๑. เตสกุณชาดก ว่าด้วยนกตอบปัญหาพระราชา [๒๔๓๘] เราขอถามเจ้าเวสสันดร ดูกรนก ขอความเจริญจงมีแก่เจ้า กิจอะไรที่ บุคคลผู้ประสงค์เสวยราชสมบัติกระทำแล้ว เป็นกิจประเสริฐ? [๒๔๓๙] นานนักหนอ พระเจ้ากังสราชพระบิดาเรา ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวเมือง พาราณสี เป็นผู้ประมาท ได้ตรัสถามเราผู้บุตรซึ่งหาความประมาทมิได้. [๒๔๔๐] ข้าแต่บรมกษัตริย์ ธรรมดาพระราชาควรทรงห้ามมุสาวาท ความโกรธ และความร่าเริงก่อนทีเดียว แต่นั้นพึงรับสั่งให้กระทำกิจทั้งหลาย คำที่ ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวมานั้นนักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นวัตรของพระ- ราชา. ข้าแต่พระบิดา เมื่อก่อนพระองค์ทรงรักใคร่และเกลียดชังแล้ว พึงทรงทำกรรมใดกรรมนั้นที่พระองค์ทำแล้ว พึงยังพระองค์ให้เดือดร้อน โดยไม่ต้องสงสัย แต่นั้นพระองค์ไม่ควรทรงกระทำกรรมนั้นอีก. ข้าแต่ พระองค์ผู้ทรงบำรุงรัฐ เมื่อกษัตริย์ประมาทแล้ว โภคสมบัติทุกอย่าง ในแว่นแคว้นย่อมพินาศ ข้อนั้นนักปราชญ์กล่าวว่าเป็นความทุกข์ของ พระราชา. ข้าแต่พระบิดา เทพธิดาชื่อศิริ และชื่อลักขีถูกสูจิบริวาร เศรษฐีถามได้ตอบว่า ข้าพเจ้าย่อมยินดีในบุรุษผู้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่มีความริษยา. ข้าแต่พระมหาราชา คนกาลกรรณีผู้ทำลายจักร ย่อม ยินดีในบุรุษผู้ริษยา ผู้มีใจชั่ว ผู้ประทุษร้ายการงาน. ข้าแต่พระมหา ราชา พระองค์จงทรงเป็นผู้มีพระทัยดีต่อคนทั้งปวง จงทรงพิทักษ์รักษา คนทั้งปวง จงทรงบรรเทาเสียซึ่งคนไม่มีราศรี จงเป็นผู้มีคนที่มีราศรีเป็น ที่พึ่งเถิด. ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่แห่งชนชาวกาสี บุรุษผู้มีราศรี สมบูรณ์ด้วยความเพียร มีอัธยาศัยใหญ่ ย่อมตัดโคน และยอดของศัตรู ทั้งหลายได้. ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ของประชาชน จริงอยู่ ถึงท้าว สักกะก็ไม่ทรงประมาทในความหมั่นเพียร ท้าวเธอทรงทำความเพียรใน กัลยาณธรรม ทำพระทัยในความหมั่นเพียร. คนธรรพ์ พรหม เทวดา เป็นผู้เป็นอยู่ อาศัยพระราชาเช่นนั้น เมื่อพระราชาทรงอุตสาหะ ไม่ ทรงประมาท เทวดาทั้งหลายย่อมคุ้มครองป้องกัน. ข้าแต่พระบิดา พระองค์จงทรงเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ทรงพระพิโรธแล้ว รับสั่งให้ทำกิจ ทั้งหลาย จงทรงพยายามในกิจทั้งหลาย เพราะคนเกียจคร้าน ย่อมไม่ พบความสุข. ข้อความที่ข้าพระองค์กล่าวแก้แล้วในปัญหาของพระองค์ นั้น ข้อนี้เป็นอนุศาสนี สามารถยังผู้เป็นมิตรให้ถึงความสุข และยัง คนผู้นั้นเป็นศัตรูให้ถึงความทุกข์ได้. [๒๔๔๑] ดูกรนางนกกุณฑลินี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของนกมีบรรดาศักดิ์ เจ้าสามารถละ หรือ เจ้าจะเข้าใจได้หรือ กิจอะไร เล่าที่ผู้มุ่งจะครอบครองสมบัติกระทำ แล้วเป็นกิจประเสริฐ? [๒๔๔๒] ข้าแต่พระบิดา ประโยชน์ทั้งปวงตั้งมั่นอยู่ในเหตุ ๒ ประการเท่านั้น คือ ความได้ลาภที่ยังไม่ได้ ๑ การตามรักษาลาภที่ได้แล้ว ๑. พระองค์จงทรง ทราบอำมาตย์ทั้งหลายผู้เป็นนักปราชญ์ ฉลาดในประโยชน์ ไม่แพร่ง พรายความลับ ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่ทำให้เสื่อมเสีย. อำมาตย์ผู้ใด พึงรักษาพระราชทรัพย์ของพระองค์ให้มีคงที่อยู่ได้ ดุจนายสารถียึดรถ ไว้ พระองค์ควรทรงใช้อำมาตย์ผู้นั้น ให้กระทำกิจทั้งหลายของพระองค์ พระราชาพึงเป็นผู้มีอันโตชนอันสงเคราะห์ดีแล้ว พึงตรวจตราพระราช- ทรัพย์ด้วยพระองค์เอง ไม่ควรจัดการทรัพย์และการกู้หนี้ โดยทรงไว้ วางพระทัยในคนอื่น. ควรทรงทราบรายได้รายจ่ายด้วยพระองค์เอง ควร ทรงทราบกิจที่ทำแล้วและยังไม่ทำด้วยพระองค์เอง ควรข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง. ข้าแต่พระองค์ผู้จอมพลรถ พระองค์จงทรง พร่ำสอนเหตุผล แก่ชาวชนบทเอง เจ้าหน้าที่ผู้เก็บภาษีอากร ผู้ไม่ ประกอบด้วยธรรม อย่ายังพระราชทรัพย์และรัฐสีมาของพระองค์ให้ พินาศ. อนึ่ง พระองค์อย่าทรงทำเอง หรืออย่าทรงใช้คนอื่นให้ทำกิจ ทั้งหลายโดยฉับพลัน เพราะว่าการงานที่ทำลงไปโดยฉับพลัน ไม่ดีเลย คนเขลาย่อมเดือดร้อนในภายหลัง. พระองค์อย่าทรงล่วงเลยกุศล อย่า ทรงปล่อยพระทัยให้เกรี้ยวกราดนัก เพราะว่าสกุลที่มั่นคงเป็นอันมาก ได้ถึงความไม่เป็นสกุลเพราะความโกรธ. พระองค์อย่าทรงนึกว่าเราเป็น ใหญ่ แล้วยังมหาชนให้หยั่งลงเพื่อความฉิบหาย กำไรคือความทุกข์อย่า ได้มีแก่หญิงและชายของพระองค์เลย. โภคสมบัติทั้งปวงของพระราชา ผู้ปราศจากความหวาดเสียว แส่หากามารมณ์ ย่อมพินาศหมด ข้อนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นความทุกข์ของพระราชา. ข้อความที่หม่อม ฉันกราบทูลในปัญหาของพระองค์นั้น เป็นวัตตบท นี่แหละเป็น อนุศาสนี ข้าแต่พระมหาราชา บัดนี้ พระองค์ยังทรงขยันบำเพ็ญกุศล ไม่ทรงเป็นนักเลง ไม่ทรงทำให้ราชทรัพย์ให้พินาศ จงทรงศีล เพราะว่า คนทุศีลย่อมตกนรก. [๒๔๔๓] พ่อชัมพุกะ พ่อได้ถามปัญหากะเจ้าโกสิยโคตรและเจ้ากุณฑลินีมาเช่น เดียวกันแล้ว บัดนี้ เจ้าจงบอกกำลังอันอุดมกว่ากำลังทั้งหลาย. [๒๔๔๔] กำลังในบุรุษผู้มีอัธยาศัยใหญ่ในโลกนี้มี ๕ ประการ ในกำลัง ๕ ประการ นั้น กำลังแขน บัณฑิตกล่าวว่าเป็นกำลังต่ำทราม ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง เจริญพระชนม์ กำลังโภคทรัพย์ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นกำลังที่ ๒. กำลัง อำมาตย์ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นกำลังที่ ๓ กำลังคือมีชาติยิ่งใหญ่เป็น กำลังที่ ๔ โดยแท้ บัณฑิตย่อมยึดเอากำลังทั้งหมดนี้ไว้ได้. กำลังปัญญา บัณฑิตกล่าวว่าเป็นกำลังประเสริฐ ยอดเยี่ยมกว่ากำลังทั้งหลาย เพราะ ว่าบัณฑิตอันกำลังปัญญาสนับสนุนแล้ว ย่อมได้ความเจริญ. ถ้าบุคคลมี ปัญญาทราม แม้ได้แผ่นดินอันสมบูรณ์ เมื่อเขาไม่ปรารถนา คนอื่นผู้ถึง พร้อมด้วยปัญญา ก็ข่มขี่แย่งเอาแผ่นดินนั้นเสีย. ข้าแต่พระจอมแห่งชน ชาวกาสี ถ้าบุคคลแม้เป็นผู้มีชาติสูง ได้ราชสมบัติแล้วเป็นกษัตริย์ แต่ มีปัญญาทราม หาเป็นอยู่ด้วยราชสมบัติทุกอย่างได้ไม่. ปัญญาเป็นเครื่อง วินิจฉัยข้อความที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา ปัญญาเป็นเครื่องเพิ่มพูนเกียรติคุณ และชื่อเสียง คนในโลกนี้ประกอบด้วยปัญญาแล้ว แม้เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ก็ย่อมได้รับสุข. ก็คนบางคนไม่ตั้งใจฟังด้วยดี ไม่อาศัยผู้เป็นพหูสูต ผู้ตั้ง อยู่ในธรรม ไม่พิจารณาเหตุผล ย่อมไม่ได้บรรลุปัญญาแล อนึ่ง ผู้ใดรู้ จักจำแนกธรรม ลุกขึ้นในเวลาเช้า ไม่เกียจคร้าน ย่อมบากบั่นตามกาล ผลการงานของผู้นั้นย่อมสำเร็จประโยชน์แห่งการงานของบุคคลผู้มีศีล มิใช่บ่อเกิด ผู้คบหาบุคคลที่มิใช่บ่อเกิด (ลาภยศสุข) ผู้มีปกติเบื่อหน่าย ทำการงาน ย่อมไม่เผล็ดผลโดยชอบ. ส่วนประโยชน์แห่งการงานของ บุคคลผู้ประกอบธรรมอันเป็นภายใน คบหาบุคคลที่เป็นบ่อเกิดอย่างนั้น ไม่มีปกติเบื่อหน่ายทำการงาน ย่อมเผล็ดผลโดยชอบ. ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงเสวนะปัญญา อันเป็นส่วนแห่งการประกอบความเพียร เป็นเครื่องตามรักษาทรัพย์ที่รวบรวมไว้ และเหตุ ๒ ประการข้างต้นที่ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลแล้วนั้นเถิด อย่าได้ทรงทำลายทรัพย์เสียด้วยการ งานอันไม่สมควร เพราะคนมีปัญญาทราม ย่อมล่มจมด้วยการงานอันไม่ สมควร ดังเรือนไม้อ้อฉะนั้น. [๒๔๔๕] ข้าแต่พระมหาราชา ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรม ในพระราชมารดา พระราชบิดา ครั้นทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์. ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพระราชโอรสและพระอัครมเหสี ครั้น ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์. ขอพระองค์จงทรง ประพฤติธรรมในมิตรและอำมาตย์ ครั้นทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์. ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในพาหนะและพล นิกาย ครั้นทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์. ขอพระองค์ จงทรงประพฤติธรรมในชาวบ้านและชาวนิคม ครั้นทรงประพฤติธรรมใน โลกนี้แล้วจัดเสด็จสู่สวรรค์. ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในสมณะ และพราหมณ์ทั้งหลาย ครั้นทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่ สวรรค์. ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรมในเนื้อและนก ครั้นทรงประพฤติ ธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์. ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรม เพราะธรรมที่บุคคลประพฤติแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ ครั้นพระองค์ ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จักเสด็จสู่สวรรค์. ข้าแต่พระมหาราชา ขอพระองค์ทรงประพฤติธรรม เพราะว่าพระอินทร์ ทวยเทพพร้อมทั้ง พราหมณ์ ถึงทิพยสถานได้ด้วยธรรมอันตนประพฤติดีแล้ว ข้าแต่บรม กษัตริย์ ขอพระองค์อย่าทรงประมาทธรรมเลย. ข้อความที่ข้าพระองค์ กล่าวแล้วในปัญหาของพระองค์นั้นเป็นวัตตบท ข้อนี้แลเป็นอนุศาสนี ขอพระองค์จงทรงคบหาสมาคมกับผู้มีปัญญา จงมีคุณอันงามทรงทราบข้อ นั้นด้วยพระองค์แล้ว จงทรงปฏิบัติให้ครบถ้วนเถิดจบ เตสกุณชาดกที่ ๑. ๒. สรภังคชาดก สรภังคดาบสเฉลยปัญหา [๒๔๔๖] ท่านทั้งหลายผู้ประดับแล้ว สอดใส่กุณฑล นุ่งห่มผ้างดงาม เหน็บพระ ขรรค์มีด้ามประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ และแก้วมุกดา เป็นจอมพลรถยืนอยู่ เป็นใครกันหนอ ชนทั้งหลายในมนุษยโลกจะรู้จักท่านทั้งหลายอย่างไร? [๒๔๔๗] ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ชื่อว่าอัฏฐกะ ส่วนท่านผู้นี้ คือ พระเจ้าภีมรถะ และท่านผู้นี้ คือพระเจ้ากาลิงคราช มีพระเดช ฟุ้งเฟื่อง ข้าพเจ้า ทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อเยี่ยมท่านฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมด้วยดี และเพื่อจะ ขอถามปัญหา. [๒๔๔๘] ท่านเหาะลอยอยู่ในอากาศเวหา ดังพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้อง ฟ้าในวัน ๑๕ ค่ำ ฉะนั้น ดูกรเทพเจ้า อาตมภาพขอถามท่านผู้มีอานุภาพ มาก ชนทั้งหลายในมนุษยโลกจะรู้จักท่านอย่างไร? [๒๔๔๙] ในเทวโลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า สุชัมบดี ในมนุษยโลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า ท้าวมฆวา ข้าพเจ้านั้น คือ ท้าวเทวราช วันนี้มาถึงที่นี่ เพื่อขอเยี่ยม ท่านฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมแล้วด้วยดี. [๒๔๕๐] ฤาษีทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้มีฤทธิ์มาก ประกอบด้วยอิทธิคุณ มาประชุม พร้อมกันแล้ว ปรากฏไปในที่ไกล ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ขอไหว้พระ- คุณเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ในชีวโลกนี้. [๒๔๕๑] กลิ่นแห่งฤาษีทั้งหลายผู้บวชมานาน ย่อมออกจากกายฟุ้งไปตามลมได้ ดูกรท้าวสหัสสเนตร เชิญมหาบพิตรถอยไปเสียจากที่นี่ ดูกรท้าวเทวราช กลิ่นของฤาษีทั้งหลายไม่สะอาด. [๒๔๕๒] กลิ่นแห่งฤาษีทั้งหลายผู้บวชมานาน จงออกจากกายฟุ้งไปตามลมเถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมมุ่งหวังกลิ่นนั้น ดังพวง บุปผาชาติอันวิจิตรมีกลิ่นหอม เพราะว่าเทวดาทั้งหลายมิได้มีความสำคัญ ในกลิ่นนี้ ว่าเป็นปฏิกูล. [๒๔๕๓] ท้าวมฆวาฬสุชัมบดีเทวราช องค์ปุรินททะ ผู้เป็นใหญ่แห่งภูต มีพระ ยศ เป็นจอมแห่งทวยเทพ ทรงย่ำยีหมู่อสูร ทรงรอคอยโอกาส เพื่อ ตรัสถามปัญหา. บรรดาฤาษีผู้เป็นบัณฑิตเหล่านี้ ณ ที่นี้ ใครเล่าหนอ ถูกถามแล้วจักพยากรณ์ปัญหาอันสุขุม ของพระราชา ๓ พระองค์ผู้เป็น ใหญ่ในหมู่มนุษย์ และของท้าววาสวะผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพได้? [๒๔๕๔] ท่านสรภังคฤาษีผู้เรืองตบะนี้ เว้นจากเมถุนธรรมตั้งแต่เกิดมา เป็นบุตร ของปุโรหิตาจารย์ ได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่านจักพยากรณ์ปัญหา ของพระราชาเหล่านั้นได้. [๒๔๕๕] ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดพยากรณ์ปัญหา ฤาษีทั้งหลายผู้ยัง ประโยชน์ให้สำเร็จ พากันขอร้องท่าน ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ภาระนี้ ย่อมมาถึงท่านผู้เจริญด้วยปัญญา นี่เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์. [๒๔๕๖] มหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย อาตมภาพให้โอกาสแล้ว เชิญตรัสถามปัญหา อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามพระหฤทัยปรารถนาเถิด ก็อาตมภาพรู้โลกนี้และ โลกหน้าเองแล้ว จักพยากรณ์ปัญหานั้นๆ แก่มหาบพิตรทั้งหลาย. [๒๔๕๗] ลำดับนั้น ท้าวมฆวาฬสักกเทวราชปุรินททะ ทรงเห็นประโยชน์ ได้ ตรัสตามปัญหาอันเป็นปฐม ดังที่พระทัยปรารถนาว่า บุคคลฆ่าซึ่งอะไรสิ จึงจะไม่เศร้าโศกในกาลไหนๆ ฤาษีทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการละ อะไรบุคคลพึงอดทนคำหยาบที่ใครๆ ในโลกนี้กล่าวแล้ว ข้าแต่ท่าน โกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่โยมเถิด? [๒๔๕๘] บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว จึงจะไม่เศร้าโศกในกาลไหนๆ ฤาษีทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการละความลบหลู่ บุคคลควรอดทนคำหยาบที่ชนทั้งปวง กล่าว สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความอดทนนี้ว่าสูงสุด. [๒๔๕๙] บุคคลอาจจะอดทนถ้อยคำของคนทั้ง ๒ พวกได้ คือ คนที่เสมอกัน ๑ คนที่ประเสริฐกว่าตน ๑ จะอดทนถ้อยคำของคนเลวกว่าได้อย่างไรหนอ ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่โยมเถิด? [๒๔๖๐] บุคคลพึงอดทนถ้อยคำของคนผู้ประเสริฐกว่าได้ เพราะความกลัว พึงอด ทนถ้อยคำของคนที่เสมอกันได้ เพราะการแข่งขันเป็นเหตุ ส่วนผู้ใดใน โลกนี้ พึงอดทนถ้อยคำของคนที่เลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความ อดทนของผู้นั้นว่าสูงสุด. [๒๔๖๑] ไฉนจึงจะรู้จักคนประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน หรือคนที่เลวกว่า ซึ่งมี สภาพอันอิริยาบถทั้ง ๔ ปกปิดไว้ เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมเที่ยว ไปด้วยสภาพของคนชั่วได้ เพราะเหตุนั้นแล จึงควรอดทนถ้อยคำของคน ทั้งปวง. [๒๔๖๒] สัตบุรุษผู้มีความอดทน พึงได้ผลคือความไม่มีการกระทบกระทั่ง เพราะ การสงบระงับเวร เสนาแม้มากพร้อมด้วยพระราชาเมื่อรบอยู่ จะพึงได้ ผลนั้นก็หามิได้ เวรทั้งหลายย่อมระงับด้วยกำลังแห่งขันติ. [๒๔๖๓] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน แต่จะขอถามปัญหาอื่นๆ กะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวปัญหานั้น โดยมีพระราชา ๔ พระองค์ คือ พระเจ้า ทัณฑกี ๑ พระเจ้านาลิกีระ ๑ พระเจ้าอัชชุนะ ๑ พระเจ้ากลาพุ ๑ ขอ ท่านได้โปรดบอกคติของพระราชาเหล่านั้น ผู้มีบาปกรรมอันหนัก พระ- ราชาทั้ง ๔ องค์นั้นเบียดเบียนฤาษีทั้งหลาย พากันบังเกิด ณ ที่ไหน? [๒๔๖๔] พระเจ้าทัณฑกี ได้เรี่ยรายโทษลง ณ ท่านกีสวัจฉดาบสแล้ว เป็นผู้มีมูล อันขาดแล้ว พร้อมทั้งบริษัท พร้อมทั้งชาวแว่นแคว้น หมกไหม้อยู่ใน นรกชื่อกุกกูละ ถ่านเพลิงปราศจากเปลว ย่อมตกลงบนพระกายของ พระราชานั้น. พระเจ้านาลิกีระได้เบียดเบียนบรรพชิตทั้งหลายผู้สำรวม แล้ว ผู้กล่าวธรรมสงบระงับ ไม่ประทุษร้ายใคร สุนัขทั้งหลายในโลก หน้า ย่อมรุมกันกัดกินพระเจ้านาลิกีระนั้นผู้ดิ้นรนอยู่. อนึ่ง พระเจ้า อัชชุนะ พระเศียรปักพระบาทขึ้น ตกลงในสัตติสูลนรก เพราะเบียด เบียน อังคีรสฤาษีผู้โคดม ผู้มีขันติ มีตบะ ประพฤติพรหมจรรย์มานาน. พระเจ้ากลาพุได้ทรงเชือดเฉือนฤาษีชื่อขันติวาที ผู้สงบระงับ ไม่ประทุษ ร้ายให้เป็นท่อนๆ พระเจ้ากลาพุนั้น ได้บังเกิดหมกไหม้อยู่ในอเวจีนรก อันร้อนใหญ่ มีเวทนากล้า น่ากลัว. บัณฑิตได้ฟังนรกเหล่านี้ และนรก เหล่าอื่นอันชั่วช้ากว่านี้ในที่นี้แล้ว ควรประพฤติธรรมในสมณพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้กระทำอย่างนี้ ย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์. [๒๔๖๕] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอ เชิญท่านกล่าวปัญหานั้น บัณฑิตเรียกคนเช่นไรว่ามีศีล เรียกคนเช่นไร ว่ามีปัญญา เรียกคนเช่นไรว่าสัตบุรุษ ศิริย่อมไม่ละคนเช่นไรหนอ? [๒๔๖๖] ผู้ใดในโลกนี้ เป็นผู้สำรวมด้วยกาย วาจาและใจ ไม่ทำบาปกรรมอะไรๆ ไม่พูดพล่อยๆ เพราะเหตุแห่งตน บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่ามีศีล. ผู้ใด คิดปัญหาอันลึกซึ้งได้ด้วยใจ ไม่ทำกรรมอันหยาบช้าอันหาประโยชน์มิได้ ไม่ละทิ้งทางแห่งประโยชน์อันมาถึงตามกาล บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่ามี ปัญญา. ผู้ใดแล เป็นคนกตัญญูกตเวที มีปัญญา มีกัลยาณมิตร และมี ความภักดีมั่นคง ช่วยทำกิจของมิตรผู้ตกยากโดยเต็มใจ บัณฑิตเรียก คนเช่นนั้นว่าสัตบุรุษ. ผู้ใดประกอบด้วยคุณธรรมทั้งปวงเหล่านี้ คือ เป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน แจกทานด้วยดี รู้ความประสงค์ ศิริย่อมไม่ ละคนเช่นนั้น ผู้สงเคราะห์ มีวาจาอ่อนหวาน สละสลวย. [๒๔๖๗] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอ เชิญท่านกล่าวปัญหานั้น นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีล ศิริ ธรรม ของสัตบุรุษ และปัญญา ว่าข้อไหนประเสริฐกว่ากัน? [๒๔๖๘] ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมกล่าวว่า ปัญญานั่นแหละประเสริฐสุด ดุจ พระจันทร์ประเสริฐกว่าดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีล ศิริ และธรรมของ สัตบุรุษ ย่อมเป็นไปตามบุคคลผู้มีปัญญา. [๒๔๖๙] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวปัญหานั้น บุคคลในโลกนี้ทำอย่างไร ทำด้วยอุบาย อย่างไร ประพฤติอะไร เสพอะไร จึงจะได้ปัญญา ขอท่านได้โปรดบอก ปฏิปทาแห่งปัญญา ณ บัดนี้ว่า นรชนทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีปัญญา? [๒๔๗๐] บุคคลควรคบหาท่านผู้รู้ทั้งหลาย ละเอียดละออ เป็นพหูสูต พึงเป็นทั้ง นักเรียน และไต่ถาม พึงตั้งใจฟังคำสุภาษิตโดยเคารพ นรชนทำอย่าง นี้จึงจะเป็นผู้มีปัญญา. ผู้มีปัญญานั้นย่อมพิจารณาเห็นกามคุณทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นโรค ผู้เห็นแจ้งอย่างนี้ ย่อมละความพอใจในกามทั้งหลายอันเป็นทุกข์ มีภัยอันใหญ่หลวงเสียได้. ผู้นั้นปราศจากราคะแล้ว กำจัดโทสะได้ พึงเจริญเมตตาจิตไม่มีประมาณ งดอาชญาในสัตว์ทุกจำพวกแล้ว ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงแดนพรหม. [๒๔๗๑] การมาของมหาบพิตรผู้มีพระนามว่า อัฏฐกะ ภีมรถะ และกาลิงคราช ผู้มีพระเดชานุภาพฟุ้งเฟื่องไป เป็นการมาที่มีฤทธิ์ใหญ่โต ทุกๆ พระ องค์ทรงละกามราคะได้แล้ว. [๒๔๗๒] ท่านเป็นผู้รู้จิตผู้อื่น ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น กระผมทุกคนละกามราคะได้ แล้ว ขอท่านจงให้โอกาสเพื่อความอนุเคราะห์ตามที่กระผมทั้งหลายจะรู้ ถึงคติของท่านได้. [๒๔๗๓] อาตมาให้โอกาสเพื่อความอนุเคราะห์ เพราะมหาบพิตรทั้งหลาย ละกาม ราคะได้อย่างนั้นแล้ว จงยังกายให้ซาบซ่านด้วยปีติอันไพบูลย์ ตามที่ มหาบพิตรทั้งหลายจะทรงทราบถึงคติของอาตมา. [๒๔๗๔] ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน กระผมทั้งหลายจักทำตามคำสั่งสอนที่ ท่านกล่าวทุกอย่าง กระผมทั้งหลายจะยังกายให้ซาบซ่านด้วยปีติอัน ไพบูลย์ ตามที่กระผมทั้งหลายจะรู้ถึงคติของท่าน. [๒๔๗๕] ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายผู้มีคุณความดี ทำการบูชานี้แก่ กีสวัจฉดาบสแล้ว จงพากันไปยังที่อยู่ของตนๆ เถิด ท่านทั้งหลายจง เป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิตตั้งมั่นทุกเมื่อเถิด ความยินดีนี้ เป็นคุณชาติ ประเสริฐสุดของบรรพชิต. [๒๔๗๖] ชนเหล่านั้นได้ฟังคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ฤาษีผู้เป็น บัณฑิตกล่าวดีแล้ว เกิดปีติโสมนัส พากันอนุโมทนาอยู่ เทวดา ทั้งหลายผู้มียศ ต่างก็พากันกลับไปสู่เทพบุรี. คาถาเหล่านี้มีอรรถ พยัญชนะดี อันฤาษีผู้เป็นบัณฑิตกล่าวดีแล้ว คนใดคนหนึ่งฟังคาถา เหล่านี้ให้มีประโยชน์ พึงได้คุณพิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ครั้น แล้วพึงบรรลุถึงสถานที่อันมัจจุราชมองไม่เห็น. [๒๔๗๗] สาลิสสรดาบสในกาลนั้น เป็นพระสารีบุตร เมณฑิสสรดาบสในกาลนั้น เป็นพระกัสสปะ ปัพพตดาบสในกาลนั้นเป็นพระอนุรุทธะ เทวิลดาบส ในกาลนั้น เป็นพระกัจจายนะ อนุสิสสดาบสในกาลนั้นเป็นพระอานนท์ กีสวัจฉดาบสในกาลนั้น เป็นโกลิตมหาโมคคัลลานะ นารทดาบสใน กาลนั้น เป็นพระอุทายีเถระ บริษัทในกาลนั้น เป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ สรภังคดาบสโพธิสัตว์ในกาลนั้น คือตถาคต ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดก ไว้อย่างนี้แล.จบ สรภังคชาดกที่ ๒. ๓. อลัมพุสาชาดก ว่าด้วยอิสิสิงคดาบสถูกทำลายตบะ [๒๔๗๘] ครั้งนั้น พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ ผู้ทรงครอบงำวัตรภูอสูรเป็นพระบิดา แห่งเทพบุตรผู้ชนะ ประทับนั่งอยู่ ณ สุธรรมาเทวสภา รับสั่งให้เรียกนาง อลัมพุสาเทพกัญญามาแล้วตรัสว่า. [๒๔๗๙] แน่ะนางอลัมพุสาผู้เจือปนด้วยกิเลส สามารถจะเล้าโลมฤาษีได้ เทวดา ชั้นดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ขอร้องเจ้า เจ้าจงไปหาอิสิสิงคดาบส เถิด. [๒๔๘๐] ดาบสองค์นี้มีวัตร ประพฤติพรหมจรรย์ ยินดียิ่งในนิพพาน เป็นผู้รู้ อย่าเพิ่งล่วงเลยพวกเราไปก่อนเลย เจ้าจงห้ามมรรคของเธอเสีย. [๒๔๘๑] ข้าแต่เทวราช พระองค์ทรงทำอะไร ทรงมุ่งหมายแต่หม่อมฉันเท่านั้น รับสั่งว่า แน่ะเจ้าผู้อาจจะเล้าโลมฤาษีได้ เจ้าจงไปเถิดดังนี้ นางเทพ อัปสรผู้ทัดเทียมหม่อมฉัน และผู้ประเสริฐกว่าหม่อมฉัน ก็มีอยู่ใน นันทนวัน อันหาความเศร้าโศกมิได้ วาระคือการไปจงมีแม้แก่นางเทพ อัปสรเหล่านั้น แม้นางเทพอัปสรเหล่านั้นจงไปประเล้าประโลมเถิด [๒๔๘๒] เจ้าพูดจริงโดยแท้แล นางเทพอัปสรอื่นๆ ที่ทัดเทียมกับเจ้า และ ประเสริฐกว่าเจ้า มีอยู่ในนันทนวันอันหาความโศกมิได้. ดูกรนางผู้มี อวัยวะงามทุกส่วน ก็แต่ว่า นางเทพอัปสรเหล่านั้นไปถึงชายเข้าแล้ว ย่อมไม่รู้จักการบำเรออย่างยิ่งที่เจ้ารู้. แม่งามเอ๋ย เจ้านั่นแหละจงไป เพราะว่าเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่าหญิงทั้งหลาย เจ้าจักนำดาบสนั้นมาสู่ อำนาจได้ ด้วยผิวพรรณและรูปร่างของเจ้าเอง. [๒๔๘๓] หม่อมฉันอันท้าวเทวราชทรงใช้ จักไม่ไปหาได้ไม่ แต่ว่าหม่อมฉันกลัว ที่จะเบียดเบียนดาบสนั้น เพราะท่านเป็นพราหมณ์มีเดชฟุ้งเฟื่อง. ชน ทั้งหลายมิใช่น้อย เบียดเบียนฤาษีแล้วต้องตกนรก ถึงสังสารวัฏเพราะ ความหลง เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันขนลุกขนพอง. [๒๔๘๔] นางอลัมพุสาเทพอัปสร ผู้มีวรรณะน่ารักใคร่ ผู้เจือปนด้วยกิเลส ปรารถนาจะยังอิสิสิงคดาบสให้ผสม ครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้วก็หลีกไป. ก็นางอลัมพุสาเทพอัปสรนั้น เข้าไปยังป่าที่อิสิสิงคดาบสรักษา อัน ดาดาษไปด้วยเถาตำลึงโดยรอบประมาณกึ่งโยชน์. นางได้เข้าไปหา อิสิสิงคดาบสผู้กำลังปัดกวาดโรงไฟ ใกล้เวลาอาทิตย์อุทัย ก่อนเวลา อาหารเช้า. [๒๔๘๕] เธอเป็นใครหนอ มีรัศมีเหมือนสายฟ้า หรือเหมือนดาวประกายพฤกษ์ มีเครื่องประดับแขนงามวิจิตร สวมใส่กุณฑลแก้วมณี. คล้ายกับแสง พระอาทิตย์ มีกลิ่นจุรณจันทร์ วรรณะดังทองคำ ลำขางามดี มีมารยา มากมาย กำลังรุ่นสาวน่าดู น่าชม. เท้าของเธอไม่เว้ากลาง อ่อนละมุน สะอาดตั้งลงด้วยดี การเยื้องกรายของเธอน่ารักใคร่ ดึงจิตใจของเราได้ ทีเดียว. อนึ่ง ลำขาของเธอเรียวงาม เปรียบเสมอด้วยงวงช้าง ตะโพก ของเธอผึ่งผายเกลี้ยงเกลาดังแผ่นทองคำ. นาภีของเธอก็ตั้งอยู่เป็นอย่างดี เหมือนกับฝักดอกอุบล ย่อมปรากฏแต่ที่ไกลคล้ายเกสรดอกอัญชันเชียว. ถันทั้งคู่เกิดที่ทรวงอกหาขั้วมิได้ ทรงไว้ซึ่งขีรรส ไม่หดเหี่ยว เต่งตั้ง ทั้ง ๒ ข้าง เสมอด้วยผลน้ำเต้าครึ่งซีก. คอของเธอดังเนื้อทราย ยาว คล้ายหน้าสุวรรณเภรี มีริมฝีปากเรียบงดงาม เป็นที่ตั้งแห่งมนะที่ ๔ คือ ลิ้น. ฟันของเธอทั้งข้างบนข้างล่างขาวสะอาด เป็นของหาโทษมิได้ ดูงาม นัก นัยย์ตาทั้ง ๒ ข้างของเธอดำขลับ มีสีแดงเป็นที่สุด สีดังเม็ด มะกล่ำ ทั้งยาวทั้งกว้างดูงามนัก ผมที่งอกบนศีรษะของเธอไม่ยาวนัก เกลี้ยงเกลาดี หวีด้วยหวีทองคำ มีกลิ่นหอมฟุ้งด้วยกลิ่นจันทน์. กสิกรรม โครักขกรรม การค้าของพ่อค้า และความบากบั่นของฤาษีทั้งหลายผู้ สำรวมดี