๑. อปัณณกชาดก
ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ
[๑] คนพวกหนึ่งกล่าวฐานะอันหนึ่งว่า ไม่ผิด นักเดาทั้งหลายกล่าวฐานะอัน
นั้นว่า เป็นที่สอง คนมีปัญญารู้ฐานะและมิใช่ฐานะนั้นแล้ว ควรถือ
เอาฐานะที่ไม่ผิดไว้.
๒. วัณณุปถชาดก
ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน
[๒] ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย ได้พบน้ำในทางนั้น
ณ ที่ราบ ฉันใด มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้ไม่
เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น.
จบ วัณณุปถชาดกที่ ๒.
๓. เสรีววาณิชชาดก
ว่าด้วยเสรีววาณิช
[๓] ถ้าท่านพลาดโสดาปัตติมรรค คือ ความแน่นอนแห่งสัทธรรมในศาสนานี้
ท่านจะต้องเดือดร้อนใจในภายหลังสิ้นกาลนาน ดุจพาณิชชื่อเสรีวะผู้นี้
ฉะนั้น.
จบ เสรีววาณิชชาดกที่ ๓.
๔. จุลลกเศรษฐีชาดก
ว่าด้วยคนฉลาดตั้งตนได้
[๔] คนมีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนไว้ด้วยต้นทุนแม้น้อย ดุจคนก่อไฟ
น้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ ฉะนั้น.
จบ จุลลกเศรษฐีชาดกที่ ๔.
๕. ตัณฑุลนาฬิชาดก
ว่าด้วยราคาข้าวสาร
[๕] ข้าวสารทะนานหนึ่งมีราคาเท่าไร พระนครพาราณสีทั้งภายในภายนอก
มีราคาเท่าไร ข้าวสารทะนานเดียวมีค่าเท่าม้า ๕๐๐ เทียวหรือ?
จบ ตัณฑุลนาฬิชาดกที่ ๕.
๖. เทวธรรมชาดก
ว่าด้วยธรรมของเทวดา
[๖] สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรม
อันขาว ท่านเรียกว่าผู้มีธรรมของเทวดาในโลก.
จบ เทวธรรมชาดกที่ ๖.
๗. กัฏฐหาริชาดก
[๗] ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระบาทเป็นโอรสของพระองค์ ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชน ขอพระองค์ได้ทรงโปรดชุบเลี้ยงข้าพระ
บาทไว้ แม้คนเหล่าอื่นพระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉนจะไม่ทรงชุบ
เลี้ยงโอรสของพระองค์เองเล่า?
จบ กัฏฐหาริชาดกที่ ๗.
๘. คามนิชาดก
ว่าด้วยไม่ใจเร็วด่วนได้
[๘] เออก็ความหวังในผล ย่อมสำเร็จแก่ผู้ไม่ใจเร็วด่วนได้ เรามีพรหมจรรย์
แก่กล้าแล้ว ท่านจงเข้าใจอย่างนี้เถิด พ่อคามนี.
จบ คามนิชาดกที่ ๘.
๙. มฆเทวชาดก
ว่าด้วยเทวทูต
[๙] ผมที่หงอกบนศีรษะของเรานี้ เกิดขึ้นนำเอาวัยไปเสีย เทวทูตปรากฏแล้ว
บัดนี้ เป็นสมัยบรรพชาของเรา.
จบ มฆเทวชาดกที่ ๙.
๑๐. สุขวิหาริชาดก
ว่าด้วยการอยู่เป็นสุข
[๑๐] ชนเหล่าอื่นไม่ต้องรักษาผู้ใดด้วย ผู้ใดก็ไม่ต้องรักษาชนเหล่าอื่นด้วย
ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรผู้นั้นแล ไม่เยื่อใยในกามทั้งหลาย ย่อมอยู่
เป็นสุข.
จบ สุขวิหาริชาดกที่ ๑๐.