วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อัมพชาดก

๑. อัมพชาดก
มนต์เสื่อมเพราะลบหลู่ครูอาจารย์
             [๑๗๒๕] ดูกรท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ก่อน ท่านได้นำเอาผลมะม่วงทั้งเล็ก                           ทั้งใหญ่มาให้เรา ดูกรพราหมณ์ บัดนี้ ผลไม้ทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏ                           ด้วยมนต์เหล่านั้นของท่านเลย.              [๑๗๒๖] ข้าพระบาทกำลังคำนวณคลองแห่งนักขัตฤกษ์ จนเห็นขณะและครู่ด้วย                           มนต์ก่อน ครั้นได้ฤกษ์และยามดีแล้ว จักนำผลมะม่วงเป็นอันมากมา                           ถวายพระองค์เป็นแน่.              [๑๗๒๗] แต่ก่อน ท่านไม่ได้พูดถึงคลองแห่งนักขัตฤกษ์ ไม่ได้เอ่ยถึงขณะและ                           ครู่ ทันใดนั้น ท่านก็นำเอาผลมะม่วงเป็นอันมาก อันประกอบด้วยสี                           กลิ่น และรสมาให้เราได้.              [๑๗๒๘] ดูกรพราหมณ์ แม้เมื่อก่อน ผลไม้ทั้งหลายย่อมปรากฏด้วยการร่ายมนต์                           ของท่าน วันนี้ แม้ท่านจะร่ายมนต์ก็ไม่อาจให้สำเร็จได้ วันนี้ สภาพของ                           ท่านเป็นอย่างไร?              [๑๗๒๙] บุตรแห่งคนจัณฑาล ได้บอกมนต์ให้แก่ข้าพระบาทโดยธรรม และได้                           สั่งกำชับข้าพระบาทว่า ถ้ามีใครมาถามถึงชื่อ และโคตรของเราแล้ว                           เจ้าอย่าปกปิด มนต์ทั้งหลายก็จะไม่ละเจ้า.              [๑๗๓๐] ข้าพระบาทนั้น ครั้นพระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชนถามถึงอาจารย์                           อันความลบหลู่ครอบงำแล้ว ได้กราบทูลเท็จว่า มนต์เหล่านี้เป็นของ                           พราหมณ์ ข้าพระบาทจึงเป็นผู้เสื่อมมนต์ เป็นเหมือนคนกำพร้า ร้องไห้                           อยู่.              [๑๗๓๑] บุรุษต้องการน้ำหวาน จะพึงได้น้ำหวานจากต้นไม้ใด จะเป็นต้นละหุ่ง                           ก็ตาม ต้นสะเดาก็ตาม ต้นทองหลางก็ตาม ต้นไม้นั้นแล เป็นต้นไม้                           สูงสุดของบุรุษนั้น.              [๑๗๓๒] บุรุษพึงรู้แจ้งธรรมจากผู้ใด เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม เป็น                           แพศย์ก็ตาม เป็นศูทรก็ตาม เป็นคนจัณฑาลก็ตาม คนเทหยากเยื่อ                           ก็ตาม ผู้นั้นก็จัดเป็นคนสูงสุดของบุรุษนั้น.              [๑๗๓๓] ท่านทั้งหลายจงลงอาชญา และเฆี่ยนตีมาณพผู้นี้ แล้วจับมาณพลามกผู้นี้                           ไสคอออกไปเสีย มาณพใด ได้ประโยชน์อย่างสูงสุดด้วยความยากเข็ญ                           ท่านทั้งหลายจงยังมาณพนั้นให้พินาศเพราะความเย่อหยิ่งจองหอง.              [๑๗๓๔] บุคคลผู้สำคัญว่า ที่เสมอ พึงตกบ่อ ถ้ำ เหว หรือหลุมที่มีรากไม้ผุ                           ฉันใด อนึ่ง บุคคลตาบอด เมื่อสำคัญว่า เชือก พึงเหยียบงูเห่า พึง                           เหยียบไฟ ฉันใด ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญา ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าพลาดไป                           แล้ว ก็ฉันนั้น ขอจงให้มนต์แก่ข้าพเจ้าผู้มีมนต์อันเสื่อมแล้วอีกสักครั้ง                           หนึ่งเถิด.              [๑๗๓๕] เราได้ให้มนต์แก่ท่านโดยธรรม ฝ่ายท่านก็ได้เรียนมนต์โดยธรรม หากว่า                           ท่านมีใจดีรักษาปกติไว้ มนต์ก็จะไม่พึงละทิ้งท่านผู้ตั้งอยู่ในธรรม.              [๑๗๓๖] ดูกรคนพาล มนต์อันใด ที่จะพึงได้ในมนุษยโลก มนต์อันนั้น ท่านก็จะ                           ได้ในวันนี้โดยลำบาก ท่านผู้ไม่มีปัญญากล่าวคำเท็จ ทำมนต์อันมีค่าเสมอ                           ด้วยชีวิต ที่ได้กันโดยยากให้เสื่อมเสียแล้ว.              [๑๗๓๗] เราจะไม่ให้มนต์เช่นนั้นแก่เจ้าผู้เป็นพาล หลงงมงาย อกตัญญู พูดเท็จ                           ไม่มีความสำรวม มนต์ที่ไหน ไปเสียเถิด เราไม่พอใจ.
จบ อัมพชาดกที่ ๑.