มีตบะมีประมาณเท่าใด. เราไม่เห็นบุคคลมีประมาณเท่านั้นใน ปฐพีมณฑลนี้ จะเสมอเหมือนกับเธอ เธอเป็นใคร หรือเป็นบุตรของ ใคร เราจะรู้จักเธอได้อย่างไร? [๒๔๘๖] ดูกรท่านกัสปะผู้เจริญ เมื่อจิตของท่านเป็นไปอย่างนี้แล้วก็ไม่ใช่กาลที่จะ เป็นปัญหา มาเถิดท่านที่รัก เราทั้งสองจักรื่นรมย์กันในอาสนะของเรา มาเถิดท่าน ฉันจักเคล้าคลึงท่าน ท่านจงเป็นผู้ฉลาดในความยินดีด้วย กามคุณ. [๒๔๘๗] นางอลัมพุสาเทพอัปสร ผู้มีผิวพรรณน่ารักใคร่ผู้เจือปนด้วยกิเลส ปรารถนาจะให้อิสิสิงคดาบสผสม ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็หลีกไป. [๒๔๘๘] ส่วนอิสิสิงคดาบสนั้นรีบเดินออกไปโดยเร็ว ตัดความก้าวไปช้าเสีย ไป ทันเข้าก็จับที่มวยผมอันอุดมของนางไว้. นางอัปสรผู้มีรูปสวยงาม หมุน กลับมาสวมกอดดาบสนั้น อิสิสิงคดาบสเคลื่อนจากพรหมจรรย์ ตาม ที่ท้าวสักกเทวราชทรงปรารถนา. ภายหลังนางเทพกัญญาก็มีใจยินดี นึก ถึงพระอินทร์ผู้ประทับอยู่ในนันทนวัน ท้าวมฆวาฬเทพกุญชรทรงทราบ ความดำริของนางแล้ว จึงทรงส่งบัลลังก์ทองพร้อมทั้งเครื่องบริวาร. ผ้า เครื่องปกปิดทรวง ๕๐ ผืน เครื่องลาด ๑,๐๐๐ ผืนโดยเร็ว นางอลัมพุสา เทพอัปสรกอดดาบสแนบทรวงอก. บนบัลลังก์นั้นตลอด ๓ ปี ดูเหมือน ครู่เดียวเท่านั้น พราหมณ์ดาบสสร่างเมาแล้วรู้สึกได้โดยล่วงไป ๓ ปี ได้เห็นหมู่ไม้เขียวชะอุ่มโดยรอบเรือนไฟ ผลัดใบใหม่ ดอกบาน อัน ฝูงนกกระเหว่าร้องอยู่อื้ออึง. เธอตรวจดูโดยรอบแล้ว ร้องไห้น้ำตาไหล ปริเทวนาการว่า เรามิได้บูชาไฟ มิได้ร่ายมนต์ อะไรมาบันดาลให้การ บูชาไฟต้องเสื่อมลง. ผู้ใดใครหนอ มาประเล้าประโลมจิตของเราด้วย การบำเรอในก่อน ยังฌานอันเกิดพร้อมกับเดชของเราผู้อยู่ในป่าให้พินาศ ดุจบุคคลยึดเรืออันเต็มด้วยรัตนะต่างๆ ในมหาสมุทรฉะนั้น. [๒๔๘๙] ดิฉันอันท้าวเทวราชทรงใช้มาเพื่อบำเรอท่าน จึงได้ครอบงำจิตของท่าน ด้วยจิตของดิฉัน ท่านไม่รู้สึกเพราะประมาท. [๒๔๙๐] เดิมที ท่านกัสสปดาบสผู้บิดา ได้พร่ำสอนเราถึงสิ่งเหล่านี้ว่า ดูกรมาณพ สตรีอันเสมอด้วยนารีผล เจ้าจงรู้จักสตรีเหล่านั้น. ดูกรมาณพ เจ้าจงรู้ จักสตรีผู้มีเขาที่อก เจ้าจงรู้จักสตรีเหล่านั้น บิดาเหมือนเอ็นดูเราเฝ้า พร่ำสอนเราดังนี้. เรามิได้ทำตามคำสั่งสอนของบิดาผู้รู้นั้น วันนี้ เรา ซบเซาอยู่แต่ผู้เดียวในป่าอันหามนุษย์มิได้. เราจักทำอย่างที่เราเป็นผู้เช่น เดิมอีก หรือจักตายเสีย ประโยชน์อะไรด้วยชีวิตที่น่าติเตียน. [๒๔๙๑] นางอลัมพุสาเทพกัญญารู้จักเดช ความเพียรและปัญญาอันมั่นคงของ อิสิสิงคดาบสนั้นแล้ว ก็ซบศีรษะลงที่เท้าของอิสิสิงคดาบส. กล่าวว่า ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านอย่าได้โกรธดิฉันเลย ข้าแต่ท่านผู้แสวงหา คุณใหญ่ ขอท่านอย่าโกรธดิฉันเลย ดิฉันได้ก่อประโยชน์อันใหญ่แล้ว เพื่อเทวดาชั้นไตรทศผู้มียศ เพราะว่าเทพบุรีทั้งหมดอันท่านได้ทำให้ หวั่นไหวแล้วในคราวนั้น. [๒๔๙๒] ดูกรนางผู้เจริญ ขอทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ท้าววาสวะจอมไตรทศ และ เธอ จงมีความสุขเถิด ดูกรนางเทพกัญญา เชิญไปตามสบายเถิด. [๒๔๙๓] นางอลัมพุสาเทพกัญญา ซบศีรษะลงที่เท้าแห่งอิสิสิงคดาบส และทำ ประทักษิณแล้ว ประคองอัญชลีหลีกออกไปจากที่นั้น. ขึ้นสู่บัลลังก์ ทองพร้อมด้วยเครื่องบริวาร เครื่องปิดทรวง ๕๐ ผืน และเครื่องลาด ๑,๐๐๐ ผืน แล้วกลับไปในสำนักของเทวดาทั้งหลาย. ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัย ได้พระราชทานพรกะนางเทพกัญญานั้น ซึ่งกำลังมาอยู่ ราวกะว่า ดวงประทีปอันรุ่งเรือง หรือเหมือนสายฟ้า ฉะนั้น. [๒๔๙๔] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง ถ้าพระองค์จะประทานพรแก่ หม่อมฉันไซร้ ขออย่าให้หม่อมฉันไปเล้าโลมฤาษีอีกเลย ข้าแต่ท้าวสักกะ หม่อมฉันขอพรอันนี้.จบ อลัมพุสาชาดกที่ ๓. ๔. สังขปาลชาดก ว่าด้วยสังขปาลนาคราชบำเพ็ญตบะ [๒๔๙๕] ท่านเป็นผู้มีรูปร่างงดงาม มีดวงตาแจ่มใส ข้าพเจ้าสำคัญว่าท่านผู้เจริญ บวชจากสกุล ไฉนหนอ ท่านผู้มีปัญญาจึงละทรัพย์ และโภคสมบัติออก บวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า? [๒๔๙๖] ดูกรมหาบพิตรผู้จอมนรชน อาตมภาพได้เห็นวิมานของพระยาสังขปาล นาคราชตัวมีอานุภาพมากมาด้วยตนเอง ครั้นเห็นแล้วจึงออกบวชด้วย เชื่อมหาวิบากของบุญทั้งหลาย. [๒๔๙๗] บรรพชิตทั้งหลายย่อมไม่กล่าวคำเท็จ เพราะความรัก เพราะความกลัว เพราะความชัง ข้าพเจ้าถามท่านแล้ว ขอท่านได้โปรดบอกเนื้อความนั้น แก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ฟังแล้วจักเกิดความเลื่อมใส. [๒๔๙๘] ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นอธิบดีในรัฐมณฑล อาตมภาพเดินทางไปค้าขาย ได้เห็นบุตรนายพรานช่วยกันหามนาคตัวมีร่างกายใหญ่โต เดินร่าเริงไป ในหนทาง. ดูกรพระจอมประชานิกร อาตมภาพ มาประจวบเข้ากับ ลูกนายพรานเหล่านั้น ก็กลัวจนขนลุกขนพอง ได้ถามเขาว่า ดูกรพ่อ บุตรนายพราน ท่านทั้งหลายจงนำงูซึ่งมีร่างกายน่ากลัวไปไหน ท่านทั้ง หลายจักทำอะไรกับงูนี้. งูใหญ่มีกายอันเจริญพวกเรานำไปเพื่อจะกิน เนื้อของมันมีรสอร่อยมันและอ่อนนุ่ม ดูกรท่านผู้เป็นบุตรชาววิเทหรัฐ ท่านยังไม่รู้จักรส. เราทั้งหลายไปจากที่นี้ถึงบ้านของตนแล้ว จะเอามีด สับกินเนื้อกันให้สำราญใจ เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นศัตรูของพวกงู. ถ้าท่านทั้งหลายจะนำงูใหญ่มีกายอันเจริญนี้ไปเพื่อกิน เราจะให้โค ๑๖ ตัว แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ปล่อยงูนี้เสียจากเครื่องผูกเถิด. ความจริงงูตัวนี้ เป็นอาหารที่ชอบใจของเราทั้งหลายโดยแท้ และเราทั้งหลายเคยกินงูมา มาก ดูกรนายอฬาระผู้เป็นบุตรชาววิเทหรัฐ เราทั้งหลายจะทำตามคำของ ท่าน แต่ว่าท่านจงเป็นมิตรของเราทั้งหลาย. ชนเหล่านั้นก็แก้นาคราช ออกจากเครื่องผูก นาคราชนั้นได้พ้นจากเครื่องผูกซึ่งเขาร้อยไว้ที่จมูกกับ บ่วงนั้นแล้วบ่ายหน้าตรงปาจีนทิศหลีกไปได้ครู่หนึ่ง ครั้นบ่ายหน้าตรง ปาจีนทิศไปสักครู่หนึ่ง มีดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา เหลียวมาดูอาตมภาพ อาตมภาพได้ตามไปข้างหลังของนาคราชนั้นประคองอัญชลีทั้ง ๑๐ นิ้ว เตือนว่า. จงรีบไปเสียโดยเร็ว