วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปทุมชาดก

๑. ปทุมชาดก
ไม่ควรพูดให้เกินความจริง
             [๓๘๒] ผมและหนวดที่โกนแล้ว ตัดแล้ว ย่อมงอกขึ้นใหม่ได้ ฉันใด จมูกของ                           ท่านจงงอกขึ้นใหม่ ฉันนั้น ข้าพเจ้าขอดอกปทุม ขอท่านจงให้แก่                           ข้าพเจ้าเถิด.              [๓๘๓] พืชที่เก็บไว้ในสารทสมัย เอาหว่านลงในนา ย่อมงอกขึ้น ฉันใด จมูก                           ของท่านจงงอกขึ้นใหม่ ฉันนั้น ข้าพเจ้าขอดอกปทุม ขอท่านจงให้แก่                           ข้าพเจ้าเถิด.              [๓๘๔] แม้คนทั้งสองนั้นคิดว่า ท่านจักให้ดอกปทุมแก่ตน จึงได้พูดพล่ามไป                           คนทั้งสองนั้นจะพึงกล่าว หรือไม่กล่าวก็ตาม จมูกย่อมงอกขึ้นไม่ได้                           ดูกรสหาย ข้าพเจ้าขอดอกปทุม ขอท่านจงให้แก่ข้าพเจ้าเถิด.
จบ ปทุมชาดกที่ ๑.
๒. มุทุปาณิชาดก
ความปรารถนาสมประสงค์ในกาลมีของ ๔ อย่าง
             [๓๘๕] ถ้าคนใช้ของท่านพึงมีฝ่ามืออ่อน ๑ ช้างของท่านฝึกดีแล้ว ๑ เวลามืด ๑                           ฝนตก ๑ จะพึงมี ในกาลใด ความปรารถนาของท่านก็จะสมประสงค์                           ในกาลนั้นเป็นแน่.              [๓๘๖] หญิงทั้งหลาย บุรุษไม่สามารถจะปกปักรักษาไว้ได้ด้วยถ้อยคำอันอ่อน                           หวาน ยากที่จะให้เต็มได้ เสมอด้วยแม่น้ำ ฉะนั้น ย่อมจะจมลงใน                           นรก บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล.              [๓๘๗] หญิงเหล่านั้น ย่อมเข้าไปคบหาบุรุษใด เพราะความรักใคร่ พอใจ หรือ                           เพราะทรัพย์ เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่                           ของตนเอง ฉะนั้น.
จบ มุทุปาณิชาดกที่ ๒.
๓. จุลลปโลภนชาดก
ว่าด้วยหญิงทำบุรุษให้งงงวย
             [๓๘๘] เมื่อน้ำไม่หวั่นไหว ดาบสนี้มาได้ด้วยฤทธิ์เอง ครั้นถึงความระคนกับ                           ด้วยหญิง ก็จมลงในห้วงมหรรณพ.              [๓๘๙] ธรรมดาว่า หญิงเหล่านี้ เป็นผู้ยังบุรุษให้งงงวย มีมายามาก และยัง                           พรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมจะจมลงในอบาย บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว                           พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล.              [๓๙๐] หญิงเหล่านั้น ย่อมเข้าไปคบหาบุรุษใด เพราะความรักใคร่ พอใจ หรือ                           เพราะทรัพย์ เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่                           ของตนเองฉะนั้น.
จบ จุลลปโลภนชาดกที่ ๓.
๔. มหาปนาทชาดก
ว่าด้วยปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท
             [๓๙๑] พระเจ้ามหาปนาทนั้น มีปราสาทล้วนแล้วไปด้วยทอง กว้าง ๑๖ ชั่วธนูตก                           สูง ๑ พันชั่วธนู.              [๓๙๒] และปราสาทนั้นมีพื้น ๗ ชั้น ประกอบไปด้วยธง แล้วไปด้วยแก้วมี                           สีเขียว มีนางฟ้อน ๖ พัน แบ่งออกเป็น ๗ พวก ฟ้อนรำอยู่ใน                           ปราสาทนั้น.              [๓๙๓] ดูกรภัททชิ ท่านกล่าวถึงปราสาทนั้นมีแล้วในกาลนั้น ในครั้งนั้น เรา                           เป็นท้าวสักกะผู้รับใช้การงานของท่าน.
จบ มหาปนาทชาดกที่ ๔.
๕. ขุรัปปชาดก
ถึงคราวกล้าควรกล้า
             [๓๙๔] เมื่อท่านเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้ว                           ด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เหตุไฉนหนอ ท่านจึง                           ไม่มีความครั่นคร้าม.              [๓๙๕] เมื่อเราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้ว                           ด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เรากลับได้ความยินดี                           และโสมนัสมากยิ่ง.              [๓๙๖] เรานั้นเกิดความยินดีและโสมนัสแล้ว ก็ครอบงำศัตรูทั้งหลายเสียได้                           เพราะว่า ชีวิตของเราๆ ได้สละมาแต่ก่อนแล้ว เราไม่ได้ทำความอาลัย                           ในชีวิต บุคคลผู้กล้าหาญพึงกระทำกิจของคนกล้า ในกาลบางคราว.
จบ ขุรัปปชาดกที่ ๕.