๒. ผันทนชาดก
การผูกเวรของหมีและไม้ตะคร้อ
             [๑๗๓๘] ท่านเป็นบุรุษถือขวานมาสู่ป่า ยืนอยู่ ดูกรสหาย เราถามท่าน ท่าน                           จงบอกแก่เรา ท่านต้องการจะตัดไม้หรือ.              [๑๗๓๙] เจ้าเป็นหมี เที่ยวอยู่ทั่วไปทั้งที่ทึบ และที่โปร่ง ดูกรสหาย เราถามเจ้า                           ขอเจ้าจงบอกแก่เรา ไม้อะไรที่จะทำเป็นกงรถได้มั่นคงดี?              [๑๗๔๐] ไม้รังก็ไม่มั่นคง ไม้ตะเคียนก็ไม่มั่นคง ไม้หูกวางจะมั่นคงที่ไหนเล่า                           แต่ว่า ต้นไม้ชื่อว่าต้นตะคร้อนั่นแหละ ทำเป็นกงรถมั่นคงดีนัก.              [๑๗๔๑] ต้นตะคร้อนั้นใบเป็นอย่างไร อนึ่ง ลำต้นเป็นอย่างไร ดูกรสหาย เรา                           ถามเจ้า ขอเจ้าจงบอกแก่เรา เราจะรู้จักไม้ตะคร้อได้อย่างไร?              [๑๗๔๒] กิ่งทั้งหลายแห่งต้นไม้ใด ย่อมห้อยลงด้วย ย่อมน้อมลงด้วย แต่ไม่หัก                           ต้นไม้นั้นชื่อว่าต้นตะคร้อ ที่เรายืนอยู่ใกล้โคนต้นนี่.              [๑๗๔๓] ต้นไม้นี้แหละชื่อว่าต้นตะคร้อ เป็นต้นไม้ควรแก่การงานของท่านทุก                           อย่าง คือ ควรแก่กำ ล้อ ดุม งอน และกงรถ.              [๑๗๔๔] เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นตะคร้อได้กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภารทวาชะ แม้ถ้อยคำ                           ของเรามีอยู่ เชิญท่านฟังถ้อยคำของเราบ้าง.              [๑๗๔๕] ท่านจงลอกหนังประมาณ ๔ นิ้ว จากคอแห่งหมีตัวนี้ แล้วจงเอาหนัง                           หุ้มกงรถ เมื่อทำได้อย่างนั้น กงรถของท่านก็จะพึงเป็นของมั่นคง.              [๑๗๔๖] เทวดาผู้สิงอยู่ต้นตะคร้อ จองเวรได้สำเร็จ นำความทุกข์มาให้แก่หมี                           ทั้งหลาย ที่เกิดแล้ว และยังไม่เกิด ด้วยประการฉะนี้.              [๑๗๔๗] ไม้ตะคร้อฆ่าหมี และหมีก็ฆ่าไม้ตะคร้อ ต่างก็ฆ่ากันและกัน ด้วยการ                           วิวาทกัน ด้วยประการฉะนี้.              [๑๗๔๘] ในหมู่มนุษย์ ความวิวาทเกิดขึ้น ณ ที่ใด มนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ย่อม                           ฟ้อนรำดังนกยูงรำแพนหาง เหมือนหมีและไม้ตะคร้อ ฉะนั้น.              [๑๗๔๙] เพราะเหตุนั้น อาตมภาพขอถวายพระพรแก่บพิตรทั้งหลาย ขอความ                           เจริญจงมีแก่บพิตรทั้งหลาย เท่าที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ขอบพิตร                           ทั้งหลายจงร่วมบันเทิงใจ อย่าวิวาทกัน อย่าเป็นดังหมีและไม้ตะคร้อเลย.              [๑๗๕๐] ขอบพิตรทั้งหลายจงศึกษาความสามัคคี ความสามัคคีนั้นแหละ พระ-                           พุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญแล้ว บุคคลผู้ยินดีในสามัคคีธรรม ตั้งอยู่                           ในธรรม ย่อมไม่คลาดจากธรรม อันเป็นแดนเกษมจากโยคะ.
จบ ผันทนชาดกที่ ๒.
๓. ชวนหังสชาดก
รักกันอยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้
             [๑๗๕๑] ดูกรหงส์ เชิญเกาะที่ตั่งทองนี้เถิด การได้เห็นท่านชื่นใจฉันจริง ท่าน                           เป็นอิสระในสถานที่นี้ ท่านมาถึงแล้ว รังเกียจสิ่งใดที่มีอยู่ในนิเวศน์นี้                           จงบอกสิ่งนั้นให้ทราบเถิด.              [๑๗๕๒] คนบางพวก ย่อมเป็นที่รักของบุคคลบางพวกเพราะได้ฟัง อนึ่ง ความรัก                           ของบุคคลบางพวก ย่อมหมดสิ้นไปเพราะได้เห็น คนบางพวกย่อมเป็น                           ที่รักเพราะได้เห็น และเพราะได้ฟัง ท่านรักใคร่ฉันเพราะได้เห็นบ้าง                           ไหม?              [๑๗๕๓] ท่านเป็นที่รักของฉันเพราะได้ฟัง และเป็นที่รักของฉันยิ่งนัก เพราะ                           อาศัยการเห็น ดูกรพญาหงส์ ท่านน่ารักน่าดูอย่างนี้ เชิญอยู่ใน                           สำนักของฉันเถิด.              [๑๗๕๔] ข้าพระองค์ทั้งหลายได้รับการสักการบูชาแล้วเป็นนิตย์ พึงอยู่ในพระ-                           ราชนิเวศน์ของพระองค์ แต่บางครั้ง พระองค์ทรงเมาน้ำจัณฑ์แล้ว จะพึง                           ตรัสสั่งว่า จงย่างพญาหงส์ให้ฉันที.              [๑๗๕๕] การดื่มน้ำเมา ซึ่งเป็นที่รักของฉันยิ่งกว่าท่าน ฉันติเตียนการดื่มน้ำเมานั้น                           เอาเถอะ ตลอดเวลาที่ท่านยังอยู่ในนิเวศน์ของฉัน ฉันจักไม่ดื่มน้ำเมา                           เลย.              [๑๗๕๖] ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกทั้งหลายก็ดี ของนกทั้งหลายก็ดี                           รู้ได้ง่าย แต่เสียงของมนุษย์รู้ได้ยากกว่านั้น.              [๑๗๕๗] อนึ่ง ผู้ใด เมื่อก่อน เป็นผู้ใจดี คนทั้งหลายนับถือว่า เป็นญาติเป็นมิตร                           หรือเป็นสหาย ภายหลัง ผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์                           รู้ได้ยากอย่างนี้.              [๑๗๕๘] ใจจดจ่ออยู่ในบุคคลใด แม้บุคคลนั้นจะอยู่ไกลก็เหมือนกับอยู่ใกล้ ใจ                           เหินห่างจากบุคคลใด แม้บุคคลนั้นจะอยู่ใกล้ก็เหมือนกับอยู่ไกล.              [๑๗๕๙] ถ้ามีจิตเลื่อมใสรักใคร่กัน ถึงแม้จะอยู่คนละฝั่งสมุทร ก็เหมือนอยู่                           ใกล้ชิดกัน ถ้ามีจิตคิดประทุษร้ายกัน ถึงแม้จะอยู่ใกล้ชิดกัน ก็เหมือน                           กับอยู่กันคนละฝั่งสมุทร.              [๑๗๖๐] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ คนที่เป็นศัตรูกันถึงจะอยู่ร่วมกัน ก็เหมือนกับ                           อยู่ห่างไกลกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งรัฐ คนที่รักกันถึงแม้                           จะอยู่ห่างไกลกัน ก็เหมือนกับอยู่ร่วมกันด้วยหัวใจ.              [๑๗๖๑] ด้วยการอยู่ร่วมกันนานเกินควร คนรักกันย่อมกลายเป็นคนไม่รักกันก็ได้                           ข้าพระองค์ขอทูลลาพระองค์ไป ก่อนที่ข้าพระองค์จะกลายเป็นผู้ไม่เป็น                           ที่รักของพระองค์.              [๑๗๖๒] เมื่อเราวิงวอนอยู่อย่างนี้ ถ้าท่านมิได้รู้ถึงความนับถือของเรา ท่านก็มิได้                           ทำตามคำวิงวอนของเรา ซึ่งจะเป็นผู้ปรนนิบัติท่าน เมื่อเป็นอย่างนี้ เรา                           ขอวิงวอนท่านว่า ท่านพึงหมั่นมาที่นี่บ่อยๆ นะ.              [๑๗๖๓] ข้าแต่พระมหาราชผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งรัฐ ถ้าเรายังอยู่กันเป็นปกติอย่างนี้                           อันตรายจักยังไม่มีทั้งแก่พระองค์และแก่ข้าพระองค์ เป็นอันแน่นอนว่า                           เราทั้งสองคงได้พบเห็นกัน ในเมื่อวันคืนผ่านไปเป็นแน่.