ขอพวกศัตรูอย่าจับได้อีกเลย เพราะว่า การสมาคมด้วยพวกพรานบ่อยๆ เป็นทุกข์ ท่านจงไปสู่ที่ที่พวกบุตรนาย พรานจะไม่เห็น. นาคราชนั้นได้ไปสู่ห้วงน้ำใสมีสีเขียวน่ารื่นรมย์ มีท่า ราบเรียบ ปกคลุมไปด้วยไม้หว้า และย่างทราย เป็นสัตว์ปลอดภัย มีปีติ เข้าไปยังนาคพิภพ. ดูกรพระจอมประชานิกร นาคราชนั้น ครั้นเข้าไปสู่ นาคพิภพแล้ว ไม่ช้าก็มีบริวารทิพย์มาปรากฏแก่อาตมภาพ บำรุงอาตมภาพ เหมือนบุตรบำรุงบิดาฉะนั้น กล่าวคำจับใจรื่นหูแก่อาตมภาพว่า. ข้าแต่ ท่านอฬาระ ท่านเป็นเหมือนมารดาบิดาของข้าพเจ้า เป็นดังดวงใจ เป็นผู้ ให้ชีวิต เป็นสหาย ข้าพเจ้าจึงกลับได้ฤทธิ์ของตน ข้าแต่ท่านอฬาระ ขอเชิญท่านไปเยี่ยมนาคพิภพของข้าพเจ้า ซึ่งมีภักษาหารมาก มีข้าวและ น้ำมากมาย ดังเทพนครของท้าววาสวะ ฉะนั้น. [๒๔๙๙] นาคพิภพนั้นสมบูรณ์ด้วยภูมิภาค พื้นไม่มีกรวด อ่อนนุ่ม งาม มีหญ้า เตี้ยๆ ไม่มีธุลี นำมาซึ่งความเลื่อมใส เป็นที่ละความเศร้าโศกของคนผู้ เข้าไป. ในนาคพิภพนั้นมีสระโบกขรณีอันไม่อากูล เขียวชะอุ่มดังแก้ว ไพฑูรย์ มีต้นมะม่วงน่ารื่นรมย์ทั้ง ๔ ทิศ มีผลสุกกิ่งหนึ่ง ผลอ่อนกิ่ง หนึ่ง เผล็ดผลเป็นนิตย์. [๒๕๐๐] ดูกรมหาบพิตรผู้ประเสริฐกว่านรชน ในท่ามกลางสวนเหล่านั้น มีนิเวศน์ เลื่อมภัสสรล้วนแล้วไปด้วยทองคำ มีบานประตูแล้วไปด้วยเงิน งาม รุ่งเรืองยิ่ง ดุจสายฟ้าในอากาศฉะนั้น. ขอถวายพระพร ในท่ามกลาง สวนเหล่านั้น เรือนยอดและห้องแล้วไปด้วยแก้วมณี แล้วไปด้วย ทองคำโอฬารวิจิตร เป็นอเนกประการ นิรมิตด้วยดี ติดต่อกันเต็มไป ด้วยนางนาคกัญญาทั้งหลายผู้ประดับแล้ว ล้วนทรงสายสร้อยทองคำ. สังขปาลนาคราชนั้นมีผิวพรรณไม่ทราม ว่องไว ขึ้นสู่ปราสาทมีเสา ประมาณ ๑,๐๐๐ ต้น มีอานุภาพชั่งไม่ได้ เป็นที่อยู่ของมเหสีแห่ง สังขปาลนาคราชนั้น. นารีนางหนึ่งว่องไว ไม่ต้องเตือนยกอาสนะ ล้วน แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ มีค่ามากงดงาม สมบูรณ์ด้วยแก้วมีชาติดังแก้วมณี มาปูลาด. ลำดับนั้น นาคราชจูงมืออาตมภาพให้นั่งบนอาสนะอันเป็น ประธาน กล่าวว่า นี่อาสนะ เชิญท่านนั่งบนอาสนะนี้ เพราะว่าท่านเป็น ที่เคารพคนหนึ่งของข้าพเจ้า ในจำนวนท่านที่เคารพทั้งหลาย. ดูกร พระจอมประชานิกร นารีอีกนางหนึ่งก็ว่องไว ตักเอาน้ำเข้ามาล้างเท้าของ อาตมภาพ ดุจภรรยาล้างเท้าสามีที่รักฉะนั้น มีนารีอีกนางหนึ่งว่องไว ประคองภาชนะทองคำเต็มไปด้วยภัตตาหารน่าบริโภค มีสูปะหลายอย่าง มีพยัญชนะต่างๆ นำเข้ามาให้อาตมภาพ. ขอถวายพระพร นารีเหล่านั้น รู้จักใจสามี พากันบำรุง อาตมภาพผู้บริโภคแล้วด้วยดนตรีทั้งหลาย นาคราชนั้นก็เข้ามาหาอาตมภาพพร้อมด้วยทิพกามคุณมิใช่น้อย ใหญ่ยิ่ง กว่าการฟ้อนรำนั้น. [๒๕๐๑] ข้าแต่ท่านอฬาระ ภรรยาของข้าพเจ้าทั้ง ๓๐๐ นี้ ล้วนมีเอวอ้อนแอ้น มี รัศมีรุ่งเรืองดังกลีบปทุม นางเหล่านี้ จะเป็นผู้ทำความใคร่ให้ท่าน ข้าพเจ้าขอยกนางเหล่านี้ให้ท่าน ท่านจงให้นางเหล่านั้นบำเรอท่านเถิด. [๒๕๐๒] อาตมภาพได้เสวยรสอันเป็นทิพย์อยู่ปีหนึ่ง คราวนั้นอาตมภาพได้ไต่ถาม ถึงสมบัติอันยิ่งว่า ท่านพญานาคได้สมบัตินี้ด้วยอุบายอย่างไร ได้ วิมานอันประเสริฐอย่างไร? ได้โดยไม่มีเหตุหรือเกิดเพราะใครน้อมมา ให้แก่ท่าน ท่านกระทำเอง หรือว่าเทวดาให้ ดูกรพญานาคราช ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนั้นกะท่าน ท่านได้วิมานอันประเสริฐอย่างไร? [๒๕๐๓] ข้าพเจ้าได้วิมานนี้มิใช่โดยไม่มีเหตุ และมิใช่เกิดเพราะใครน้อมมาให้ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ทำเอง แม้เทวดาก็มิได้ให้ ข้าพเจ้าได้วิมานนี้ด้วย บุญกรรมอันไม่เป็นบาปของตน. [๒๕๐๔] พรตของท่านเป็นอย่างไร และพรหมจรรย์ของท่านเป็นไฉน นี้เป็นวิบาก แห่งกรรมอะไรที่ท่านประพฤติดีแล้ว ดูกรพญานาคราช ขอท่านจงบอก เนื้อความนี้แก่ข้าพเจ้า ท่านได้วิมานนี้มาอย่างไรหนอ? [๒๕๐๕] ข้าพเจ้าเป็นพระราชาใหญ่กว่าชนชาวมคธ มีนามว่า ทุยโยธนะ มี อานุภาพมาก ทราบชัดว่า ชีวิตเป็นของน้อยไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไป เป็นธรรมดา. จึงเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส ได้ให้ข้าวและน้ำเป็นทานอัน ไพบูลย์โดยเคารพ วังของข้าพเจ้าในครั้งนั้นเป็นดุจบ่อน้ำ สมณพราหมณ์ ทั้งหลายก็อิ่มหนำสำราญในที่นั้น. ข้าพเจ้าได้ให้ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ประทีบ ยวดยาน ที่พัก ผ้านุ่งห่ม ที่นอน และข้าวน้ำ เป็นทานโดยเคารพ. นั่นเป็นพรต และเป็นพรหมจรรย์ของข้าพเจ้า นี้ เป็นวิบากแห่งกรรมนั้น ที่ข้าพเจ้าประพฤติดีแล้ว ข้าพเจ้าได้วิมานอันมี ภักษาหารเพียงพอ มีข้าวน้ำมากมาย เพราะวัตรและพรหมจรรย์นั้นแล. [๒๕๐๖] วิมานนี้บริบูรณ์ด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ตั้งอยู่ช้านาน แต่เป็นของไม่ เที่ยง บุตรนายพรานทั้งหลายผู้มีอานุภาพน้อย ไม่มีเดช ไยจึงเบียด เบียนท่านผู้มีอานุภาพมากมีเดชได้? ดูกรพญานาคราช เพราะอาศัยอะไร หรือท่านจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของบุตรนายพรานทั้งหลาย ความกลัวใหญ่ ตามถึงท่าน หรือว่าพิษของท่านไม่แล่นไปยังรากเขี้ยว ดูกรพญานาคราช เพราะอาศัยอะไรหรือ ท่านจึงถึงความเศร้าหมองในสำนักของบุตรนาย พรานทั้งหลาย? [๒๕๐๗] ความกลัวใหญ่มิได้ตามถึงข้าพเจ้า บุตรนายพรานเหล่านั้นไม่สามารถจะ ทำลายเดชของข้าพเจ้า แต่ว่าธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายท่านประกาศไว้ ยากที่จะล่วงได้ เหมือนเขตแดนสมุทร ฉะนั้น ข้าแต่ท่านอฬาระ ข้าพเจ้าเข้าจำอุโบสถในวันจาตุททสีปัณณรสีเป็นนิตย์ ต่อมา บุตรนาย- พราน ๑๖ คนเป็นคนหยาบช้า ถือเอาเชือกและบ่วงอันมั่นคงมาแล้ว. แทงจมูกเอาเชือกร้อยช่วยกันหามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าอดทนความทุกข์ เช่นนี้ ไม่ทำอุโบสถให้กำเริบ. [๒๕๐๘] บุตรนายพรานเหล่านั้น ได้พบท่านผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังและผิวพรรณ ที่ ทางเดินคนเดียว ดูกรพญานาคราช ท่านเป็นผู้เจริญด้วยศิริและปัญญา จะบำเพ็ญตบะเพื่อประโยชน์อะไรอีกเล่า? [๒๕๐๙] ข้าแต่ท่านอฬาระ ข้าพเจ้าบำเพ็ญตบะมิใช่เพราะเหตุแห่งบุตร