๖. วาตัคคสินธวชาดก
ว่าด้วยมิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ
             [๓๙๗] ด้วยเหตุใด คุณแม่จึงมีโรคผอมเหลือง ไม่ชอบใจอาหาร ม้านั้นก็มา                           คบหาสมาคมแล้ว เหตุไร คุณแม่จึงให้ม้าตัวนั้นหนีไปเสียในบัดนี้เล่า?              [๓๙๘] ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่า มิตรสันถวะจะเกิดขึ้นแต่แรกพบปะเทียวแหละ ยศ                           ของสตรีทั้งหลาย ย่อมเสื่อมไป เพราะฉะนั้น แม่จึงแสร้งทำให้พระยาม้า                           นั้นหนีไปเสีย.              [๓๙๙] สตรีคนใด ไม่ปรารถนาบุรุษผู้เกิดในตระกูลมียศศักดิ์ ที่มีคนชักพามา                           แล้ว สตรีคนนั้น จะต้องเศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนาน เหมือนนางลาเศร้า-                           โศกถึงพระยาม้าวาตัคคสินธพ ฉะนั้น.
จบ วาตัคคสินธวชาดกที่ ๖.
๗. สุวรรณกักกฏกชาดก
ว่าด้วยปูทอง
             [๔๐๐] ปูทอง มีนัยน์ตาอันยาว มีหนังเป็นกระดูก เป็นสัตว์อยู่ในน้ำ ไม่มีขน                           ฉันถูกปูทองนั้นหนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าอย่าทิ้งฉัน                           ผู้คู่ชีวิตเสียเลย.              [๔๐๑] ข้าแต่ท่านผู้เป็นลูกเจ้า ดิฉันจักไม่ละทิ้งท่านผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง ๖๐ ปี                           เลย ท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉัน ยิ่งกว่าแผ่นดินซึ่งมีสมุทร                           สาครสี่เป็นขอบเขต.              [๔๐๒] ปูเหล่าใด อยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดี                           ท่านเกิดอยู่ในน้ำ ย่อมประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่านจงปล่อยสามี                           ของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด.
จบ สุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๗.
๘. อารามทูสกชาดก
ว่าด้วยเหตุที่นายอุยยานบาลจะถูกติ
             [๔๐๓] ลิงตัวใด สมมุติกันว่า เป็นใหญ่กว่าฝูงลิงเหล่านี้ ปัญญาของลิงตัวนั้น                           มีอยู่เพียงอย่างนี้เท่านั้น ฝูงลิงที่เป็นบริวารนอกนี้ จะมีปัญญาอะไร.              [๔๐๔] ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ท่านยังไม่รู้อะไร ไฉนมาด่วนติเตียนเราต่างๆ                           อย่างนี้เล่า เรายังไม่เห็นรากไม้แล้ว จะพึงรู้ต้นไม้ว่า รากหยั่งลงไปลึกได้                           อย่างไรเล่า?              [๔๐๕] เราไม่ติเตียนท่านทั้งหลาย พวกท่านเป็นลิงไพร อาศัยอยู่ในป่า แต่ว่า                           นายอุยยานบาลทั้งหลาย ผู้ปลูกต้นไม้ เพื่อประโยชน์แก่พระราชา                           พระองค์ใด พระราชาพระองค์นั้น คือ พระเจ้าวิสสเสนะ จะพึงถูก                           ติเตียนได้.
จบ อารามทูสกชาดกที่ ๘.
๙. สุชาตาชาดก
ว่าด้วยถ้อยคำไพเราะทำให้คนรัก
             [๔๐๖] สัตว์เหล่านี้ สมบูรณ์ด้วยสีสรรวรรณะ มีสำเนียงอ่อนหวาน น่ารัก น่าชม                           (แต่) เป็นสัตว์มีวาจากระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักของใคร ทั้งในโลกนี้                           และโลกหน้าเลย.              [๔๐๗] ท่านก็ได้เห็นมิใช่หรือว่า นกดุเหว่าดำลายพร้อยพรายตัวนี้ เป็นที่รักของ                           สัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก เพราะวาจาอ่อนหวาน?              [๔๐๘] เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการจะให้ตนเป็นที่รักของประชาชน พึงกล่าวแต่                           ถ้อยคำสละสลวย พูดพอประมาณ ไม่ฟุ้งซ่าน ถ้อยคำของผู้แสดง                           อรรถ และธรรม เป็นถ้อยคำไพเราะ.
จบ สุชาตาชาดกที่ ๙.
๑๐. อุลูกชาดก
ว่าด้วยหน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่
             [๔๐๙] ได้ยินว่า พวกญาติทั้งมวล ตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ถ้าพวกญาติอนุญาต                           ฉันจะขอพูดสักคำหนึ่ง.              [๔๑๐] ดูกรสหาย เราทั้งหมดอนุญาตให้ท่านพูด แต่จงพูดแต่ถ้อยคำที่เป็น                           อรรถ และธรรมอย่างเดียว เพราะว่า นกที่หนุ่มๆ มีปัญญา และทรง                           ไว้ซึ่งญาณอันรุ่งเรือง มีอยู่.              [๔๑๑] ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การแต่งตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้า                           ไม่ชอบใจ ท่านจงมองดูหน้าของนกเค้าผู้ไม่โกรธเถิด นกเค้าโกรธแล้ว                           จักทำหน้าตาเป็นอย่างไร?
จบ อุลูกชาดกที่ ๑๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น