จบ ชวนหังสชาดกที่ ๓.
๔. จุลลนารทกัสสปชาดก
ว่าด้วยพิษเหวเปือกตมและอสรพิษ
             [๑๗๖๔] ฟืนเจ้าก็มิได้หัก น้ำเจ้าก็มิได้ตักเอามา แม้กองไฟเจ้าก็มิได้ก่อให้                           ลุกโพลง เหตุไรหนอเจ้าจึงเป็นเหมือนคนโง่เขลานอนซบเซาอยู่?              [๑๗๖๕] ข้าแต่คุณพ่อกัสสปะ ผมอดทนอยู่ในป่าลำบาก ผมจะขอลาคุณพ่อไป                           การอยู่ในป่าลำบาก ผมปรารถนาจะไปสู่บ้านเมือง.              [๑๗๖๖] ข้าแต่คุณพ่อผู้เป็นดุจพรหม ผู้ออกจากป่านี้ไปอยู่ ณ ชนบทใดๆ                           จะพึงศึกษาขนบธรรมเนียมที่ชาวชนบทเขาประพฤติกันอย่างไร ขอ                           คุณพ่อจงพร่ำสอนขนบธรรมเนียมนั้นแก่ผมด้วยเถิด?              [๑๗๖๗] ถ้าเจ้าละป่า เหง้ามันและผลไม้ในป่า พึงพอใจอยู่ในบ้านเมือง เจ้าจง                           สำเหนียกจารีตของชนบทนั้นของเราไว้.              [๑๗๖๘] เจ้าจงอย่าเสพของมีพิษ จงเว้นเหวโดยเด็ดขาด อย่าจมอยู่ในเปือกตม                           ในที่ใกล้อสรพิษ จงเตรียมตัวให้พร้อม.              [๑๗๖๙] ผมขอถาม คุณพ่อกล่าวอะไรว่าเป็นพิษ เป็นเหว เป็นเปือกตม                           เป็นอสรพิษของพรหมจรรย์ ผมถามแล้ว ขอคุณพ่อโปรดบอกความ                           ข้อนั้นแก่ผมเถิด?              [๑๗๗๐] ดูกรพ่อนารทะ น้ำดองในโลกเขาเรียกชื่อว่าสุรา สุรานั้นทำใจให้ฮึกเหิม                           มีกลิ่นหอม ทำให้พูดมาก มีรสหวานแหลมปานน้ำผึ้ง พระอริยะ                           ทั้งหลายกล่าวสุรานั้นว่า เป็นพิษของพรหมจรรย์.              [๑๗๗๑] ดูกรพ่อนารทะ หญิงในโลกย่อมย่ำยีบุรุษผู้ประมาทแล้ว หญิงเหล่านั้น                           ย่อมจูงจิตของบุรุษไป เหมือนลมพัดปุยนุ่นที่หล่นจากต้นไป ฉะนั้น                           นี่บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเหวของพรหมจรรย์.              [๑๗๗๒] ดูกรพ่อนารทะ ลาภ สรรเสริญ สักการะ และการบูชาในตระกูล                           อื่นๆ นี่บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเปือกตมของพรหมจรรย์.              [๑๗๗๓] ดูกรพ่อนารทะ พระราชาผู้เป็นใหญ่ครอบครองแผ่นดินนี้ เจ้าอย่าเข้าไป                           ใกล้พระราชาผู้เป็นใหญ่ เป็นจอมมนุษย์เช่นนั้น.              [๑๗๗๔] ดูกรพ่อนารทะ เจ้าอย่าเที่ยวไปใกล้บาทมูลแห่งพระราชาทั้งหลาย ผู้เป็น                           อิสระและเป็นอธิบดีเหล่านั้น พระราชานั้น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นอสรพิษของ                           พรหมจรรย์.              [๑๗๗๕] บุคคลผู้ต้องการอาหารในเวลาอาหาร พึงเข้าไปใกล้เรือนใด พึงรู้กุศล                           คือ อโคจร ๕ ที่ควรเว้นในสกุลนั้น แล้วพึงเที่ยวแสวงหาอาหารใน                           เรือนนั้น. บุคคลเข้าไปสู่ตระกูลอื่นเพื่อปานะ หรือโภชนะแล้ว พึงรู้จัก                           ประมาณบริโภคแต่พอควร และไม่พึงใส่ใจในรูปหญิง.              [๑๗๗๖] เจ้าจงเว้นให้ห่างไกลซึ่งการตั้งคอกโค ร้านขายสุรา คนเกเร ที่ประชุม                           และขุมทรัพย์ทั้งหลาย เหมือนบุคคลผู้ไปด้วยยาน เว้นหนทางอันไม่                           ราบเรียบ ฉะนั้น.
จบ จุลลนารทกัสสปชาดกที่ ๔.
