่อใด นกยูงตัวสมบูรณ์ไปด้วยเสียงมายังพาเวฬุรัฐ เมื่อนั้น ลาภ และสักการะของกาก็เสื่อมไป. [๖๕๖] พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา ส่องแสงสว่าง ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น เพียงใด ชนทั้งหลายก็พากันบูชาสมณพราหมณ์เหล่าอื่นอยู่เป็นอันมาก เพียงนั้น. [๖๕๗] แต่เมื่อใด พระพุทธเจ้าผู้มีพระสุรเสียงอันไพเราะ ได้ทรงแสดงธรรม แล้ว เมื่อนั้น ลาภและสักการะของพวกเดียรถีย์ก็เสื่อมไป.จบ พาเวรุชาดกที่ ๙. ๑๐. วิสัยหชาดก ความยากจนไม่เป็นเหตุให้ทำชั่ว [๖๕๘] ดูกรพ่อวิสัยหะ แต่ก่อนท่านได้ให้ทาน ก็เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น ความ เสื่อมได้มีแก่ท่านแล้ว ต่อแต่นี้ไป ถ้าท่านจักไม่ให้ทาน เมื่อท่านไม่ให้ ทาน โภคะทั้งหลายก็คงกลับมีอยู่ตามเดิม. [๖๕๙] ข้าแต่ท้าวสหัสสเนตร พระอริยะทั้งหลายท่านกล่าวถึงบาปกรรมว่า อันอารย ชนถึงจะเป็นคนยากจนเข็ญใจก็ไม่ควรทำ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทวยเทพ ข้าพระบาทจะพึงเลิกศรัทธาเพราะเหตุการบริโภคทรัพย์อันใด ทรัพย์อัน- นั้น อย่าได้มีเลย. [๖๖๐] รถคันหนึ่งแล่นไปทางใด รถคันอื่นก็แล่นไปทางนั้น ข้าแต่ท้าววาสวะ วัตรที่ข้าพระบาทบำเพ็ญมาแล้วแต่ครั้งก่อน ขอจงเป็นไปเหมือนอย่างนั้น เถิด. [๖๖๑] ถ้ายังมียังเป็นอยู่ ข้าพระบาทก็จะให้ เมื่อไม่มีไม่เป็น จะให้ได้อย่างไร แม้ถึงจะเป็นอย่างนี้แล้วก็ตาม ก็จะต้องให้ เพราะข้าพระบาทจะลืมทาน เสียไม่ได้.จบ วิสัยหชาดกที่ ๑๐.
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
โกกาลิกชาดก
ป้ายกำกับ:
โกกาลิกชาดก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น