มิใช่เพราะ เหตุแห่งทรัพย์ และมิใช่เพราะเหตุแห่งอายุ เพราะข้าพเจ้าปรารถนา กำเนิดมนุษย์ จึงบากบั่นบำเพ็ญตบะ. [๒๕๑๐] ท่านเป็นผู้มีนัยย์ตาแดง มีรัศมีรุ่งเรือง ประดับตบแต่งแล้ว ปลงผม และหนวด ชโลมทาด้วยจุรณจันทร์แดง ส่องสว่างไปทั่วทิศ ดุจคน ธรรพราชาฉะนั้น. ท่านเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก พร้อมพรั่งไปด้วยกามารมณ์ทั้งปวง ดูกรพญานาคราช ข้าพเจ้าขอถาม เนื้อความนี้กะท่าน เหตุไรมนุษยโลกจึงประเสริฐกว่านาคพิภพนี้? [๒๕๑๑] ข้าแต่ท่านอฬาระ นอกจากมนุษยโลก ความบริสุทธิ์หรือความสำรวม ย่อมไม่มี ถ้าข้าพเจ้าได้กำเนิดมนุษย์แล้ว จักกระทำที่สุดแห่งชาติและ มรณะ. [๒๕๑๒] ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักของท่านปีหนึ่งแล้ว เป็นผู้ที่ท่านบำรุงด้วยข้าวด้วยน้ำ ข้าพเจ้าขอลาท่าน ดูกรท่านผู้เป็นจอมนาค ข้าพเจ้าจากมนุษยโลกมา เสียนาน. [๒๕๑๓] ข้าแต่ท่านอฬาระ บุตร ภรรยา และชนบริวารข้าพเจ้าพร่ำสอนเป็นนิตย์ ให้บำรุงท่าน ใครมิได้แช่งด่าท่านแลหรือ ก็การได้พบเห็นท่านเป็นที่รัก ของข้าพเจ้า. [๒๕๑๔] ดูกรพญานาคราช บุตรผู้เป็นที่รักปฏิบัติมารดาบิดาอยู่ในเรือน แม้ด้วย ประการใด ท่านบำรุงข้าพเจ้าอยู่ในนาคพิภพนี้ ประเสริฐกว่าประการนั้น เพราะว่าจิตของท่านเลื่อมใสข้าพเจ้า. [๒๕๑๕] แก้วทับทิม อันจะนำทรัพย์มาให้ตามประสงค์ของข้าพเจ้ามีอยู่ ท่านจง ถือเอามณีรัตน์อันโอฬารนั้นไปยังที่อยู่ของตน ได้ทรัพย์แล้วจงเก็บแก้ว มณีนั้น. [๒๕๑๖] ขอถวายพระพร แม้กามคุณเป็นของมนุษย์ อาตมภาพได้เห็นแล้ว เป็นของไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา อาตมภาพเห็นโทษใน กามคุณทั้งหลาย จึงออกบวชด้วยศรัทธา. ขอถวายพระพร ทั้งคนหนุ่ม คนแก่ย่อมมีสรีระทำลาย ร่วงหล่นไป เปรียบเหมือนผลไม้ฉะนั้น อาตมภาพเห็นคุณข้อนี้ว่า สามัญผลเป็นข้อปฏิบัติอันไม่ผิด ประเสริฐ จึงออกบวช. [๒๕๑๗] ชนเหล่าใดเป็นพหูสูต ค้นคิดเหตุผลได้มาก ชนเหล่านั้นเป็นคนมีปัญญา บุคคลควรคบหาโดยแท้ทีเดียว ข้าแต่ท่านอฬาระ ข้าพเจ้าได้ฟังคำของ นาคราช และของท่านแล้วจักทำบุญไม่ใช่น้อย. [๒๕๑๘] ขอถวายพระพร ชนทั้งหลายเป็นพหูสูต ค้นคิดเหตุผลได้มาก ชนเหล่า นั้นเป็นคนมีปัญญา บุคคลควรคบหาโดยแท้ทีเดียว ได้ทรงสดับเรื่อง ราวของนาคราช และของอาตมภาพแล้ว ขอจงทรงบำเพ็ญบุญให้มาก เถิด ขอถวายพระพร.จบ สังขปาลชาดกที่ ๔ ๕. จุลลสุตโสมชาดก ว่าด้วยพระเจ้าจุลลสุตโสมออกบวช [๒๕๑๙] เราขอบอกชาวเมือง มิตร อำมาตย์ และบริษัททั้งหลายด้วย ผมหงอก เกิดขึ้นบนศีรษะแล้ว บัดนี้ เราชอบใจจะบวช. [๒๕๒๐] อย่างไรหนอ พระองค์จึงทรงรับสั่งความไม่เจริญแก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้า แต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ทรงปักพระแสงศรที่อกของข้าพระ- พุทธเจ้า พระชายาของพระองค์มีอยู่ประมาณ ๗๐๐ พระนางเหล่านั้นของ พระองค์จักเป็นอยู่อย่างไรหนอ? [๒๕๒๑] นางเหล่านั้นยังสาวจักปรากฏเอง นางเหล่านั้นจักไปพึ่งพิงพระราชาองค์ อื่นก็ได้ ส่วนเราปรารถนาสวรรค์ เพราะฉะนั้น จึงจักบวช. [๒๕๒๒] ดูกรพ่อสุตโสม แม่ผู้เป็นมารดาของเจ้าชื่อว่าได้แล้วชั่ว เพราะเมื่อแม่ พร่ำเพ้ออยู่ เจ้ายังไม่ห่วงใยจะบวชเสียให้ได้. ดูกรพ่อสุตโสม แม่ได้ คลอดเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่แม่ได้มาไม่ดีเสียแล้ว เพราะเมื่อแม่พร่ำเพ้ออยู่ พ่อ ยังไม่ห่วงใยจะบวชเสียให้ได้. [๒๕๒๓] ดูกรพ่อสุตโสม ธรรมนั่นชื่ออะไร และการบวชชื่ออะไร เพราะว่าเจ้า ละทิ้งเรา ๒ คนผู้แก่เฒ่าแล้ว ไม่ห่วงใยจะบวชเสียให้ได้? [๒๕๒๔] แม้บุตรและธิดาทั้งหลายของเจ้าก็มากมี ยังเล็กนัก ไม่เจริญวัย กำลัง ฉอเลาะ น่ารักใคร่ เมื่อไม่เห็นเจ้า เข้าใจว่าจะได้รับความลำบากไป ตามๆ กัน. [๒๕๒๕] ความที่หม่อมฉันตั้งอยู่แม้นานมาแล้ว ก็จะต้องพลัดพรากจากบุตรและ ธิดาเหล่านี้ ซึ่งยังเล็กนัก ไม่เจริญวัย กำลังฉอเลาะ จากทูลกระหม่อม ทั้งสองพระองค์ และสิ่งทั้งปวงไปเป็นของเที่ยงแท้. [๒๕๒๖] พระทัยของทูลกระหม่อมจะตัดขาดเชียวหรือ หรือจะไม่ทรงพระกรุณา กระหม่อมฉันทั้งหลาย ไยเล่าพระองค์จึงไม่ห่วงใยกระหม่อมฉันทั้งหลาย ผู้คร่ำครวญอยู่ จะเสด็จออกผนวชเสียให้ได้เทียวหรือ เพคะ? [๒๕๒๗] ใจของเรามิได้ตัดขาด และเราก็มีความกรุณาในเธอทั้งหลาย แต่เรา ปรารถนาสวรรค์ เพราะฉะนั้น จึงจักออกบวช. [๒๕๒๘] ข้าแต่พระสุตโสมผู้ประเสริฐ หม่อมฉันผู้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ชื่อว่าได้แล้วชั่ว เพราะเหตุไร เมื่อหม่อมฉันพร่ำเพ้ออยู่ พระองค์จึงไม่ ทรงห่วงใย จะทรงผนวชเสียให้ได้. ข้าแต่พระสุตโสมผู้ประเสริฐ หม่อมฉันผู้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ชื่อว่าได้แล้วชั่ว เพราะเหตุไร พระองค์จึงมิได้ทรงห่วงใยสัตว์ผู้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของหม่อมฉัน จะ ทรงผนวชเสียให้ได้. ครรภ์ของหม่อมฉันแก่แล้ว ขอพระองค์ทรงรออยู่ จนกระทั่งหม่อมฉันประสูติ อย่าให้หม่อมฉันเป็นหม้ายอยู่แต่ผู้เดียว ต้องได้รับทุกข์ในภายหลังเลย. [๒๕๒๙] ครรภ์ของเธอแก่แล้ว ขอเชิญประสูติพระโอรสซึ่งมีมีผิวพรรณไม่ เลวทรามเถิด ฉันจักละโอรสพร้อมทั้งเธอบวชให้ได้. [๒๕๓๐] ดูกรแม่จันทาผู้มีดวงตาเสมอด้วยดอกอัญชัน เธออย่าร้องไห้เศร้าโศก ไปเลย จงขึ้นสู่ปราสาทอันประเสริฐเสียเถิด ฉันไม่ห่วงใย จักไปบวช ให้ได้. [๒๕๓๑] ข้าแต่เสด็จแม่ ใครทำให้เสด็จแม่ทรงพิโรธ เหตุไฉน เสด็จแม่จึงทรง กรรแสงและจ้องมองดูหม่อมฉันยิ่งนัก บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลาย ที่เห็นอยู่ หม่อมฉันจะฆ่าใครที่ควรรับสั่งให้ฆ่า? [๒๕๓๒] ลูกรัก ท่านผู้ใด ผู้ชนะแผ่นดินทำให้แม่ขุ่นเคือง ท่านผู้นั้นเจ้าไม่อาจฆ่า ได้เลย พระบิดาของเจ้าได้ตรัสกะแม่ว่า ฉันไม่มีห่วงใยจักไปบวช. [๒๕๓๓] เมื่อก่อนเราเคยไปเที่ยวสวนด้วยรถ และรบกันด้วยช้างตกมัน เมื่อ พระราชบิดาทรงผนวชเสียแล้ว บัดนี้ เราจักทำอย่างไร? [๒๕๓๔] เมื่อพระมารดาของหม่อมฉันทรงกรรแสงอยู่ และเมื่อพระเชฏฐภาดา ไม่ทรงยินยอม หม่อมฉันก็จักยึดพระหัตถ์ทั้ง ๒ ของพระบิดาไว้ เมื่อ หม่อมฉันทั้งหลายไม่ยินยอม