๕. ทูตชาดก
ว่าด้วยการบอกความทุกข์แก่ผู้ที่ควรบอก
             [๑๗๗๗] ดูกรพราหมณ์ เราส่งทูตทั้งหลายเพื่อท่านผู้เพ่งอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา                           ทูตเหล่านั้นถามท่าน ท่านก็มิได้บอกให้แจ่มแจ้ง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่                           ท่านนั้น เป็นความตายของท่านมิใช่หรือ?              [๑๗๗๘] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบำรุงรัฐกาสีให้เจริญ ถ้าความทุกข์เกิดขึ้นแก่พระองค์                           ผู้ใดไม่พึงเปลื้องพระองค์จากทุกข์ได้ พระองค์อย่าได้ตรัสบอกความทุกข์                           นั้นแก่ผู้นั้น.              [๑๗๗๙] ผู้ใดพึงเปลื้องทุกข์ของบุคคลผู้เกิดทุกข์ได้ส่วนเดียวโดยธรรม พึงบอก                           เล่าแก่ผู้นั้นได้โดยแท้.              [๑๗๘๐] ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย                           เสียงของมนุษย์รู้ได้ยากยิ่งกว่านั้น.              [๑๗๘๑] อนึ่ง ผู้ใด เมื่อก่อน เป็นผู้ใจดี คนทั้งหลายนับถือว่า เป็นญาติเป็นมิตร                           หรือเป็นสหาย ภายหลัง ผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์                           รู้ได้ยากอย่างนี้.              [๑๗๘๒] ผู้ใดถูกถามเนืองๆ ถึงทุกข์ของตน ย่อมบอกในกาลอันไม่ควร ผู้นั้น                           ย่อมมีแต่มิตรผู้แสวงหาประโยชน์ แต่ไม่ยินดีร่วมทุกข์ด้วย.              [๑๗๘๓] บุคคลรู้กาลอันควร และรู้จักบัณฑิต ผู้มีปัญญาว่า มีใจร่วมกันแล้ว                           พึงบอกความทุกข์ทั้งหลายแก่บุคคลผู้เช่นนั้น นักปราชญ์พึงบอกความ                           ทุกข์ร้อนแก่ผู้อื่น พึงเปล่งวาจาอ่อนหวานมีประโยชน์.              [๑๗๘๔] อนึ่ง ถ้าบุคคลอดกลั้นความทุกข์ของตนไม่ได้ก็พึงรู้ว่า ประเพณีของ                           โลกนี้ จะมีเพื่อถึงความสุขสำหรับเราผู้เดียวไม่ได้ นักปราชญ์เมื่อเพ่งเล็ง                           หิริและโอตตัปปะอันเป็นของจริง พึงอดกลั้นความทุกข์ร้อนไว้ผู้เดียว                           เท่านั้น.              [๑๗๘๕] ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์ต้องการจะหาทรัพย์ให้อาจารย์ จึงเที่ยวไป                           ทั่วแว่นแคว้น นิคม และราชธานีทั้งหลาย.              [๑๗๘๖] ขอกะคฤหบดี ราชบุรุษ และพราหมณ์มหาศาลได้ทองคำ ๗ ลิ่ม ทองคำ ๗                           ลิ่มของข้าพระองค์นั้นหายเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึง                           เศร้าโศกมาก.              [๑๗๘๗] ข้าแต่พระมหาราชา บุรุษผู้เป็นทูตของพระองค์เหล่านั้น ข้าพระองค์คิดรู้                           ด้วยใจว่า ไม่สามารถจะปลดเปลื้อง ข้าพระองค์จากทุกข์ได้ เพราะ                           เหตุนั้น ข้าพระองค์จึงไม่บอกแก่บุรุษเหล่านั้น.              [๑๗๘๘] ข้าแต่พระมหาราชา ส่วนพระองค์ ข้าพระองค์คิดรู้ด้วยใจว่า พระองค์                           สามารถจะปลดเปลื้องข้าพระองค์จากทุกข์ได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์                           จึงกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ.              [๑๗๘๙] พระราชาผู้บำรุงรัฐกาสีให้เจริญ มีพระหฤทัยเลื่อมใส ได้พระราชทาน                           ทองคำ ๑๔ แท่ง แก่พระโพธิสัตว์นั้น.
จบ ทูตชาดกที่ ๕.
๖. กาลิงคโพธิชาดก
ว่าด้วยการพยากรณ์ที่อันเป็นชัยภูมิ
             [๑๗๙๐] พระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่ากาลิงคะ ได้ทรงสั่งสอนมนุษย์ทั่วแผ่นดิน                           โดยธรรม ได้เสด็จไปสู่ที่ใกล้ต้นโพธิ์ด้วยช้าง ทรงมีอานุภาพมาก.              [๑๗๙๑] ภารทวาชปุโรหิตชาวกาลิงครัฐ พิจารณา ดูภูมิภาคแล้ว จึงประคอง                           อัญชลีกราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นบุตรแห่งดาบส ชื่อกาลิงคะว่า.              [๑๗๙๒] ข้าแต่พระมหาราชา ขอเชิญพระองค์เสด็จลงเถิด ภูมิภาคนี้อันพระพุทธเจ้า                           ผู้เป็นสมณะทรงสรรเสริญแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ตรัสรู้โดยยิ่ง                           มีพระคุณหาประมาณมิได้ ย่อมไพโรจน์ ณ ภูมิภาคนี้.              [๑๗๙๓] หญ้าและเครือเถาทั้งหลายในภูมิภาคส่วนนี้ ม้วนเวียนโดยทักษิณาวัตร                           ภูมิภาคส่วนนี้ เป็นที่ไม่หวั่นไหวแห่งแผ่นดิน (เมื่อกัลป์จะตั้งขึ้นก็ตั้ง                           ขึ้นก่อน เมื่อกัลป์พินาศก็พินาศภายหลัง) ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์                           ได้สดับมาอย่างนี้.              [๑๗๙๔] ภูมิภาคส่วนนี้ เป็นมณฑลแห่งแผ่นดินอันทรงไว้ซึ่งภูตทั้งปวง มีสาคร                           เป็นขอบเขต ขอเชิญพระองค์เสด็จลง แล้วทรงกระทำการนอบน้อมเถิด                           พระเจ้าข้า.              [๑๗๙๕] ช้างกุญชรตัวประเสริฐ เกิดในตระกูลอุโบสถ ย่อมไม่เข้าไปใกล้ประเทศ                           นั้นเลย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.              [๑๗๙๖] ช้างตัวประเสริฐนี้ เป็นช้างเกิดแล้วในตระกูลอุโบสถโดยแท้ ถึงกระนั้น                           ก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้ ถ้าพระองค์ยังทรงสงสัย                           อยู่ ก็จงทรงไสช้างพระที่นั่งไปเถิด.              [๑๗๙๗] พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงใคร่ครวญถ้อยคำของปุโรหิต                           ผู้ชำนาญการพยากรณ์ว่า เราจักรู้ถ้อยคำของปุโรหิตนี้ว่า จริงหรือไม่จริง                           นี้แล้ว ทรงไสช้างพระที่นั่งไป.              [๑๗๙๘] ฝ่ายช้างพระที่นั่งนั้น ถูกพระราชาทรงไสไปแล้ว ก็เปล่งเสียงดุจนก                           กระเรียนแล้วถอยหลังทรุดคุกลง ดังอดทนภาระหนักไม่ได้.              [๑๗๙๙] ปุโรหิตภารทราชะชาวกาลิงครัฐ รู้ว่า ช้างพระที่นั่งสิ้นอายุแล้ว จึงรีบ                           กราบทูลพระเจ้ากาลิงคะว่า ข้าแต่พระมหาราชา ขอเชิญเสด็จไปทรงช้าง                           พระที่นั่งเชือกอื่นเถิด ช้างพระที่นั่งเชือกนี้สิ้นอายุแล้ว พระเจ้าข้า.              [๑๘๐๐] พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงรีบเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่ง                           เชือกใหม่ เมื่อพระราชาเสด็จก้าวไปพ้นแล้ว ช้างพระที่นั่งที่ตายแล้ว                           ก็ล้มลง ณ พื้นดินที่นั้นเอง ถ้อยคำของปุโรหิต ผู้ชำนาญการพยากรณ์                           เป็นอย่างใด ช้างพระที่นั่งเป็นอย่างนั้น.              [๑๘๐๑] พระเจ้ากาลิงคะได้ตรัสกะพราหมณ์ภารทวาชะชาวกาลิงครัฐอย่างนี้ว่า                           ท่านเป็นสัมพุทธะ รู้เห็นเหตุทั้งปวงโดยแท้.              [๑๘๐๒] กาลิงคพราหมณ์ เมื่อไม่รับคำสรรเสริญนั้นจึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่                           พระมหาราชา ข้าพระองค์เป็นผู้ชำนาญการพยากรณ์ ชื่อว่าพุทธะ ผู้รู้เหตุ                           ทั้งปวงก็จริง.              [๑๘๐๓] แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นพระสัพพัญญูด้วย เป็นพระสัพพวิทูด้วย                           ย่อมรู้เหตุทั้งปวงด้วยพระญาณเป็นเครื่องกำหนด ข้าพระองค์รู้เหตุ                           ทั้งปวงได้ เพราะกำลังแห่งอาคม พระพุทธเจ้าทั้งหลาย รู้เหตุทั้งปวงได้                           ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ.              [๑๘๐๔] พระเจ้ากาลิงคะ ทรงนำเอามาลาและเครื่องลูบไล้พร้อมด้วยดนตรีต่างๆ                           ไปบูชาพระมหาโพธิ์แล้ว รับสั่งให้กระทำกำแพงแวดล้อม.              [๑๘๐๕] รับสั่งให้เก็บดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียนมาบูชาโพธิมณฑลอันเป็น                           อนุตริยะ แล้วเสด็จกลับ.
จบ กาลิงคโพธิชาดกที่ ๖.
๗. อกิตติชาดก
อกิตติดาบสขอพรท้าวสักกะ
             [๑๘๐๖] ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูต ทรงเห็นอกิตติดาบสผู้ยับยั้งอยู่ จึงได้ตรัส                           ถามว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านปรารถนาสมบัติอะไร ถึงยับยั้งอยู่ผู้เดียว                           ในถิ่นอันแห้งแล้ง?              [๑๘๐๗] ดูกรท้าวสักกะ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ อนึ่ง ความแตกทำลายแห่ง                           ร่างกาย และความตายอย่างหลงใหล ก็เป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น                           อาตมภาพจึงยับยั้งอยู่ ณ ที่นี้.              [๑๘๐๘] ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้ากล่าวนี้ เป็นถ้อยคำสมควร                           เป็นสุภาษิต โยมขอถวายพรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.              [๑๘๐๙] ดูกรท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้ามหาบพิตรจะทรงประทานพร                           แก่อาตมภาพ ชนทั้งหลายได้บุตร ภรรยา ทรัพย์ ข้าวเปลือก และ                           สิ่งของอันเป็นที่รักทั้งหลาย แล้วยังไม่อิ่มด้วยความโลภใด ความโลภนั้น                           อย่าพึงมีในอาตมภาพเลย.              [๑๘๑๐] ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้ากล่าวนี้ เป็นถ้อยคำสมควร                           เป็นสุภาษิต โยมขอถวายพรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.              [๑๘๑๑] ดูกรท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้ามหาบพิตรจะทรงประทานพร                           แก่อาตมภาพ นา ที่ดิน เงิน โค ม้า ทาส กรรมกร ย่อมเสื่อม                           สิ้นไปด้วยโทสะใด โทสะนั้นอย่าพึงมีในอาตมภาพเลย.              [๑๘๑๒] ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้ากล่าวนี้ เป็นถ้อยคำสมควร                           เป็นสุภาษิต โยมขอถวายพรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.              [๑๘๑๓] ดูกรท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้ามหาบพิตรจะทรงประทานพร                           แก่อาตมภาพ อาตมภาพไม่พึงเห็น ไม่พึงได้ฟังคนพาล ไม่พึงอยู่ร่วม                           กับคนพาล ไม่ขอกระทำ และไม่ขอชอบใจการเจรจาปราศรัยกับคนพาล.              [๑๘๑๔] ข้าแต่ท่านกัสสปะ คนพาลได้กระทำอะไรให้แก่ท่านหรือ ขอท่านจงบอก                           เหตุนั้นแก่โยม เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ปรารถนาเห็นคนพาล?              [๑๘๑๕] คนพาลผู้มีปัญญาทราม ย่อมแนะนำสิ่งที่ไม่ควรจะแนะนำ ย่อมชักชวนใน                           สิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำชั่วเป็นความดีของเขา คนพาลนั้นถึงจะ                           พูดดีก็โกรธ เขามิได้รู้วินัย การไม่เห็นคนพาลนั้นเป็นความดี.              [๑๘๑๖] ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้ากล่าวนี้ เป็นถ้อยคำสมควร                           เป็นสุภาษิต โยมขอถวายพรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.              [๑๘๑๗] ดูกรท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้ามหาบพิตรจะทรงประทานพร                           แก่อาตมภาพ อาตมภาพพึงขอเห็น ขอฟังนักปราชญ์ ขออยู่ร่วมกัน                           กับนักปราชญ์ ขอกระทำ และขอชอบใจการเจรจาปราศรัยกับนักปราชญ์.              [๑๘๑๘] ข้าแต่ท่านกัสสปะ นักปราชญ์ได้กระทำอะไรให้แก่ท่านหรือ ขอท่านจง                           บอกเหตุนั้นแก่โยม เพราะเหตุไร ท่านจึงปรารถนาเห็นนักปราชญ์?              [๑๘๑๙] นักปราชญ์ย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ย่อมไม่ชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ                           การแนะนำดีเป็นความดีของนักปราชญ์นั้น นักปราชญ์นั้น ผู้อื่น                           กล่าวชอบก็ไม่โกรธ ย่อมรู้จักวินัย การสมาคมคบหากันกับนักปราชญ์                           นั้นเป็นความดี.              [๑๘๒๐] ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้ากล่าวนี้ เป็นถ้อยคำสมควร                           เป็นสุภาษิต โยมขอถวายพรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.              [๑๘๒๑] ดูกรท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้ามหาบพิตรจะทรงประทานพร                           แก่อาตมภาพ เมื่อราตรีสว่างแจ้ง พระอาทิตย์อุทัยขึ้นแล้ว ขออาหาร                           อันเป็นทิพย์ และยาจกผู้มีศีล พึงปรากฏขึ้น เมื่ออาตมภาพให้ทานอยู่                           ขอให้ศรัทธาของอาตมภาพไม่พึงเสื่อมสิ้นไป ครั้นให้ทานแล้วขอให้                           อาตมภาพไม่พึงเดือดร้อนในภายหลัง เมื่อกำลังให้อยู่ ก็ขอให้อาตมภาพ                           พึงยังจิตให้เลื่อมใส ดูกรท้าวสักกะ ขอมหาบพิตรทรงประทานพรนี้                           แก่อาตมภาพเถิด.              [๑๘๒๒] ข้าแต่ท่านกัสสปะ เพราะถ้อยคำที่พระคุณเจ้ากล่าวนี้ เป็นถ้อยคำสมควร                           เป็นสุภาษิต โยมขอถวายพรแก่ท่านตามที่ท่านมีใจปรารถนา.              [๑๘๒๓] ดูกรท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งภูตทั้งปวง ถ้ามหาบพิตรจะทรงประทานพร                           แก่อาตมภาพ มหาบพิตรอย่าพึงเข้ามาใกล้อาตมภาพอีกเลย ดูกรท้าว                           สักกะ ขอมหาบพิตรทรงประทานพรนี้แก่อาตมภาพเถิด.              [๑๘๒๔] นรชาติหญิงชายทั้งหลาย ย่อมปรารถนาจะเห็นโยมด้วยวัตรจริยาเป็น                           อันมาก เพราะเหตุไรหนอ การเห็นโยมจึงเป็นภัยแก่ท่าน?              [๑๘๒๕] อาตมภาพเห็นเพศเทวดาเช่นพระองค์ ผู้สำเร็จด้วยสิ่งที่ต้องประสงค์                           ทุกอย่างแล้ว ก็จะพึงประมาท ทำความเพียรปรารถนาตำแหน่งท้าวสักกะ                           การเห็นมหาบพิตรจึงเป็นภัยแก่อาตมภาพ.
จบ อกิตติชาดกที่ ๗.
๘. ตักการิยชาดก
การพูดดีเป็นศรีแก่ตัว
             [๑๘๒๖] ดูกรพ่อตักการิยะ ฉันเองเป็นคนโง่เขลา กล่าวคำชั่วช้าเหมือนกบในป่า                           ร้องเรียกงูมาให้กินตน ฉะนั้น ฉันน่าจะตกลงไปในหลุมนี้ ได้ยินมาว่า                           บุคคลที่พูดล่วงเลยขอบเขตไม่ดีเลย.              [๑๘๒๗] บุคคลที่พูดล่วงเลยขอบเขต ย่อมได้ประสบการจองจำ การถูกฆ่า                           ความเศร้าโศกและความร่ำไห้ ข้าแต่ท่านอาจารย์ ชนทั้งหลายจะฝังท่าน                           ลงในหลุม เพราะเหตุใด ท่านต้องติเตียนตัวท่านเอง เพราะเหตุนั้น.              [๑๘๒๘] เราจะซักถามตุณฑิละ เพื่อประโยชน์อะไรเล่า นางกาลีซิควรทำกะ                           น้องชายของเขาเอง เราถูกแย่งผ้าจนเป็นคนเปลือยกาย แม้เรื่องนี้                           ก็เหมือนกับเรื่องของท่านเป็นอันมาก?              [๑๘๒๙] นกกะลิงตัวใด มิได้ชนกับเขาด้วย เข้าไปจับอยู่ในระหว่างศีรษะแพะ                           ทั้งสองผู้กำลังชนกันอยู่ นกกะลิงตัวนั้น ก็ถูกศีรษะแพะบดขยี้แล้ว                           ณ ที่นั้นเอง แม้เรื่องนี้ ก็เหมือนกับเรื่องของท่านเป็นอันมาก.              [๑๘๓๐] คน ๔ คนจะป้องกันคนคนเดียว ช่วยกันจับชายผ้าไว้คนละชาย คน                           ทั้งหมดนั้นก็พากันหัวแตกนอนตายแล้ว แม้เรื่องนี้ ก็เหมือนกับเรื่อง                           ของท่านเป็นอันมาก.              [๑๘๓๑] นางแพะที่ถูกโจรทั้งหลายผูกไว้ในพุ่มกอไผ่ คึกคะนอง เอาเท้าหลังดีดไป                           กระทบมีดตกลงมา พวกโจรก็เอามีดนั้นเองเชือดคอนางแพะฉันใด                           แม้เรื่องนี้ ก็เหมือนกับเรื่องของท่านเป็นอันมาก.              [๑๘๓๒] พวกนี้มิใช่เทวดา มิใช่บุตรคนธรรพ์ พวกนี้เป็นเนื้อ พวกนี้ถูกนำมา                           ด้วยอำนาจประโยชน์ เจ้าทั้งหลายจงย่างมันตัวหนึ่ง สำหรับอาหารมื้อเย็น                           อีกตัวหนึ่งสำหรับอาหารมื้อเช้า.              [๑๘๓๓] คำทุพภาษิตตั้งแสนคำ ก็ไม่ถึงแม้ส่วนเสี้ยวของคำสุภาษิต กินนรรังเกียจ                           คำทุพภาษิตจึงเศร้าหมอง เพราะเหตุนั้น กินนรจึงนิ่งเฉยเสีย ไม่ใช่                           นิ่งเฉยเพราะความโง่เขลา.              [๑๘๓๔] กินนรีตัวนี้กล่าวแก้เราได้แล้ว เจ้าทั้งหลาย จงปล่อยกินนรีตัวนั้นไป                           อนึ่ง จงนำไปส่งให้ถึงเขาหิมพานต์ ส่วนกินนรตัวนี้ เจ้าทั้งหลาย                           จงส่งไปให้โรงครัวใหญ่ จงย่างมันสำหรับอาหารเช้า แต่เช้าทีเดียว.              [๑๘๓๕] ข้าแต่พระมหาราชา ปศุสัตว์ทั้งหลายพึ่งฝน ประชาชนนี้ก็พึ่งปศุสัตว์                           พระองค์เป็นที่พึ่งของข้าพระบาท ภรรยาของข้าพระบาท ก็พึ่งข้าพระบาท                           ในระหว่างข้าพระบาททั้งสอง ตัวหนึ่งรู้ว่าอีกตัวหนึ่งตายแล้ว ตนเอง                           พ้นแล้วจากความตาย จึงจะไปสู่บรรพต.              [๑๘๓๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ความนินทาทั้งหลายมิใช่จะหลีกเลี่ยง                           ให้พ้นไปโดยง่ายเลย ชนทั้งหลายมีฉันทะต่างๆ กัน ซึ่งควรจะซ่อง                           เสพ คนหนึ่งได้รับการสรรเสริญด้วยคุณธรรมข้อใด คนอื่นได้คน                           นินทา ด้วยคุณธรรมข้อนั้นเอง.              [๑๘๓๗] โลกทั้งปวงมีจิตยิ่งด้วยจิตของคนอื่น โลกทั้งปวงชื่อว่ามีจิตในจิตของตน                           สัตว์ทั้งปวง ที่เป็นปุถุชน ต่างก็มีจิตใจต่างกัน สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้                           ไม่พึงเป็นไปในอำนาจแห่งจิตของใคร.              [๑๘๓๘] กินนรพร้อมด้วยกินนรีผู้ภรรยา เป็นผู้นิ่งไม่พูด เป็นผู้กลัวภัย ได้กล่าว                           แก้แล้วในบัดนี้ กินนรนั้นชื่อว่า พ้นแล้วในบัดนี้ เป็นผู้มีความสุข                           หาโรคมิได้ เพราะว่าการเปล่งวาจาดี นำมาซึ่งประโยชน์แก่นรชน                           ทั้งหลาย.
จบ ตักการิยชาดกที่ ๘.
๙. รุรุมิคชาดก
ว่าด้วยน้ำใจของพญาเนื้อรุรุ
             [๑๘๓๙] ใครบอกมฤค ผู้สูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายนั้นแก่เราได้ เราจะให้บ้านส่วย                           และหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่ผู้นั้น.              [๑๘๔๐] ขอได้โปรดพระราชทานบ้านส่วย และหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่                           ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ จะกราบทูลมฤคผู้สูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายแก่                           พระองค์.              [๑๘๔๑] ณ ไพรสณฑ์นั้น มีต้นมะม่วง และต้นรังทั้งหลาย ดอกบานสะพรั่ง                           พื้นที่แห่งไพรสณฑ์นั้น ดารดาษไปด้วยติณชาติ มีสีเหมือนแมลงค่อม                           ทอง มฤคตัวนั้นอยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น.              [๑๘๔๒] พระเจ้าพาราณสี ทรงโก่งธนูสอดใส่ลูกศรไว้ เสด็จเข้าไปแล้ว ส่วน                           มฤคเห็นพระราชาแล้ว ได้ร้องกราบทูลไปแต่ไกลว่า ข้าแต่พระ                           มหาราชาผู้ประเสริฐ โปรดทรงรอก่อน อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระบาทเสีย                           เลย ใครหนอได้กราบทูลความเรื่องแก่พระองค์ว่า มฤคตัวนี้อยู่                           ณ ไพรสณฑ์นี้.              [๑๘๔๓] ดูกรสหาย บุรุษผู้มีมารยาทอันเลวทราม ยืนอยู่ห่างๆ นั่น บุรุษคนนั้น                           แหละ ได้บอกความเรื่องนี้แก่เราว่า มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.              [๑๘๔๔] ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า ไม้ลอยน้ำยัง                           ดีกว่า คนบางคนไม่ดีเลย.              [๑๘๔๕] ดูกรพญามฤค เธอติเตียนพวกไหนแน่ ติเตียนพวกมฤค พวกนก                           หรือพวกมนุษย์ เรามีความกลัวไม่น้อย เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษา                           มนุษย์ได้.              [๑๘๔๖] ข้าพระองค์ช่วยยกขึ้นซึ่งบุรุษคนใด ผู้ลอยไปในห้วงน้ำคงคา มีน้ำมาก                           ไหลเชี่ยว ภัยมาถึงข้าพระองค์แล้ว เพราะบุรุษผู้นั้นเป็นเหตุ ข้าแต่                           พระมหาราชา การสมาคมกับอสัตบุรุษทั้งหลาย นำทุกข์มาให้โดยแท้.              [๑๘๔๗] เรานั้นจะปล่อยลูกศร ๔ ปีกนี้แหวกไปในอากาศ ให้ไปตัดตรงหัวใจ                           เราจักฆ่ามันผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ไม่ทำกิจที่ควรทำ ไม่รู้จักผู้กระทำคุณ                           ให้เช่นท่าน.              [๑๘๔๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน สัตบุรุษทั้งหลายไม่สรรเสริญ                           การฆ่าบัณฑิต และคนพาลเลย คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่                           เรือนของเขาตามปรารถนาเถิด อนึ่ง ขอได้โปรดพระราชทานค่าจ้าง ตาม                           ที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาด้วยเถิด อนึ่ง ข้าพระองค์ ขอทำความปรารถนา                           ของพระองค์.              [๑๘๔๙] ดูกรพญามฤค ท่านผู้ไม่ประทุษร้ายต่อมนุษย์ผู้ประทุษร้าย นับเป็นผู้หนึ่ง                           ในจำนวนสัตบุรุษทั้งหลายเป็นแน่ คนผู้มีธรรมอันลามก จงกลับไปสู่                           เรือนของตนตามความปรารถนา อนึ่ง เราจะให้ค่าจ้างที่เราพูดไว้แก่เขา                           และเราขอให้บ้านส่วยแก่ท่าน.              [๑๘๕๐] ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียง                           ของมนุษย์รู้ได้ยาก ยิ่งกว่านั้น อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อน เป็นคนใจดี คน                           ทั้งหลายนับถือว่า เป็นญาติเป็นมิตร หรือเป็นสหาย ภายหลัง ผู้นั้น                           กลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยากอย่างนี้.              [๑๘๕๑] ชาวชนบท และชาวนิคมทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันร้องทุกข์ว่า ฝูง                           เนื้อพากันมากินข้าว ขอพระองค์จงตรัสห้ามฝูงเนื้อนั้นเสียบ้าง พระ-                           เจ้าข้า.              [๑๘๕๒] ชนบทอย่าได้มี แม้แว่นแคว้นจะพินาศไป ก็ตามทีเถิด เราให้อภัย                           แก่ฝูงเนื้อและนกยูงแล้ว ไม่ขอประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุเป็นอันขาด.              [๑๘๕๓] ชาวชนบทของเราจะไม่มีก็ตาม ชาวชนบทจะไม่พูดกะเราก็ตาม เราได้                           ให้พรแก่พญาเนื้อไว้แล้ว จะไม่พูดเท็จเป็นอันขาด.