พระบิดาจะยังเสด็จไปไม่ได้. [๒๕๓๕] แม่นมจ๋า เชิญแม่ลุกขึ้นเถิด แม่จงพากุมารนี้ไปเล่นให้รื่นรมย์เสียใน ที่อื่น กุมารนี้อย่าได้ทำอันตรายแก่ฉัน เมื่อฉันปรารถนาสวรรค์. [๒๕๓๖] ไฉนหนอ พระราชาจึงพระราชทานแก้วมณีอันมีแสงสว่างนี้ เราจะ ประโยชน์ด้วยอะไรด้วยแก้วมณีนี้ เมื่อพระเจ้าสุตโสมทรงผนวชแล้ว เราจักทำแก้วมณีอะไรกัน? [๒๕๓๗] พระคลังน้อยของพระองค์ยังไพบูลย์ และพระคลังใหญ่ของพระองค์ ก็บริบูรณ์ ปฐพีมณฑลพระองค์ก็ทรงชนะแล้ว ขอพระองค์จงทรงยินดี เถิด อย่าทรงผนวชเลย พระเจ้าข้า. [๒๕๓๘] คลังน้อยของเราก็ไพบูลย์ คลังใหญ่ของเราก็บริบูรณ์ และปฐพีมณฑล เราก็ชนะแล้ว แต่เราก็จักละสิ่งนั้นๆ ออกบวช. [๒๕๓๙] ทรัพย์ของข้าพระพุทธเจ้ามีมากมาย ข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะนับได้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายทรัพย์ทั้งหมดนั้นแด่พระองค์ ขอพระองค์จงทรง ยินดี อย่าทรงผนวชเลย พระพุทธเจ้าข้า. [๒๕๔๐] ดูกรกุลวัฒนเศรษฐี เรารู้ว่าทรัพย์ของท่านมีมาก และท่านก็บูชาเรา แต่ เราปรารถนาสวรรค์ เพราะฉะนั้น เราจึงจักบวช. [๒๕๔๑] ดูกรพ่อโสมทัต เราเป็นผู้กระสันนัก ความไม่ยินดีย่อมมาครอบงำเรา อันตรายมีมาก เราจักบวชให้ได้ในวันนี้ทีเดียว. [๒๕๔๒] ข้าแต่พระเจ้าพี่สุตโสม แม้กิจนี้ พระองค์ทรงพอพระทัย ขอพระองค์ทรง ผนวช ณ บัดนี้ ในวันนี้ แม้หม่อมฉันก็จักบวช หม่อมฉันไม่อาจจะอยู่ ห่างพระองค์ได้. [๒๕๔๓] เธอจะบวชไม่ได้เป็นอันขาด เพราะว่าใครๆ ในพระนครแลคามนิคม ชนบทก็พากันไม่หุงต้ม. [๒๕๔๔] เมื่อพระเจ้าสุตโสมทรงผนวชเสียแล้ว บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจัก ทำอย่างไรเล่า พระเจ้าข้า? [๒๕๔๕] เราเข้าใจว่า ชีวิตนี้ถูกชรานำเข้าไป เป็นของน้อย ดุจน้ำในโคลนฉะนั้น เมื่อชีวิตเป็นของน้อยเหลือเกินอย่างนี้ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะประมาทเลย. เราเข้าใจว่าชีวิตนี้ถูกชรานำเข้าไป เป็นของน้อย ดุจน้ำในโคลนฉะนั้น เมื่อชีวิตเป็นของน้อยเหลือเกินอย่างนี้ แต่พวกคนพาลย่อมพากันประ- มาท. คนพาลเหล่านั้นอันเครื่องผูกคือตัณหาผูกไว้แล้ว ย่อมยังนรก กำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน เปรตวิสัย และอสุรกายให้เจริญ. [๒๕๔๖] กลุ่มธุลีตั้งขึ้นไม่ไกลปุปผกปราสาท ชะรอยพระธรรมราชา ผู้เรืองยศ ของพวกเราจะทรงตัดพระเกศาแล้ว. [๒๕๔๗] พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน เสด็จไปเที่ยวยังปราสาทใด นี่คือปราสาทของพระองค์ เกลื่อนกล่นไปด้วยสุวรรณบุบผามาลัย พระ ราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ เสด็จเที่ยวไปยังปราสาทใด. นี่คือปราสาทของพระองค์ เกลื่อนกล่นไปด้วยสุวรรณบุบผามาลัย พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน เสด็จเที่ยวไปยังกูฏาคารใด. นี่คือกูฏาคารของพระองค์ เกลื่อนกล่นไปด้วยสุวรรณบุบผามาลัย พระ- ราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ เสด็จเที่ยวไปยังกูฏาคารใด. นี่คือกูฏาคารของพระองค์ เกลื่อนกล่นไปด้วยสุวรรณบุบผามาลัย พระ- ราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน เสด็จเที่ยวไปยังสวนอโศกวัน ใด. นี่คือสวนอโศกวันของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระประยูรญาติ เสด็จ เที่ยวไปยังสวนอโศกวันใด. นี่คือสวนอโศกวันของพระองค์ มีดอก ไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อมด้วย พระสนมนางใน เสด็จเที่ยวไปยังพระราชอุทยานใด. นี่คือพระราชอุทยาน ของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ เสด็จเที่ยวไปในพระ อุทยานใด. นี่คือพระราชอุทยานของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่น รมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน เสด็จ เที่ยวไปยังสวนกรรณิการ์ใด. นี่คือ สวนกรรณิการ์ของพระองค์ มีดอก ไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อม ด้วยหมู่พระประยูรญาติ เสด็จเที่ยวไปยังสวนกรรณิการ์ใด. นี่คือสวน กรรณิการ์ของพระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน เสด็จเที่ยวไปยังสวนปาฏ- ลิวันใด. นี่คือ สวนปาฏลิวันของพระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่น รมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ เสด็จเที่ยวไปยังสวนปาฏลิวันใด. นี่คือ สวนปาฏลิวันของพระองค์ มี ดอกบานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อม ด้วยพระสนมนางใน เสด็จเที่ยวไปยังสวนอัมพวันใด. นี่คือสวน อัมพวันของพระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ เสด็จเที่ยวไปยังสวน อัมพวันใด. นี่คือสวนอัมพวันของพระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่น- รมย์ตลอดกาลทั้งปวง พระราชาห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน เสด็จ เที่ยวไปยังสระโบกขรณีใด. นี่คือ สระโบกขรณีของพระองค์ ดาดาษ ไปด้วยบุบผาชาตินานาชนิด เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงวิหค พระราชา ทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ เสด็จเที่ยวไปยังสระโบกขรณีใด. นี่คือ สระโบกขรณีของพระองค์ ดาดาษไปด้วยบุบผาชาตินานาชนิด เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงวิหค. [๒๕๔๘] พระเจ้าสุตโสมทรงสละราชสมบัตินี้แล้ว เสด็จออกผนวช ทรงผ้า กาสาวพัสตร เที่ยวไปพระองค์เดียว เหมือนช้างเชือกตัวประเสริฐฉะนั้น. [๒๕๔๙] ท่านทั้งหลายอย่าระลึกถึงความยินดี การเล่นและการร่าเริงในครั้งก่อน เลย กามทั้งหลายอย่าทำลายท่านทั้งหลายได้เลย จริงอยู่ สุทัสสนนคร น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก ท่านทั้งหลายจงเจริญ เมตตาจิตหาประมาณมิได้ ทั้งกลางวันกลางคืนเถิด เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายจะได้ไปสู่เทพบุรี อันเป็นที่อยู่ของท่านมีบุญกรรม.จบ จุลลสุตโสมชาดกที่ ๕.
เอกกนิบาตชาดก
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557
เตสกุณชาดก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)