จบ รุรุมิคชาดกที่ ๙.
๑๐. สรภชาดก
ว่าด้วยละมั่งทำคุณแก่พระราชา
             [๑๘๕๔] บุรุษพึงหวังไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ปรารถนา                           อย่างใด ได้เป็นอย่างนั้น.              [๑๘๕๕] บุรุษพึงหวังไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ได้                           รับความช่วยเหลือให้ขึ้นจากน้ำสู่บกได้.              [๑๘๕๖] บุรุษพึงพยายามไว้ทีเดียว บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า                           ปรารถนาอย่างใด ได้เป็นอย่างนั้น.              [๑๘๕๗] บุรุษพึงพยายามร่ำไป บัณฑิตไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ได้รับ                           ความช่วยเหลือให้ขึ้นจากน้ำสู่บกได้.              [๑๘๕๘] นรชนผู้มีปัญญา แม้ตกอยู่ในกองทุกข์ ก็ไม่ควรตัดความหวังในอันจะ                           มาสู่ความสุข เพราะว่าผัสสะอันไม่เกื้อกูลและเกื้อกูลมีมาก คนที่ไม่ใฝ่                           ฝันถึงเลยก็ต้องเข้าถึงความตาย.              [๑๘๕๙] สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ย่อมมีได้บ้าง สิ่งที่คิดไว้ย่อมพินาศไปบ้าง โภคะ                           ทั้งหลายของสตรี หรือบุรุษ จะสำเร็จได้ด้วยความคิดนึกไม่มีเลย.              [๑๘๖๐] เมื่อก่อนพระองค์เสด็จติดตามละมั่งตัวใดไปตกเหวที่ซอกเขา พระองค์                           ทรงพระชนม์สืบมาได้ ด้วยความบากบั่นของละมั่งตัวนั้น ผู้มีจิตไม่                           ท้อแท้.              [๑๘๖๑] ละมั่งตัวใดพยายามเอาก้อนหินถมเหว ช่วยพระองค์ขึ้นจากเหวลึกยาก                           ที่จะขึ้น ปลดเปลื้องพระองค์ ผู้เข้าถึงกองทุกข์เสียจากปากมฤตยู                           พระองค์กำลังตรัสถึงละมั่งตัวนั้น ผู้มีจิตไม่ท้อแท้.              [๑๘๖๒] ดูกรพราหมณ์ เมื่อคราวนั้น ท่านได้อยู่ในที่นั้นด้วยหรือ หรือว่าใครได้                           บอกเรื่องนี้แก่ท่าน ท่านเป็นผู้เปิดเผยข้อที่เคลือบคลุม เห็นเรื่องได้ทั้ง                           ปวงละสิหนอ ความรู้ของท่านมีกำลัง เห็นปรุโปร่งหรืออย่างไร?              [๑๘๖๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน เมื่อคราวนั้น ข้าพระองค์หาได้อยู่                           ในที่นั้นไม่ และใครก็มิได้บอกเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์เลย แต่ว่านัก                           ปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมนำเนื้อความแห่งบทคาถาที่พระองค์ทรงภาษิตแล้ว                           มาใคร่ครวญดู.              [๑๘๖๔] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระปรีชาอันประเสริฐ พระองค์ทรงสอดลูกศรอันมี                           ปีก อันจะกำจัดความแกล้วกล้าของปรปักษ์ได้เข้าในแล่งแล้ว จะทรง                           ลังเลอะไรอยู่อีกเล่า ลูกศรที่ทรงยิงไปแล้วต้องฆ่าละมั่งได้ทันที ละมั่งนี้                           คงเป็นพระกระยาหารของพระราชาได้โดยแท้.              [๑๘๖๕] ดูกรพราหมณ์ แม้เราจะรู้แจ้งชัดความข้อนี้ว่า เนื้อเป็นอาหารของ                           กษัตริย์ ก็แต่ว่า เราจะบูชาคุณที่ละมั่งนี้ได้ทำไว้แก่เรา ในครั้งก่อน                           เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่ฆ่าละมั่งนี้.              [๑๘๖๖] ข้าแต่พระมหาราชาผู้เป็นใหญ่แห่งทิศ นั่นมิใช่เนื้อ นั่นคือท้าวสักกะ                           ผู้เป็นใหญ่กว่าอสูร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมมนุษย์ พระองค์จงทรงฆ่า                           ท้าวสักกะเทวราชนั้นเสีย แล้วจะได้เป็นใหญ่ในหมู่อมรเทพ.              [๑๘๖๗] ข้าแต่พระราชาผู้องอาจ ประเสริฐกว่านรชน ถ้าว่าพระองค์ยังทรงลังเล                           ที่จะฆ่าละมั่งผู้เป็นพระสหาย พระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรส และ                           พระราชชายา จักต้องไปยังเวตรณีนรกของพญายม.              [๑๘๖๘] เรา ชาวชนบททั้งหมด ลูก เมียและหมู่สหาย จะพากันไปยังเวตรณีนรก                           ของพญายมนั้นก็ตาม ถึงกระนั้น เราจะไม่ฆ่าผู้ที่ให้ชีวิตเรา เป็น                           อันขาด.              [๑๘๖๙] ดูกรมหาพราหมณ์ ละมั่งตัวนี้ ทำคุณแก่เราเมื่อคราวถึงความยาก ตัว                           คนเดียวในป่าเปลี่ยวแสนร้าย เราระลึกได้อยู่ถึงบุรพกิจเช่นนั้น ที่                           ละมั่งตัวนี้กระทำแก่เรา รู้คุณอยู่จะพึงฆ่าอย่างไรได้เล่า.              [๑๘๗๐] ขอพระองค์ผู้ทรงโปรดปรานมิตรยิ่งนัก จงทรงพระชนม์ชีพอยู่ยืนนาน                           เถิด พระองค์จงทรงปกครองราชสมบัติในคุณธรรมเถิด จงทรงมีหมู่                           นารีบำรุงบำเรอ จงทรงบันเทิงพระหฤทัยในแว่นแคว้น เหมือนท้าว                           วาสวะบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ ฉะนั้น.              [๑๘๗๑] ขอพระองค์ไม่ทรงพระพิโรธ จงมีพระหฤทัยผ่องใสอยู่เป็นนิตย์ ทรง                           กระทำสมณพราหมณ์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมทั้งปวง ให้เป็นแขกควรต้อนรับ                           ครั้นทรงบำเพ็ญทาน และเสวยบ้างตามอานุภาพแล้ว ชาวโลกไม่                           ติเตียนพระองค์ได้ จงเสด็จเข้าถึงสัคคสถานเถิด.
จบ สรภชาดกที่ ๑๐.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น